วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2550
วันนี้วันพระ
วันพฤหัสที่ 26 กันยายนเป็น วันพระ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 10
ผู้อ่านที่ติดตาม web จิต-ใจ-ดี คงจะเห็นว่า ด้านข้างมีปฏิทินวันพระไว้ให้ด้วยแล้ว
สำหรับผู้อ่านที่นับถือศาสนาพุทธ ตอบได้ไหมว่า
สังคหวัตถุ 4 มีไว้ทำไม ประกอบด้วยอะไรบ้าง
มรรค 8 คืออะไร
สำหรับผู้ครองเรือนควรยึดถือธรรมะข้อไหนเป็นหลักประจำใจ
จะทำงานหรือเรียนหนังสือให้สำเร็จต้องใช้ธรรมะข้อใดเป็นหลัก
ไตรลักษณ์ คืออะไร
ฯลฯ
หลาย ๆ คนอาจลืมไปแล้ว
เนื่องจากวันนี้เป็นวันพระ จิต-ใจ-ดี ขอเสนอ บทรวมคำสอน พุทธศาสนา อย่างย่อ
(Buddhist Words Version Beta 0.1)
download ได้ที่นี่
Downloand
ความเป็นมา
แรกเริ่มเดิมที ผู้เขียนตั้งใจจะทำเป็นระบบ Expert System
ประมาณว่า ป้อนปัญหาให้โปรแกรม เช่น
ทำอย่างไรถึงจะเรียนหนังสือได้ดี
ควรจะปกครองลูกน้องอย่างไร
ทำอย่างไรจึงจะไม่เครียด
ฯลฯ
แล้วโปรแกรมคอยแนะนำข้อธรรมะให้ โดยค้นหาข้อธรรมะที่เกียวข้องให้
พยายามเริ่มมาหลายครั้งแล้ว ไม่ไปถึงไหนสักที เลยทำเป็น ppt ให้ก่อน
ต้องนี้อยากหาอะไรกด ctrl F ก่อนแล้วกัน (เถื่อนจริง ๆ )
แล้วจะปรับปรุงเพิ่มเติมเรื่อย ๆ
วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2550
วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2550
เวลา... หายไปไหน?
"หนึ่งปีใกล้จะหมดลงในไม่กี่เดือน
ปีใหม่กำลังมาถึง
ทั้งที่รู้สึกว่า เพิ่งผ่านปีใหม่มาไม่กี่เดือน"
คุณเคยรู้สึกอย่างนี้ไหม
อยากรู้ไหมว่า ตัวเองได้ใช้เวลาในการทำงานแต่ละเรื่องกี่ชั่วโมง กี่วัน
คิดเป็นอัตราส่วนเท่าไหร่กับเวลาที่ใช้ทั้งหมด
วันนี้ จิต-ใจ-ดี หาทางแก้มาให้
ถ้าต้องการอยากรู้ว่าทำอะไรไปบ้าง
สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ
0) ต้องจด จดรายการงานที่ทำ และ ดูว่าทำไปกี่ชั่วโมง จนเสร็จแล้วใช้เวลาไปกี่ชั่วโมง
ง่ายที่สุด ก็ใช้ สมุดและดินสอ !!
ในฐานะคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ ขอแนะนำเครื่องมือ ง่าย ๆ ดังนี้้
1) ใช้ Web ในการจัดการ ลองไปที่ http://www.formassembly.com/time-tracker/
time-tracker เป็น web application (โปรแกรมให้บริการผ่านเวป) ตัวหนึ่งที่หลังจากผู้ใช้ได้ลงทะเบียนแล้ว ผู้ใช้จะสามารถสร้างรายการงาน เมื่อผู้ใช้ทำงานนั้น ๆ เวลาในการทำงานนั้น ๆ จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ผู้ใช้สามารถ เข้ามาหยุดเวลา สร้างงานใหม่ หรือกำหนดว่า งานนั้นได้ทำเสร็จสิ้นแล้ว
หลังจากนั้น จะสามารถขอข้อมูลในลักษณะ excel ไฟล์เพื่อนำไปวิเคราะห์ ว่างานที่ทำแต่ละงานนั้นใช้เวลาไปเท่าไหร่ หรือเทียบอัตราส่วนเวลาที่ใช้ระหว่างงานเป็นอย่างไร [รูปที่ 1]
วิธีนี้เป็นวิธีเบื้องต้น ที่จะทำได้รู้ว่า เราทำงานได้มีประสิทธิภาพขนาดไหน หรือ ทำงานตามที่ได้จัดลำดับความสำคัญไว้หรือไม่
วิธีนี้อาจจะยุ่งยากสักนิด แต่มันฟรี แล้วถ้าทำการ update เวลาอย่างมีวินัย ตามที่ทำงานจริง ๆ
ผลที่ได้ก็คุ้มค่ามาก
2) สำหรับผู้ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์เกือบตลอดเวลา อย่างเช่นผู้เขียนเป็นต้น
แทนที่จะเขียนโปรแกรมทำงาน กลับไปนั่งท่องเวป อ่าน blog ของเพื่อน ๆ กว่าจะรู้ตัว ก็ผ่านไปหลายชั่วโมง
เพื่อวิเคราะห์การใช้งานคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ ซึ่งจะเหมาะมากสำหรับการวัดค่า man-hour ที่ทำจริงในแต่ละโครงการ โปรแกรมนี้ชื่อว่า TimeSnapper ลองเข้าไปดูได้ที่นี่ http://timesnapper.com
โปรแกรมนี้จะจัดเก็บ screen shot ของหน้าจอตลอดที่โปรแกรมทำงาน เมื่อหมดหนึ่งวันผู้ใช้สามารถมาดูโดยสรุปว่าได้เรียกโปรแกรมใดขึ้นมาบ้าง เนื่องจากเป็น screen shot จึงเห็นกันชัด ๆ ว่าทำอะไรไปบ้าง
ตัวโปรแกรมยังสามารถตรวจจับว่าผู้ใช้งานใช้งานโปรแกรมใดบ้าง ในสัดส่วนเท่าไหร่ [รูปที่ 2]
ผู้ใช้งานสามารถตั้งได้ว่า โครงการที่กำลังทำอยู่ต้องใ้ช้ application อะไรบ้าง และอะไรไม่ควรใช้
อย่างเช่นใช้ทำสรุปยอดบัญชี ก็ควรต้องใช้ excel แต่ปรากฎว่า เวลาส่วนใหญ่ใช้สำหรับการทำงานของ IE หรือ Web Browser อันนี้ก็น่าจะแสดงว่า productivity ของงานต่ำ ซึ่งโปรแกรม ก็จะรายงานผลให้ทราบ [รูปที่ 3]
รูปที่ 3
เสียดายที่โปรแกรมนี้ในรูปแบบเต็มไม่ฟรี มีเวอร์ชั่นเต็มให้ทดลองใช้สามสิบวัน
และเวอร์ชั่นลำลองที่ทำได้เพียงจับภาพหน้าจอ ไม่สามารถรายงานผล productivity การทำงานของเราได้
แต่เวอร์ชั่นลำลองนี่ฟรีตลอด ถ้าสนใจก็ลองมาใช้กันดู ให้มันทำงานหนึ่งวัน แล้วมาเปิด screen shot ดูว่าหน้าจอของเราว่าวันนี้เราได้ทำอะไรไปบ้าง
เรื่องการบริหารเวลาคงมีเรื่องให้เขียนอีกมาก
เครื่องมือต่าง ๆ ที่กล่าวมาแค่บอกว่าทำอะไรไปบ้างอย่างไรเท่านั้น
เรายังไม่ได้บริหารเวลากันเลย....
วันนี้เวลาหมดแล้ว
ไว้ต่อครั้งหน้าดีกว่าครับ . . .
และเวอร์ชั่นลำลองที่ทำได้เพียงจับภาพหน้าจอ ไม่สามารถรายงานผล productivity การทำงานของเราได้
แต่เวอร์ชั่นลำลองนี่ฟรีตลอด ถ้าสนใจก็ลองมาใช้กันดู ให้มันทำงานหนึ่งวัน แล้วมาเปิด screen shot ดูว่าหน้าจอของเราว่าวันนี้เราได้ทำอะไรไปบ้าง
เรื่องการบริหารเวลาคงมีเรื่องให้เขียนอีกมาก
เครื่องมือต่าง ๆ ที่กล่าวมาแค่บอกว่าทำอะไรไปบ้างอย่างไรเท่านั้น
เรายังไม่ได้บริหารเวลากันเลย....
วันนี้เวลาหมดแล้ว
ไว้ต่อครั้งหน้าดีกว่าครับ . . .
วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2550
ตอบ คุณนา เรื่องการบริหาร
หลังจากเขียนเรื่อง ทักษะชีวิตพื้นฐาน +1 ไปเมื่อวันก่อน
ได้รับคอมมเมนต์มาจากคุณ na อ่านแล้วอยากตอบ
เลยมาเขียนตอบตรงนี้ดีกว่า
โอ้วว..นึกไม่ถึงจริงๆค่ะว่าจะพูดถึงเรื่องนี้ "การบริหารจัดการ" กำลังบูมมากเลยล่ะ เดี่ยวนี้หน่วยงานของนาก็พูดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกันค่ะ ถ้าจัดการดี..นอกจากงานจะเป็นระบบ ประหยัดเวลา แต่ก็ได้งานเนาะ ชีวิตคนเรามันยุ่งเหยิง สับสน เครียดบ้าง "การบริหารจัดการ" ตัวนี้น่าจะช่วยได้ค่ะ
เห็นด้วยครับ
คนที่จัดการชีวิตได้ดีลงตัว เป็นนักวางแผนยอดเยี่ยมเลยล่ะนาว่า ว่าแต่..คุณ PC จะกรุณาช่วยขยายความในประเด็นที่ว่า การจัดการนั้น..เราควรเริ่มจากอะไรยังไงก่อน คือพอจะพูดเป็นลำดับขั้นตอนให้เป็นแนวปฏิบัติได้จริงป่าวหนอ
ผู้เขียนเองก็ยังบริหารจัดการชีวิตได้ไม่ดีเท่าไหร่
ความจริง จะเห็นได้ว่า อาจารย์ ที่สอนวิชาบริหารจัดการ ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีบริษัทหรือองค์กรของตนเองให้ต้องบริหารจัดการ
คนที่บริหารจัดการเก่ง คงไม่ได้มีทฤษฎี หรือวิธีการตายตัว
แต่ การบริหารจัดการ นั้นเริ่มง่าย ๆ
เพียงแค่คิด
คิดว่า
จะทำทุกอย่างให้ดีขึ้นได้อย่างไร
ทำอย่างไรให้ทำงานน้อยลง และได้งานมากขึ้น
หรือจัดสรรเวลาอย่างไรให้ดีขึ้น
สำหรับเรื่องการจัดเวลานี้ กำลังหาข้อมูลและเขียนอยู่พอดี
โปรดติดตามที่นี่ เร็ว ๆ นี้
ผู้อาวุโส ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า
คนเรามีสมองและความฉลาดพอ ๆ กัน
อยู่ที่ใครจะสามารถจัดการ จัดระเีบียบเรื่องต่าง ๆ ได้ดีกว่าเท่านั้น
เอ๋..หรือว่าบริหารทั้งระบบของชีวิต ตั้งแต่นอนจนตื่นไปทำงานหรือว่ากิจกรรมต่าง เรื่องการกิน การอยู่ สังคม ประมาณนั้นเนาะ แล้วเราจะรู้ได้ไงล่ะ ว่าที่เราทำอยู่ ณ ปัจจุบัน มันบริหารจัดการดีไม่ดีแค่ไหน
อันนี้น่าคิด
จะรู้ว่าปัจจุบันดีหรือไม่ดี คงต้องให้ตัวเรารู้ตัวเอง
ถ้ารู้สึกว่ายังไม่ดี ก็คิดพยายามเปลี่ยน หาวิธี และลองปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วก็ดูผล
ถ้าดีก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง อาจจะคิดหาวิธีว่าทำให้ดีขึ้นไปอีกได้อย่างไร
ถ้าไม่ดีก็หาวิธีใหม่
ในชีวิตยกตัวอย่างง่าย ๆ เรื่องการจัดการ
ล้างจานเสร็จแล้ว เก็บจานอย่างไร ดูจากรูปที่ 1
เป็นผลงานของน้องคนหนึ่งที่มาเยี่ยมบ้านและอาสาล้างจาน
หลังจากล้างเสร็จเก็บจาน น้องก็บ่นว่า ทำไมที่เก็บจานบ้านพี่เก็บจานได้น้อยจัง
ก็ลองดูรูปที่ 1
ปรกติแล้วที่เก็บจานนี้เก็บถ้วยได้ 8 ใบ จานใหญ่ 5 ใบ และ แก้วอีก 6 ใบ
แต่จากรูปคงเห็นว่าเก็บได้ไม่ถึงครึ่งของทั้งหมด
ถ้าถามว่ามันเกิดขึ้นได้เพราะอะไร
ก็คงตอบได้อย่างเดียวว่า เพราะขาดการบริหารจัดการ
การจัดการถ้าทำดีก็เหมือนขนมหวาน
สวยงาม ง่าย ๆ อร่อยสบาย
ปล.แล้วการบริหารการจัดการนี่ต้องปฏิรูปชีวิตบ่อยๆเหมือนปฏิรูปทางการเมือง หรือทางการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมป่าวคะ แห่ะๆ^^"
ปรับเปลี่ยนคงทำได้ตลอดเวลาเพื่อให้ดีขึ้น
แต่ให้ปฏิรูปกันบ่อย อันนั้นก็เหนื่อยเกินไป
ของดีอยู่แล้วไปปฏิรูป ปฏิวัต
ิ
ดีไม่ดีจะถอยหลังเข้าคลอง แย่ไปกันใหญ่
ลืมไปที่นี่ เวป จิต-ใจ-ดี
ไม่มีเรื่องการเมืองดีกว่า
และรับรองครับว่า จะเขียนเรื่องการบริหารจัดการนี้อีก
โปรดคอยติดตาม
ได้รับคอมมเมนต์มาจากคุณ na อ่านแล้วอยากตอบ
เลยมาเขียนตอบตรงนี้ดีกว่า
โอ้วว..นึกไม่ถึงจริงๆค่ะว่าจะพูดถึงเรื่องนี้ "การบริหารจัดการ" กำลังบูมมากเลยล่ะ เดี่ยวนี้หน่วยงานของนาก็พูดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกันค่ะ ถ้าจัดการดี..นอกจากงานจะเป็นระบบ ประหยัดเวลา แต่ก็ได้งานเนาะ ชีวิตคนเรามันยุ่งเหยิง สับสน เครียดบ้าง "การบริหารจัดการ" ตัวนี้น่าจะช่วยได้ค่ะ
เห็นด้วยครับ
คนที่จัดการชีวิตได้ดีลงตัว เป็นนักวางแผนยอดเยี่ยมเลยล่ะนาว่า ว่าแต่..คุณ PC จะกรุณาช่วยขยายความในประเด็นที่ว่า การจัดการนั้น..เราควรเริ่มจากอะไรยังไงก่อน คือพอจะพูดเป็นลำดับขั้นตอนให้เป็นแนวปฏิบัติได้จริงป่าวหนอ
ผู้เขียนเองก็ยังบริหารจัดการชีวิตได้ไม่ดีเท่าไหร่
ความจริง จะเห็นได้ว่า อาจารย์ ที่สอนวิชาบริหารจัดการ ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีบริษัทหรือองค์กรของตนเองให้ต้องบริหารจัดการ
คนที่บริหารจัดการเก่ง คงไม่ได้มีทฤษฎี หรือวิธีการตายตัว
แต่ การบริหารจัดการ นั้นเริ่มง่าย ๆ
เพียงแค่คิด
คิดว่า
จะทำทุกอย่างให้ดีขึ้นได้อย่างไร
ทำอย่างไรให้ทำงานน้อยลง และได้งานมากขึ้น
หรือจัดสรรเวลาอย่างไรให้ดีขึ้น
สำหรับเรื่องการจัดเวลานี้ กำลังหาข้อมูลและเขียนอยู่พอดี
โปรดติดตามที่นี่ เร็ว ๆ นี้
ผู้อาวุโส ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า
คนเรามีสมองและความฉลาดพอ ๆ กัน
อยู่ที่ใครจะสามารถจัดการ จัดระเีบียบเรื่องต่าง ๆ ได้ดีกว่าเท่านั้น
เอ๋..หรือว่าบริหารทั้งระบบของชีวิต ตั้งแต่นอนจนตื่นไปทำงานหรือว่ากิจกรรมต่าง เรื่องการกิน การอยู่ สังคม ประมาณนั้นเนาะ แล้วเราจะรู้ได้ไงล่ะ ว่าที่เราทำอยู่ ณ ปัจจุบัน มันบริหารจัดการดีไม่ดีแค่ไหน
อันนี้น่าคิด
จะรู้ว่าปัจจุบันดีหรือไม่ดี คงต้องให้ตัวเรารู้ตัวเอง
ถ้ารู้สึกว่ายังไม่ดี ก็คิดพยายามเปลี่ยน หาวิธี และลองปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วก็ดูผล
ถ้าดีก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง อาจจะคิดหาวิธีว่าทำให้ดีขึ้นไปอีกได้อย่างไร
