>วันนี้วันพระ (อังคาร 11 กันยายน แรม 14 ค่ำ เดือน 9)แม่เล่าให้ฟังว่า
ครั้งหนึ่งพ่อกับแม่ ไปนอนสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง
ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้มีพระรูปหนึ่ง
พวกเราเรียกท่านว่า พระอาจารย์ หรือ หลวงพ่อ
>หลายคนเคยสงสัยกับตัวเอง ว่าทำดีแล้วได้ดี จริงหรือ
>บางทีทำอะไรด้วยความเหนื่อยยาก แต่ไม่มีใครเห็นค่า
>บางที คงทำให้รู้สึกท้อ ขี้เกียจทำดีต่อที่สำนักสงฆ์แห่งนั้น อยู่ในป่า ไกลจากตัวเมืองอยู่มาก
อาหารก็ได้จากญาติโยมนำเอาของสด ของแห้งขึ้นไปถวายบ้าง
ญาติโยมที่ปฏิบัติธรรมก็หมุนเปลี่ยนกันหุงหาอาหาร
ปีนี้หลวงพ่ออาพาธไม่ค่อยสบายนัก
หลักจากที่สอนธรรมะถึงดึกดื่นเที่ยงคืน
ทุกคนกำลังจะเลิกรา กลับกุฏิจำวัด เพราะดึกมากแล้ว
แม่เองก็เพลียมาก อยากพักหลักจากที่เดินจงกรม และปฏิบัิติธรรมมาทั้งวัน
หลวงพ่อเดินมาหาแล้วเปรยว่า หิวจัง ถ้าได้ข้าวต้มร้อน ๆ ก็คงดี
แม่จึงรีบกุลีีกุจอไปต้มข้าวต้ม ทำกับข้าวสองสามอย่าง
ทั้ง ๆ ที่แม่ทำกับข้าวไม่ค่อยเก่ง
ยิ่งต้องทำกับข้าวด้วยเตาถ่าน
ไฟจากตะเกียงเจ้าพายุก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักกับการที่ต้องทำกับข้าวยามดึกเช่นนี้
แม่ทำกับข้าวด้วยความทุลักทุเล
กว่าจะเสร็จก็กินเวลากว่าชั่วโมง
นำอาหารไปถวาย
พระอาจารย์บอกว่า
ไม่ฉันแล้ว...
ไม่หิวแล้ว....
กับข้าวทั้งหมดเลยไม่มีใครเหลียวแล
แม่เคืองอยู่ในใจว่า ย่อมเหนื่อย อดหลับอดนอน
พยายามทำกับข้าว
ทำแล้วก็ไม่มีใครกิน
ไม่มีใครเห็นคุณค่าของข้าวต้มและกับข้าวที่ทำเลย
>หลายคนเคยสงสัยกับตัวเอง ว่าทำดีแล้วได้ดี จริงหรือ>บางทีทำอะไรด้วยความเหนื่อยยาก แต่ไม่มีใครเห็นค่า>บางที คงทำให้รู้สึกท้อ ขี้เกียจทำดีต่อสองสามวันผ่านไป
พระอาจารย์ สอนธรรมะยามค่ำคืน มองมาที่แม่
แล้วสอนว่า
อะไรที่ทำไปแล้ว มันก็ดีทั้งนั้น
ถ้าตั้งใจดี มันก็ดี
ไม่ต้องห่วง กังวลหรอก ว่าผลจะเป็นเช่นไร
ทำด้วยความตั้งใจดีแล้ว มันก็ดีทั้งนั้น
> แม่เล่าให้ฟัง พร้อมสอนว่า
> อย่าไปกังวล> ทำ ๆ ไป เดี๋ยวก็ดีเอง> ไม่เห็นผลของความดี ตัวเราเองก็ได้ดีไปแล้ว
แปลกจัง...พระฉันหลังเพลได้ด้วยเหรอ??
ตอบลบพระที่ป่วยหรืออาพาธ
ตอบลบฉันยาหรืออาหารเพื่อประทังชีวิตได้ครับ
แต่เท่าที่เห็นมา ก็ไม่เคยเห็นพระอาจารย์ฉันหลังเพลสักที ปรกติท่านเคร่งมาก
แม่บอกว่า คิดว่าท่านป่วยไม่ไหวจริง ๆ จึงได