ถ้าไม่ดีก็หาวิธีใหม่
ในชีวิตยกตัวอย่างง่าย ๆ เรื่องการจัดการ
ล้างจานเสร็จแล้ว เก็บจานอย่างไร ดูจากรูปที่ 1
เป็นผลงานของน้องคนหนึ่งที่มาเยี่ยมบ้านและอาสาล้างจาน
หลังจากล้างเสร็จเก็บจาน น้องก็บ่นว่า ทำไมที่เก็บจานบ้านพี่เก็บจานได้น้อยจัง
ก็ลองดูรูปที่ 1
ปรกติแล้วที่เก็บจานนี้เก็บถ้วยได้ 8 ใบ จานใหญ่ 5 ใบ และ แก้วอีก 6 ใบ
แต่จากรูปคงเห็นว่าเก็บได้ไม่ถึงครึ่งของทั้งหมด
ถ้าถามว่ามันเกิดขึ้นได้เพราะอะไร
ก็คงตอบได้อย่างเดียวว่า เพราะขาดการบริหารจัดการ
การจัดการถ้าทำดีก็เหมือนขนมหวาน
สวยงาม ง่าย ๆ อร่อยสบาย
ปล.แล้วการบริหารการจัดการนี่ต้องปฏิรูปชีวิตบ่อยๆเหมือนปฏิรูปทางการเมือง หรือทางการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมป่าวคะ แห่ะๆ^^"
ปรับเปลี่ยนคงทำได้ตลอดเวลาเพื่อให้ดีขึ้น
แต่ให้ปฏิรูปกันบ่อย อันนั้นก็เหนื่อยเกินไป
ของดีอยู่แล้วไปปฏิรูป ปฏิวัต
ิ
ดีไม่ดีจะถอยหลังเข้าคลอง แย่ไปกันใหญ่
ลืมไปที่นี่ เวป จิต-ใจ-ดี
ไม่มีเรื่องการเมืองดีกว่า
และรับรองครับว่า จะเขียนเรื่องการบริหารจัดการนี้อีก
โปรดคอยติดตาม
วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2550
ฟังเพลงกันเถอะสบายใจ
วันนี้ขอแนะนำ Web Free Radio Online
สำหรับท่านที่ชอบฟังเพลง
้http://www.pandora.com
เป็นสถานีวิทยุออนไลน์
เน้นเปิดเพลงตามสไตล์ที่ท่านชอบ
เพียงบอกชื่อเพลงหรือนักร้องที่ชอบ
web จะค้นหาเพลงที่คล้าย ๆ กันที่คุณน่าจะชอบด้วย
มาเปิดให้ฟัง
สำหรับผู้เขียนเอง ชอบฟังเพลง ทำนอง เบา ๆ ไม่ต้องมีเนื้อร้อง
จะได้ไม่รบกวนเวลาทำงาน
เริ่มต้นค้นหาจากนักร้อง ชื่อ Enya
ผลคือเพลงต่อ ๆ มาที่ได้ฟังฟังสบายดี
และทำให้รู้จักชื่อนักร้องและเพลงในแบบเดียวกันอีกหลายคน
คุณภาพของเสียงดีมาก ระบบสเตอริโอชัดเจน
เพลงเปิดมาเรื่อย ๆ ไม่มีโฆษณาให้หงุดหงิดใจ
เพลงไหนที่ pandora หาให้ แต่คุณไม่ชอบก็สามารถบอกให้เปลี่ยนเพลงได้
และการค้นหาเพลงของ pandora ก็จะยิ่งหาให้ถูกใจคุณมากขึ้นในเพลงต่อ ๆ ไป
ที่สำคัญคือมัน ฟรี
ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงแต่อย่างใด
ทักษะชีวิตพื้นฐาน +1
เขียนต่อจากเมื่อวาน
ทักษะชีวิตพื้นฐาน 4 อย่างอันประกอบด้วย
ศิลปะ ดนตรี กีฬา และทำอาหาร
สี่อย่างนี้เป็นศิลปะพื้นฐาน มาก ๆ
แต่คนเราจะทำอะไรให้ดีนั้น มีีอีกอย่างหนึ่งที่จะนำไปใช้ประยุกต์ได้ทุกเรื่อง
+1 ที่ว่านี้ คือการบริหารจัดการ
รู้จักจัดการชีวิตตนเอง รู้จักลำดับความสำคัญของงานก่อนหลัง
บางคนสามารถทำให้เรื่องยาก ๆ ให้ง่ายได้
ก็เพราะว่ามีการจัดการที่ดี
ในขณะบางคนแค่เรื่องง่าย ๆ ก็ทำไม่ได้ เพราะจัดการอะไรไม่เป็น
หวังว่าผู้อ่าน คงได้รับประโยชน์จาก แนวคิดเรื่องทักษะชีวิตพื้นฐาน 4+1
จากประสบการณ์ตรง 30 ปีนี้นะครับ
:-)
วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2550
ทักษะชีวิตพื้นฐาน 4+1
พรุ่งนี้ของผู้เขียนนานมาก
กะว่าจะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่ 14 กันยา นี่ก็ล่วงเลยมาเกือบสัปดาห์
ก็นึกว่าจะมีคนทวง แต่ก็เงียบหายกัน
สงสัยที่นี่จะยังไม่ค่อยเป็นที่รู้ัจักเท่าไหร่
ใครเผลอผ่านมา ก็ comment ไว้ให้หน่อยแล้วกัน
สำหรับ เรื่องทักษะชีวิตพื้นฐาน 4+1 นั้น
ได้จากประสบการณ์ตรง คิดได้หลังจากที่มาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง
ต้องใช้ชีวิตคนเดียว และพยายามเอาตัวรอด
ทั้งด้านความเป็นอยู่ การเงิน การทำงาน
ผู้เขียนมองว่า การใช้ชีวิตให้อยู่เป็นสุข หรือเอาตัวรอดได้นั้น
เราควรต้องมีทักษะพื้นฐาน 4 อย่างเป็นสำคัญอันประกอบด้วย
1. ศิลปะ
2. ดนตรี
3. กีฬา
4. ทำอาหาร
ศิลปะนั้นทำให้เป็นคนจิตใจอ่อนโยน มองโลกในแง่ดี สามารถถ่ายทอดความรู้สึกจากสิ่งที่เห็นได้ อย่างน้อยเห็นภาพเขียนแล้วบอกได้ว่า สวย หรือไม่สวย สามารถบรรยายความรู้สึกทีเกิดจากความนึกคิด ให้ความเห็นในเชิงศิลปะกับสิ่งรอบตัวเป็น การใช้ประโยชน์อย่างง่าย ๆ ก็ทำให้จัดที่อยู่อาศัยให้สวยงามได้ สามารถประยุกต์สร้างสรรค์ผลงานหรือสื่อความคิดให้เป็นที่น่าสนใจได้
ถ้าเก่งขึ้นหน่อยถึงขึ้น สามารถสร้างสรรค์งานศิลปะได้ อันนั้นก็ถือว่าดีมาก เพราะอาจจะทำเป็นอาชีพได้
ดนตรี: ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก
ดนตรีคล้าย ๆ กับศิลปะ แต่(กลม)กล่อมชีวิตได้ง่ายกว่า คนเรารู้สึกสบาย ผ่อนคลายเมื่อได้ยินเสียง(เพลง)ที่ชอบ เด็กแรกเกิดยังรู้สึกแยกแยะระหว่างเพลงกล่อมและเสียงหนวกหูอึกทึก เป็นศิลปะที่เข้าถึงผู้คนได้ง่าย
กีฬา: เล่นกีฬาบ้าง ทำให้ทักษะในการเคลื่อนไหวร่างกายดี รู้จักหลบหลีกอันตราย สามารถป้องกันตัวได้ และไม่เจ็บป่วย ถ้าเล่นกีฬาเก่ง หรือมีการแข่งขันบ้างก็ทำให้ได้รู้จักเพื่อน รู้ัจักแพ้รู้จักชนะ เล่นกีฬาหนักๆ สารแห่งความสุข(อะดีนารีน)หลั่งก็ทำให้หายเครียด
อาหาร: อาหารเป็นปัจจัยหลัก ทุกคนต้องกิน การทำอาหารได้อร่อยเพื่อกินเอง ถือว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนควรทำเป็น อย่างน้อยก็เพื่อเลี้ยงตัวเอง ถ้าทำอร่อยมากก็ถือว่าเป็นเสน่ห์
ทำไมถึงเป็นสี่อย่างนี้
ลองคิดง่าย ๆ หรือสังเกตุจากหนังหลาย ๆ เรื่อง
ตัวละครที่มีแต่ตัวเปล่า ๆ ไปอยู่ต่างแดน ต่างถิ่น
จะทำให้ตัวเองให้อยู่รอด มักพึ่ง 4 ทักษะนี้เสมอ
ไม่ไปวาดรูป ก็มักจะไปเล่นดนตรีตามpub หรือไม่ก็ทำงานใช้กำลัง(กีฬา)
ส่วนทำกับข้าวนั้นต้องเลี้ยงตัวเองอยู่แล้ว
นี่คือทักษะพื้นฐาน 4 อย่าง
แล้วทำไมต้อง +1
ต้องบอกว่า อีกหนึ่งเป็นของเสริม
คุณคิดว่ามันน่าจะคืออะไร
ไว้มาเฉลยครั้งหน้าดีกว่าครับ
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2550
อัจฉริยะสร้างได้ด้วยสองมือพ่อแม่ (from ไทยรัฐ)
พญ.อดิศร์สุดากล่าวถึงสิ่งสำคัญในการสร้างอัจฉริยะแยกเป็น 4 หัวข้อใหญ่เรียกว่า “NSPL”
(N= Nutrition, S=Symphony, P=Play และ L= Language)
โดยเฉพาะวัย 4 ขวบแรกเป็นช่วงที่สมองเด็กเจริญเติบโตสูงสุด ยิ่งเริ่มตั้งแต่การปฏิสนธิกระทั่งคลอดยิ่งดี สารอาหารครบ 5 หมู่ เป็นโภชนาการที่ดีเหมือน ปุ๋ยดี น้ำดี แต่ไม่ใช่ทุกมื้อ อาจจะระหว่าง 3-4 วัน ฝึกให้เด็กกินเป็นเวลา การกินพร้อมหน้ากันเป็นบรรยากาศที่มีความสุข ไม่ใช่การทำสงครามระหว่างลูกกับพ่อแม่ ที่ต้องคอยวิ่งไล่ป้อนข้าว ป้อนน้ำ เป็นการผลักดันอาหารเข้าท้องเด็กที่ไม่ถูกต้อง วัฒนธรรมบ้านเราติดนิสัยไม่ให้กินข้าวเลอะเทอะ แต่การใช้เก้าอี้ High-Chair อย่างของฝรั่งก็น่านำมาเลียนแบบ ปล่อยให้เด็กนั่งทานเอง ยอมให้กินเรี่ยราด เขาจะรู้สึกสนุก เป็นตัวเอง เสริมสร้างคุณค่าในตัวเอง (self-esteem) ภาชนะก็ต้องมีสีสันเพื่อให้เขารู้ว่าเป็นของเขา หน้าตาอาหารก็ ต้องชวนน่ารับประทานด้วย
ที่มา ไทยรัฐ: full story
พรุ่งนี้ จะเขียนเรื่อง ทักษะจำเป็นพื้นฐาน 4+1 อย่าง ในการใช้ชีวิต
จากประสบการณ์จริงของผู้เขียน 30 ปี
วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2550
ทำดีได้ดี ?
>วันนี้วันพระ (อังคาร 11 กันยายน แรม 14 ค่ำ เดือน 9)
แม่เล่าให้ฟังว่า
ครั้งหนึ่งพ่อกับแม่ ไปนอนสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง
ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้มีพระรูปหนึ่ง
พวกเราเรียกท่านว่า พระอาจารย์ หรือ หลวงพ่อ
>หลายคนเคยสงสัยกับตัวเอง ว่าทำดีแล้วได้ดี จริงหรือ
>บางทีทำอะไรด้วยความเหนื่อยยาก แต่ไม่มีใครเห็นค่า
>บางที คงทำให้รู้สึกท้อ ขี้เกียจทำดีต่อ
ที่สำนักสงฆ์แห่งนั้น อยู่ในป่า ไกลจากตัวเมืองอยู่มาก
อาหารก็ได้จากญาติโยมนำเอาของสด ของแห้งขึ้นไปถวายบ้าง
ญาติโยมที่ปฏิบัติธรรมก็หมุนเปลี่ยนกันหุงหาอาหาร
ปีนี้หลวงพ่ออาพาธไม่ค่อยสบายนัก
หลักจากที่สอนธรรมะถึงดึกดื่นเที่ยงคืน
ทุกคนกำลังจะเลิกรา กลับกุฏิจำวัด เพราะดึกมากแล้ว
แม่เองก็เพลียมาก อยากพักหลักจากที่เดินจงกรม และปฏิบัิติธรรมมาทั้งวัน
หลวงพ่อเดินมาหาแล้วเปรยว่า หิวจัง ถ้าได้ข้าวต้มร้อน ๆ ก็คงดี
แม่จึงรีบกุลีีกุจอไปต้มข้าวต้ม ทำกับข้าวสองสามอย่าง
ทั้ง ๆ ที่แม่ทำกับข้าวไม่ค่อยเก่ง
ยิ่งต้องทำกับข้าวด้วยเตาถ่าน
ไฟจากตะเกียงเจ้าพายุก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักกับการที่ต้องทำกับข้าวยามดึกเช่นนี้
แม่ทำกับข้าวด้วยความทุลักทุเล
กว่าจะเสร็จก็กินเวลากว่าชั่วโมง
นำอาหารไปถวาย
พระอาจารย์บอกว่า
ไม่ฉันแล้ว...
ไม่หิวแล้ว....
กับข้าวทั้งหมดเลยไม่มีใครเหลียวแล
แม่เคืองอยู่ในใจว่า ย่อมเหนื่อย อดหลับอดนอน
พยายามทำกับข้าว
ทำแล้วก็ไม่มีใครกิน
ไม่มีใครเห็นคุณค่าของข้าวต้มและกับข้าวที่ทำเลย
>หลายคนเคยสงสัยกับตัวเอง ว่าทำดีแล้วได้ดี จริงหรือ
>บางทีทำอะไรด้วยความเหนื่อยยาก แต่ไม่มีใครเห็นค่า
>บางที คงทำให้รู้สึกท้อ ขี้เกียจทำดีต่อ
สองสามวันผ่านไป
พระอาจารย์ สอนธรรมะยามค่ำคืน มองมาที่แม่
แล้วสอนว่า
อะไรที่ทำไปแล้ว มันก็ดีทั้งนั้น
ถ้าตั้งใจดี มันก็ดี
ไม่ต้องห่วง กังวลหรอก ว่าผลจะเป็นเช่นไร
ทำด้วยความตั้งใจดีแล้ว มันก็ดีทั้งนั้น
> แม่เล่าให้ฟัง พร้อมสอนว่า
> อย่าไปกังวล
> ทำ ๆ ไป เดี๋ยวก็ดีเอง
> ไม่เห็นผลของความดี ตัวเราเองก็ได้ดีไปแล้ว
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2550
หนูแดง ไฮโซตระกูลดัง ได้ธรรมะกําลังใจเอาชนะมะเร็ง [10 ก.ย. 50 - 00:14]
เกิดเป็นไฮโซชาติตระกูลดี ใช่จะเพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง!! ดูอย่าง “หนูแดง-ทิพยนิภา สมะลาภา” ลูกสาวคนโตของ “ศักดิ์ทิพย์ และ ม.ร.ว.เบญจาภา ไกรฤกษ์” ต้อง ตื่นจากฝันดีมาเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ในชีวิต เมื่อวันหนึ่งพบว่ากำลังถูกโรคร้ายรุมเร้า เพราะป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย ทั้งๆที่เพิ่งคลอดลูกสาวคนแรกได้เพียง 10 วัน!!
ที่มา ไทยรัฐ : full story
วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2550
คอมพิวเตอร์ กับ รถโรสรอยซ์
"สมัยก่อนคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องราคา 10 ล้านดอลลาร์ ทำงานได้ 1 instruction ต่อวินาที
ตอนนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องราคา 1,000 ดอลลาร์ ทำงานได้ 1,000 ล้าน instruction ต่อวินาที
อัตราส่วนระหว่าง ราคาและประฺสิทธิภาพ (price/performance) เพิ่มขึ้น ถึง 10^13 เท่า !
ในปัจจุบันถ้ารถยนต์ถูกปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยอัตราที่เท่าๆ กันกับคอมพิวเตอร์
รถโรสรอยซ์หนึ่งคันจะราคา 1 ดอลลาร์ และ์ใช้น้ำมัน 1 แกลลอนสามารถวิ่งได้ 1,000 ล้านไมล์
( แต่ เป็นไปได้ว่าคู่มือในการเปิดประตูรถ อาจจะมี 200 หน้า !) "
จาก หนังสือ Distributed Systems Principles and Paradigm โดย Andrew S. Tanenbaum
ความจริงน่าจะแถมด้วยว่า ถ้ารถยังมีหน้าต่าง(Windows) อยู่
อาจจะทำให้เครื่องรวนแล้วต้องรีสตาร์ทบ่อย ๆ
ฮา
ตอนนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องราคา 1,000 ดอลลาร์ ทำงานได้ 1,000 ล้าน instruction ต่อวินาที
อัตราส่วนระหว่าง ราคาและประฺสิทธิภาพ (price/performance) เพิ่มขึ้น ถึง 10^13 เท่า !
ในปัจจุบันถ้ารถยนต์ถูกปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยอัตราที่เท่าๆ กันกับคอมพิวเตอร์
รถโรสรอยซ์หนึ่งคันจะราคา 1 ดอลลาร์ และ์ใช้น้ำมัน 1 แกลลอนสามารถวิ่งได้ 1,000 ล้านไมล์
( แต่ เป็นไปได้ว่าคู่มือในการเปิดประตูรถ อาจจะมี 200 หน้า !) "
จาก หนังสือ Distributed Systems Principles and Paradigm โดย Andrew S. Tanenbaum
ความจริงน่าจะแถมด้วยว่า ถ้ารถยังมีหน้าต่าง(Windows) อยู่
อาจจะทำให้เครื่องรวนแล้วต้องรีสตาร์ทบ่อย ๆ
ฮา
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2550
มหาภารตยุทธ
แนะนำหนังสือที่น่าอ่านอีกสักเล่มหนึ่ง
หากคุณเคยได้ยิน เรื่องเกี่ยวกับศรอรชุนที่ไม่เคยพลาดเป้า (เพลงของแอ๊ดคาราบาว)
เรื่องราวเกี่ยวกับภควัตคีตา นี่เป็นหนังสือที่ไม่ควรพลาด
อ่านสนุก ง่ายต่อการเข้าใจ และแฝงข้อคิดดีๆ มากมาย
" มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกนั้นมีไม่กี่ชิ้น ที่เป็นรากเหง้าจิตวิญญาณตะวันตกก็ได้แก่ อีเลียด และโอดิสซี ซึ่งรจนาโดยกวีโฮเมอร์ หากเป็นทางตะวันออกของเรา ก็คงไม่พ้นรามายณะ(รามเกียรติ์) และมหาภารตยุทธนี้เอง"
"การอ่านมหากาพย์มหาภารตะ ช่วยให้จิตใจของเรามีความเข้มแข็ง วรรณกรรมชิ้นนี้ สอนให้เราตระหนักถึงความจริงที่ว่า เวรย่อมก่อให้เกิดเวร ความโลภและการใช้ความรุนแรงมีแต่จะนำมนุษย์ไปสู่ความพินาศหายนะ และการชนะที่แท้จริงนั้น อยู่ที่การชนะธรรมชาติฝ่ายต่ำในตัวของเราเอง..."
จักรวะระตี ราชาโคปาลาจารี ผู้สำเร็จราชการคนแรกของอินเดีย
หากคุณเคยได้ยิน เรื่องเกี่ยวกับศรอรชุนที่ไม่เคยพลาดเป้า (เพลงของแอ๊ดคาราบาว)
เรื่องราวเกี่ยวกับภควัตคีตา นี่เป็นหนังสือที่ไม่ควรพลาด
อ่านสนุก ง่ายต่อการเข้าใจ และแฝงข้อคิดดีๆ มากมาย
" มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกนั้นมีไม่กี่ชิ้น ที่เป็นรากเหง้าจิตวิญญาณตะวันตกก็ได้แก่ อีเลียด และโอดิสซี ซึ่งรจนาโดยกวีโฮเมอร์ หากเป็นทางตะวันออกของเรา ก็คงไม่พ้นรามายณะ(รามเกียรติ์) และมหาภารตยุทธนี้เอง"
"การอ่านมหากาพย์มหาภารตะ ช่วยให้จิตใจของเรามีความเข้มแข็ง วรรณกรรมชิ้นนี้ สอนให้เราตระหนักถึงความจริงที่ว่า เวรย่อมก่อให้เกิดเวร ความโลภและการใช้ความรุนแรงมีแต่จะนำมนุษย์ไปสู่ความพินาศหายนะ และการชนะที่แท้จริงนั้น อยู่ที่การชนะธรรมชาติฝ่ายต่ำในตัวของเราเอง..."
จักรวะระตี ราชาโคปาลาจารี ผู้สำเร็จราชการคนแรกของอินเดีย
วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2550
โปรแกรมไล่(อี) หนู
เมื่อมีปัญหาสัตว์ไม่พึงประสงค์อยู่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ยุง หนู หรือ แมลงสาป
ครั้นจะ ตบยุง ทำกับดักหนู หรือ แมลงสาป
ก็จะเป็นการเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตโดยไม่จำเป็น
จิต-ใจ-ดี จึงขอเสนอแนวทาง ไล่สัตว์ไม่พึงประสงค์ ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
(ต่อไปนี้เป็นข้อความอธิบายโปรแกรมจาก thaiware.com )
โปรแกรม ไล่สัตว์ไม่พึงประสงค์ (Anti-MAL) : โปรแกรมนี้ จริงๆ แล้วเป็นโปรแกรมที่ถูกพัฒนา ต่อมาจาก โปรแกรม ไล่ยุง (Anti Mosquitoes) ของคุณ ศรัณยู บุณยรัตพันธุ์ ที่เคยโด่งดังเป็นอย่างมาก และสร้างสถิติ ของเว็บ Thaiware.com คือว่า คน ดาวน์โหลด 5 หมื่นคน ภายใน 3 วัน แต่ที่เปลี่ยนชื่อเป็น Anti-MAL ก็เพราะว่า มันไม่ได้มีอะไรไว้ไล่ยุงอย่างเดียวแล้ว ทางผู้พัฒนา ทำให้ โปรแกรมนี้ สามารถที่จะ ไล่หนู กับ ไล่แมลงสาบ รวมไปถึง ไล่ยุง ได้ด้วย เรียกได้ว่า งานนี้บริษัทกำจัดแมลง ยังอายละครับ ไม่มีสารพิษตกข้าง และ ขอยืนยันว่า โปรแกรมนี้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างแน่นอนครับ ... โดยโปรแกรมนี้จะให้ คอมพิวเตอร์ของท่านได้ส่งสัญญาณความถี่ ที่ สามารถไล่ยุงได้ ออกมาทางลำโพงครับ โดยในโปรแกรมมีให้เลือกหลาย Channel ครับ ก็ลองเลือกกันดู ครับ ...
ข้อมูลจาก thaiware: full story
โปรแกรม : Download
อีกหนึ่งทางเลือกเพื่อลดการเบียดเบียนสัตว์ร่วมโลก
( ตอนนี้ผู้เขียนกำลังทดลองใช้ ได้ผลเป็นอย่างไรจะแจ้งให้ทราบ ที่นี่ เร็ว ๆ นี้ โปรดติดตาม )
ครั้นจะ ตบยุง ทำกับดักหนู หรือ แมลงสาป
ก็จะเป็นการเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตโดยไม่จำเป็น
จิต-ใจ-ดี จึงขอเสนอแนวทาง ไล่สัตว์ไม่พึงประสงค์ ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
(ต่อไปนี้เป็นข้อความอธิบายโปรแกรมจาก thaiware.com )
โปรแกรม ไล่สัตว์ไม่พึงประสงค์ (Anti-MAL) : โปรแกรมนี้ จริงๆ แล้วเป็นโปรแกรมที่ถูกพัฒนา ต่อมาจาก โปรแกรม ไล่ยุง (Anti Mosquitoes) ของคุณ ศรัณยู บุณยรัตพันธุ์ ที่เคยโด่งดังเป็นอย่างมาก และสร้างสถิติ ของเว็บ Thaiware.com คือว่า คน ดาวน์โหลด 5 หมื่นคน ภายใน 3 วัน แต่ที่เปลี่ยนชื่อเป็น Anti-MAL ก็เพราะว่า มันไม่ได้มีอะไรไว้ไล่ยุงอย่างเดียวแล้ว ทางผู้พัฒนา ทำให้ โปรแกรมนี้ สามารถที่จะ ไล่หนู กับ ไล่แมลงสาบ รวมไปถึง ไล่ยุง ได้ด้วย เรียกได้ว่า งานนี้บริษัทกำจัดแมลง ยังอายละครับ ไม่มีสารพิษตกข้าง และ ขอยืนยันว่า โปรแกรมนี้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างแน่นอนครับ ... โดยโปรแกรมนี้จะให้ คอมพิวเตอร์ของท่านได้ส่งสัญญาณความถี่ ที่ สามารถไล่ยุงได้ ออกมาทางลำโพงครับ โดยในโปรแกรมมีให้เลือกหลาย Channel ครับ ก็ลองเลือกกันดู ครับ ...
ข้อมูลจาก thaiware: full story
โปรแกรม : Download
อีกหนึ่งทางเลือกเพื่อลดการเบียดเบียนสัตว์ร่วมโลก
( ตอนนี้ผู้เขียนกำลังทดลองใช้ ได้ผลเป็นอย่างไรจะแจ้งให้ทราบ ที่นี่ เร็ว ๆ นี้ โปรดติดตาม )
Art from Money
"Goldfish by C. K. Wilde copyright 2006"
ภาพที่เห็นด้านบนนั้นทำจากวัสดุต่างชนิด แต่มันคือสิ่งที่เรียกว่า เงินตรา (Money) ทั้งสิ้น
ผลงานของศิลปินชื่อว่า Chritopher "CK" Wilde เขาเลือกที่จะใช้วัสดุมีราคามาใช้ในงานศิลปะของเขา
วัสดุที่มีราคานี้คงจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเงินตรา นั้นเอง
เขาตัด เขาพับ เขาคัดสรร ส่วนต่าง ๆ จากสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าเงินตรา (ธนบัตร และ เหรียญ) มาทำเป็นงานศิลปะ Theme หรือใจหลักของงานศิลปะนี้ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับการค้า นับได้ว่า เขาตีโจทย์ทางศิลปะในอีกมุมหนึ่งได้อย่างน่าชมเชย...
เห็นรูปแล้วได้ความรู้สึก ของสิ่งสมมติที่เราเรียกว่าเงินตรา ทุกคนพยายามไขว้คว้า เหมือนว่ายิ่งมีเงินตรามากยิ่งมีความสุขมาก แท้จริงแล้วเป็นอย่างนั้นหรือ.....
ที่มาของข้อมูล: full story
ชมภาพเพิ่มเติม: gallery
เรื่องที่เกี่ยวข้อง: Kwari: Cash for kills
วันนี้ยังได้เพิ่มเติมบทความเกี่ยวกับการเล่นเกมส์ออนไลน์แล้วได้เงินด้วย ติดตามอ่านได้ที่ ภัยพิบัติ
ผลงานของศิลปินชื่อว่า Chritopher "CK" Wilde เขาเลือกที่จะใช้วัสดุมีราคามาใช้ในงานศิลปะของเขา
วัสดุที่มีราคานี้คงจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเงินตรา นั้นเอง
เขาตัด เขาพับ เขาคัดสรร ส่วนต่าง ๆ จากสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าเงินตรา (ธนบัตร และ เหรียญ) มาทำเป็นงานศิลปะ Theme หรือใจหลักของงานศิลปะนี้ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับการค้า นับได้ว่า เขาตีโจทย์ทางศิลปะในอีกมุมหนึ่งได้อย่างน่าชมเชย...
เห็นรูปแล้วได้ความรู้สึก ของสิ่งสมมติที่เราเรียกว่าเงินตรา ทุกคนพยายามไขว้คว้า เหมือนว่ายิ่งมีเงินตรามากยิ่งมีความสุขมาก แท้จริงแล้วเป็นอย่างนั้นหรือ.....
ที่มาของข้อมูล: full story
ชมภาพเพิ่มเติม: gallery
เรื่องที่เกี่ยวข้อง: Kwari: Cash for kills
วันนี้ยังได้เพิ่มเติมบทความเกี่ยวกับการเล่นเกมส์ออนไลน์แล้วได้เงินด้วย ติดตามอ่านได้ที่ ภัยพิบัติ
วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2550
ธรรมะแห่งความดับทุกข์ ดูความปรุงแต่ง
การดับทุกข์ไม่ได้ยากอะไร
เพียงแค่เห็นชีวิตของเราเหมือนดูละครหลังข่าว
เห็นแล้วก็ผ่านไป
ไม่ต้องคิดว่าเราเป็นพระเอก นางเอก
ไม่ต้องคิดว่าเราเป็นผู้ร้าย
ดูมันไปเรื่อยๆ
สนุกก็รู้ว่าสนุก
เศร้าก็รู้ว่าเศร้า
แต่ไม่ต้องเอามันมาเป็นความทุกข์ของเรา
บทสรุปที่ได้จากผู้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง
ที่มีข้อความบนปกหลังว่า...
"... พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนเรื่องอะไรอื่น นอกจากทุกข์ และความดับทุกข์ ปฏิบัติให้รู้ัจักทุกข์ แล้วดับทุกข์ได้ก็พอแล้ว เรื่องโลก เรื่องชาติหน้า ชาติหลัง นรก สวรรค์ จะมีจริงหรือไม่จริง ไม่ต้องไปรู้ก็ได้ ถึงจะรู้ ก็ใช่ว่าดับทุกข์ได้
.... ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการรู้ัจักทุกข์ และเหตุแห่งทุกข์ เข้าถึงความดับทุกข์ ถ้าเจริญข้อปฏิบัติได้เต็มที่ ก็หมดปัญหา หมดความสงสัย ถึงไม่มีฤทธิ์ ไม่มีเดช ไม่มีตาทิพย์ หูทิพย์ ไม่ได้ไปรู้วาระจิตของใคร ไม่ได้มีวิชาอาคมอะไร ก็ไม่สำคัญ ขอให้จิตสะอาด จิตบริสุทธิ์ ขอให้ดับทุกข์ให้ตัวเองได้เท่านั้น เพราะว่าไม่มีอะไรเหนือกว่าการดับทุกข์ ปัญหาทั้งหลายแหล่ ก็รวมอยู่ในเรื่องของความทุกข์ ดังนั้นสิ่งที่ควรได้ควรถึงก็คือความดับทุกข์...."
เขมรังสี ภิกขุ
คัดลอกจากท้ายปกหนังสือ ธรรมะแห่งความดับทุกข์ ดูความปรุงแต่ง โดย เขมรังสี ภิกขุ
หนังสือเล่มเล็ก ๆ อีกหนึ่งเล่มที่ผู้สนใจศาสนาพุทธควรอ่าน
เพียงแค่เห็นชีวิตของเราเหมือนดูละครหลังข่าว
เห็นแล้วก็ผ่านไป
ไม่ต้องคิดว่าเราเป็นพระเอก นางเอก
ไม่ต้องคิดว่าเราเป็นผู้ร้าย
ดูมันไปเรื่อยๆ
สนุกก็รู้ว่าสนุก
เศร้าก็รู้ว่าเศร้า
แต่ไม่ต้องเอามันมาเป็นความทุกข์ของเรา
บทสรุปที่ได้จากผู้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง
ที่มีข้อความบนปกหลังว่า...
"... พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนเรื่องอะไรอื่น นอกจากทุกข์ และความดับทุกข์ ปฏิบัติให้รู้ัจักทุกข์ แล้วดับทุกข์ได้ก็พอแล้ว เรื่องโลก เรื่องชาติหน้า ชาติหลัง นรก สวรรค์ จะมีจริงหรือไม่จริง ไม่ต้องไปรู้ก็ได้ ถึงจะรู้ ก็ใช่ว่าดับทุกข์ได้
.... ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการรู้ัจักทุกข์ และเหตุแห่งทุกข์ เข้าถึงความดับทุกข์ ถ้าเจริญข้อปฏิบัติได้เต็มที่ ก็หมดปัญหา หมดความสงสัย ถึงไม่มีฤทธิ์ ไม่มีเดช ไม่มีตาทิพย์ หูทิพย์ ไม่ได้ไปรู้วาระจิตของใคร ไม่ได้มีวิชาอาคมอะไร ก็ไม่สำคัญ ขอให้จิตสะอาด จิตบริสุทธิ์ ขอให้ดับทุกข์ให้ตัวเองได้เท่านั้น เพราะว่าไม่มีอะไรเหนือกว่าการดับทุกข์ ปัญหาทั้งหลายแหล่ ก็รวมอยู่ในเรื่องของความทุกข์ ดังนั้นสิ่งที่ควรได้ควรถึงก็คือความดับทุกข์...."
เขมรังสี ภิกขุ
คัดลอกจากท้ายปกหนังสือ ธรรมะแห่งความดับทุกข์ ดูความปรุงแต่ง โดย เขมรังสี ภิกขุ
หนังสือเล่มเล็ก ๆ อีกหนึ่งเล่มที่ผู้สนใจศาสนาพุทธควรอ่าน
วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2550
ทางชีวิต
ตอนช่วงวัยรุ่น เริ่มริอยากลองอะไรหลาย ๆ อย่าง ยิ่งต้องอยู่ไกลจากทางบ้านและครอบครัวด้วยแล้ว
ยิ่งทำให้พบว่ามีสิ่งล่อใจ น่าลองมากมาย
ครั้งหนึ่งกลับไปเยี่ยมบ้าน จู่ ๆ พ่อก็พูดขึ้นว่า
"สูบบุหรี่หรือเปล่า ตระกูลเราไม่มีใครสูบบุหรี่นะลูก"
แล้วพ่อก็ไปคุยเรื่องอื่น โดยไม่ได้สนใจจะฟังคำตอบจากลูกชาย
แต่ข้อความสั้น ๆ ก็กินใจ เอานำกลับไปเล่าให้เพื่อนฟัง จนทำให้เพื่อนล้อจนถึงทุกวันนี้
แต่มันก็ทำให้ผู้เขียนเลิกคิดที่จะติดบุหรี่ตั้งแต่นั้น
เมื่อโตขึ้น เริ่มมีงาน และเริ่มเครียดจากงาน
กลับไปบ้านอีกครั้ง
พ่อพูดถึงความเครียดให้ฟังว่า
ชีวิตคนเราถ้ามีป้ายบอกอย่างที่เห็นข้างล่างก็คงจะดี
พ่อบอกว่า มันจะได้ไม่เครียด
พ่อบอกอีกว่า ความเครียดของคนเรานั้น สาเหตุง่าย ๆ เกิดจากการมีทางเลือกมากเกินไป
ต้องเลือกว่าจะทำหรือจะไม่ทำ ต้องเลือกว่าจะทำแบบไหนดี กลัวผลที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งที่เลือก
และกลัวว่าจะเสียดายสิ่งที่ไม่ได้เลือก
พอคิดหนัก ๆ เข้า หาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะเลือกทางไหนดี ก็เลยเครียด เป็นทุกข์
หนักเข้าก็ทำร้ายตัวเองฆ่าตัวตาย จะได้จบกันไปไม่ต้องเืลือกอะไรอีก
ถ้ามีคนมาบอกเลยว่าต้องทำอย่างไร ห้ามทำอะไร ขีดทางเดินชีวิตให้เห็นชัดๆ
แล้วเราเชื่อเขาอย่างสุดจิตสุดใจ ก็ไม่เครียดหรอก
ลองคิดภาพ หมาที่เกิดมามีแค่สามขา ดูสิ คิดว่า หมาสามขา จะเครียดไหม
> อ้าว ก็น่าจะเครียดสิ ดูน่าอนาจจะตาย หมาตัวอื่นก็มีสี่ขาหมด มันไปไหนมาไหนก็ลำบาก มันต้องทรมาณมาก ๆ
ผู้เขียนตอบ
พ่อบอกว่า ไม่ใช่หมาก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่เห็นหมามันก็อยู่ของมันดี ๆ ไปไหนต่อไหนได้ ถ้าหิวก็หาของกินให้อิ่ม
กินอิ่ม แล้วก็นอนหลับ
ไม่เคยเห็นหมาตัวไหนฆ่าตัวตายสักตัว
บางทีมันอาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันควรจะมีสี่ขา
นี่แหล่ะเพราะมันไม่มีทางเลือก มันก็ทำไปตามทางของมัน
แล้วมันก็ไม่เครียด
หลังจากพูดจบ
พ่อไม่ได้กล่าวอะไรต่อ คงเป็นเพราะพ่อไม่ใช่อีสป ที่ต้องบอกว่า
"นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..........."
ยิ่งทำให้พบว่ามีสิ่งล่อใจ น่าลองมากมาย
ครั้งหนึ่งกลับไปเยี่ยมบ้าน จู่ ๆ พ่อก็พูดขึ้นว่า
"สูบบุหรี่หรือเปล่า ตระกูลเราไม่มีใครสูบบุหรี่นะลูก"
แล้วพ่อก็ไปคุยเรื่องอื่น โดยไม่ได้สนใจจะฟังคำตอบจากลูกชาย
แต่ข้อความสั้น ๆ ก็กินใจ เอานำกลับไปเล่าให้เพื่อนฟัง จนทำให้เพื่อนล้อจนถึงทุกวันนี้
แต่มันก็ทำให้ผู้เขียนเลิกคิดที่จะติดบุหรี่ตั้งแต่นั้น
เมื่อโตขึ้น เริ่มมีงาน และเริ่มเครียดจากงาน
กลับไปบ้านอีกครั้ง
พ่อพูดถึงความเครียดให้ฟังว่า
ชีวิตคนเราถ้ามีป้ายบอกอย่างที่เห็นข้างล่างก็คงจะดี
พ่อบอกว่า มันจะได้ไม่เครียด
พ่อบอกอีกว่า ความเครียดของคนเรานั้น สาเหตุง่าย ๆ เกิดจากการมีทางเลือกมากเกินไป
ต้องเลือกว่าจะทำหรือจะไม่ทำ ต้องเลือกว่าจะทำแบบไหนดี กลัวผลที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งที่เลือก
และกลัวว่าจะเสียดายสิ่งที่ไม่ได้เลือก
พอคิดหนัก ๆ เข้า หาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะเลือกทางไหนดี ก็เลยเครียด เป็นทุกข์
หนักเข้าก็ทำร้ายตัวเองฆ่าตัวตาย จะได้จบกันไปไม่ต้องเืลือกอะไรอีก
ถ้ามีคนมาบอกเลยว่าต้องทำอย่างไร ห้ามทำอะไร ขีดทางเดินชีวิตให้เห็นชัดๆ
แล้วเราเชื่อเขาอย่างสุดจิตสุดใจ ก็ไม่เครียดหรอก
ลองคิดภาพ หมาที่เกิดมามีแค่สามขา ดูสิ คิดว่า หมาสามขา จะเครียดไหม
> อ้าว ก็น่าจะเครียดสิ ดูน่าอนาจจะตาย หมาตัวอื่นก็มีสี่ขาหมด มันไปไหนมาไหนก็ลำบาก มันต้องทรมาณมาก ๆ
ผู้เขียนตอบ
พ่อบอกว่า ไม่ใช่หมาก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่เห็นหมามันก็อยู่ของมันดี ๆ ไปไหนต่อไหนได้ ถ้าหิวก็หาของกินให้อิ่ม
กินอิ่ม แล้วก็นอนหลับ
ไม่เคยเห็นหมาตัวไหนฆ่าตัวตายสักตัว
บางทีมันอาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันควรจะมีสี่ขา
นี่แหล่ะเพราะมันไม่มีทางเลือก มันก็ทำไปตามทางของมัน
แล้วมันก็ไม่เครียด
หลังจากพูดจบ
พ่อไม่ได้กล่าวอะไรต่อ คงเป็นเพราะพ่อไม่ใช่อีสป ที่ต้องบอกว่า
"นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..........."
วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2550
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
วันนี้ขอแนะนำหนังสือเล่มเล็กอีกสักเล่ม
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
โดย พระธรรมปฎก
(ข้อความต่อไปนี้คัดปกหลังหนังสือ โดยไม่มีการตัดต่อ)
"... กายกับใจนั้นเป็นสิ่งอาศัยกันและกัน พอกายเจ็บป่วยไม่สบาย คนทั่วไปก็มักจะพาลจิตใจไม่สบาย เศร้าหมอง กระวนกระวาย กระสับกระส่าย ไปด้วย และในทำนองเดียวกัน เืมื่อจิตไม่สบายก็พลอยให้กายไม่สบายไปด้วย เริ่มต้นตั้งแต่รับประทานอาหารไม่ได้ ร่างกายเศร้าหมอง พิวพรรณซูบซีด เป็นสิ่งที่เนื่องอาศัยกัน
ในทางตรงข้าม คือในทางที่ดี ถ้าจิตใจดี สบาย บางทีก็กลับมาช่วยกาย เช่นในยามเจ็บป่วยถ้าจิตใจสบาย เช่น มีกำลังใจ หรือจิตใจผ่องใสเบิกบาน โรคที่เป็นมาก ก็กลายเป็นน้อย หรือที่จะหายยากก็หายง่ายขึ้น... ทั้งนี้ก็อยู่ที่ว่าจะช่วยทำใจของเราหรือรักษาใจของเราได้มากแค่ไหน "
กล่าวโดยย่อ สำหรับหลักปฏิบัติ (ตามที่ผู้เขียนเข้าใจ) ได้ดังนี้:
เมื่อกายดีจิตก็ดี ในทางกลับกันเมื่อจิตดีกายก็ดีตามไปด้วย
สำหรับหลักปฏิบัติโพชฌงค์นั้นมีทั้งหมด 7 ข้อ ประกอบด้วย
1) สติ
การระลึกได้ การรับรู้ของจิตไม่หลุดลอย ไม่หล่นหาย
2) ธรรมวิจัย
การไตร่ตรอง พิจารณา ค้นคว้า ความจริง(ธรรม) ความถูกต้อง สิ่งที่ดีงาม ที่เป็นประโยชน์
3) วิริยะ
มีความเพียรตั้งใจ มีความเข้มแข็ง
4) ปิติ
ทำใจให้มีความสุขอิ่มเอม ไม่เครียดไม่วิตก
5) ปัสสัทธิ
ความสงบเยือกเย็น ผ่อนคลาย
6) สมาธิ
ความตั้งจิตมั่นหรือแน่วแน่อยู่กับสิ่งนั้น ๆ ทำงานใด ๆ ก็ให้ใจแน่วแน่
7) อุเบกขา
วางเฉย การเรียบสงบของจิตที่เป็นกลาง ไม่เอนเอียง เฉยต้องสิ่งที่มากระทบ
อ่านเพิ่มเติม : พลังจิต.com
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
โดย พระธรรมปฎก
(ข้อความต่อไปนี้คัดปกหลังหนังสือ โดยไม่มีการตัดต่อ)
"... กายกับใจนั้นเป็นสิ่งอาศัยกันและกัน พอกายเจ็บป่วยไม่สบาย คนทั่วไปก็มักจะพาลจิตใจไม่สบาย เศร้าหมอง กระวนกระวาย กระสับกระส่าย ไปด้วย และในทำนองเดียวกัน เืมื่อจิตไม่สบายก็พลอยให้กายไม่สบายไปด้วย เริ่มต้นตั้งแต่รับประทานอาหารไม่ได้ ร่างกายเศร้าหมอง พิวพรรณซูบซีด เป็นสิ่งที่เนื่องอาศัยกัน
ในทางตรงข้าม คือในทางที่ดี ถ้าจิตใจดี สบาย บางทีก็กลับมาช่วยกาย เช่นในยามเจ็บป่วยถ้าจิตใจสบาย เช่น มีกำลังใจ หรือจิตใจผ่องใสเบิกบาน โรคที่เป็นมาก ก็กลายเป็นน้อย หรือที่จะหายยากก็หายง่ายขึ้น... ทั้งนี้ก็อยู่ที่ว่าจะช่วยทำใจของเราหรือรักษาใจของเราได้มากแค่ไหน "
กล่าวโดยย่อ สำหรับหลักปฏิบัติ (ตามที่ผู้เขียนเข้าใจ) ได้ดังนี้:
เมื่อกายดีจิตก็ดี ในทางกลับกันเมื่อจิตดีกายก็ดีตามไปด้วย
สำหรับหลักปฏิบัติโพชฌงค์นั้นมีทั้งหมด 7 ข้อ ประกอบด้วย
1) สติ
การระลึกได้ การรับรู้ของจิตไม่หลุดลอย ไม่หล่นหาย
2) ธรรมวิจัย
การไตร่ตรอง พิจารณา ค้นคว้า ความจริง(ธรรม) ความถูกต้อง สิ่งที่ดีงาม ที่เป็นประโยชน์
3) วิริยะ
มีความเพียรตั้งใจ มีความเข้มแข็ง
4) ปิติ
ทำใจให้มีความสุขอิ่มเอม ไม่เครียดไม่วิตก
5) ปัสสัทธิ
ความสงบเยือกเย็น ผ่อนคลาย
6) สมาธิ
ความตั้งจิตมั่นหรือแน่วแน่อยู่กับสิ่งนั้น ๆ ทำงานใด ๆ ก็ให้ใจแน่วแน่
7) อุเบกขา
วางเฉย การเรียบสงบของจิตที่เป็นกลาง ไม่เอนเอียง เฉยต้องสิ่งที่มากระทบ
อ่านเพิ่มเติม : พลังจิต.com
วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2550
SWOT: วิเคราะห์ตัวเอง เพื่อไปสู่เป้าหมาย
.
.
SWOT Analysis นั้นส่วนใหญ่ใช้สำหรับการวิเคราะห์ธุรกิจหรือองค์กร
แต่ความจริงแล้วถ้าเปรียบตัวเองเป็นองค์กรหนึ่ง การวิเคราะห์ SWOT ก็จะำทำให้เราได้รู้จักตัวตนของเราดีขึ้น
ลองหาเวลาว่างให้ตัวเองสักชั่วโมง นั่งคิดว่าชีวิตนี้อยากให้เป็นอย่างไร (ตั้งเป้าหมาย) แล้วลองวิเคราะห์ตัวเองว่าเป็นอย่างไรด้วยการวิเคราะห์ SWOT นั่งคิดและจดรายการแต่ละหัวข้อ
Strengths : อะไรที่เป็นจุดแข็งของเรา เป็นข้อดี ข้อเด่น เราเก่งด้านไหน
เมื่อเรารู้ว่าเราเก่งด้านไหน หรือชอบอะไร ก็จะได้เสริม ทำมันบ่อย ๆ หรือพยายามหันเหชีวิตไปทำในสิ่งที่ตัวเองเก่ง
Weakness: อะไรที่เป็นจุดอ่อนของเรา เราทำอะไรไม่ได้ดี
อะไรที่เราไม่ได้ดี อะไรที่เป็นจุดอ่อนของเราก็พยายามเลี่ยง
Opportunities: ดูจากปัจจัยภายนอก รอบตัวเราแ้ล้ว เรามีโอกาสดีอะไรบ้าง
ลองคิดเผื่อไว้ว่าจะีมีโอกาสอะไรผ่านเข้ามาบ้าง จะได้ตระเตรียมความพร้อมตัวเองได้ถูก
ดังคำกล่าวที่่ว่า คนที่ประสบความสำเร็จ นั้นมีโอกาสผ่านเข้ามาในชีวิตไม่กี่ครั้ง แต่เขาสามารถใช้ความสามารถของตนทำโอกาสให้ประสบความสำเ็ร็จได้
Threats: ภัยคุมคาม หรือปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ มันเกิดขึ้นแน่ ๆ จะมีอะไร
เป็นโรคอะไรไหม จะมีอะไรเป็นอุปสรรคกับชีวิตเราบ้าง
จะได้เตรียมป้องกันไม่ให้มันเกิด ได้เตรียมทางหนีทีไล่ไว้
หรืออย่างน้อยก็ได้เตรียมใจไว้ก่อน ถ้ามันเกิดขึ้นก็จะได้มีสติ ประคับประคอง
หลังจากใช้ SWOT จนรู้จักตัวเองดีแล้ว ก็ลองคิดวิธีหาแนวปฏบัติสอดคล้องกับ SWOT ของตนที่ได้
ฝันให้ไกลและไปให้ถึง
อ้างอิง wiki
.
SWOT Analysis นั้นส่วนใหญ่ใช้สำหรับการวิเคราะห์ธุรกิจหรือองค์กร
แต่ความจริงแล้วถ้าเปรียบตัวเองเป็นองค์กรหนึ่ง การวิเคราะห์ SWOT ก็จะำทำให้เราได้รู้จักตัวตนของเราดีขึ้น
ลองหาเวลาว่างให้ตัวเองสักชั่วโมง นั่งคิดว่าชีวิตนี้อยากให้เป็นอย่างไร (ตั้งเป้าหมาย) แล้วลองวิเคราะห์ตัวเองว่าเป็นอย่างไรด้วยการวิเคราะห์ SWOT นั่งคิดและจดรายการแต่ละหัวข้อ
Strengths : อะไรที่เป็นจุดแข็งของเรา เป็นข้อดี ข้อเด่น เราเก่งด้านไหน
เมื่อเรารู้ว่าเราเก่งด้านไหน หรือชอบอะไร ก็จะได้เสริม ทำมันบ่อย ๆ หรือพยายามหันเหชีวิตไปทำในสิ่งที่ตัวเองเก่ง
Weakness: อะไรที่เป็นจุดอ่อนของเรา เราทำอะไรไม่ได้ดี
อะไรที่เราไม่ได้ดี อะไรที่เป็นจุดอ่อนของเราก็พยายามเลี่ยง
Opportunities: ดูจากปัจจัยภายนอก รอบตัวเราแ้ล้ว เรามีโอกาสดีอะไรบ้าง
ลองคิดเผื่อไว้ว่าจะีมีโอกาสอะไรผ่านเข้ามาบ้าง จะได้ตระเตรียมความพร้อมตัวเองได้ถูก
ดังคำกล่าวที่่ว่า คนที่ประสบความสำเร็จ นั้นมีโอกาสผ่านเข้ามาในชีวิตไม่กี่ครั้ง แต่เขาสามารถใช้ความสามารถของตนทำโอกาสให้ประสบความสำเ็ร็จได้
Threats: ภัยคุมคาม หรือปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ มันเกิดขึ้นแน่ ๆ จะมีอะไร
เป็นโรคอะไรไหม จะมีอะไรเป็นอุปสรรคกับชีวิตเราบ้าง
จะได้เตรียมป้องกันไม่ให้มันเกิด ได้เตรียมทางหนีทีไล่ไว้
หรืออย่างน้อยก็ได้เตรียมใจไว้ก่อน ถ้ามันเกิดขึ้นก็จะได้มีสติ ประคับประคอง
หลังจากใช้ SWOT จนรู้จักตัวเองดีแล้ว ก็ลองคิดวิธีหาแนวปฏบัติสอดคล้องกับ SWOT ของตนที่ได้
ฝันให้ไกลและไปให้ถึง
อ้างอิง wiki
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)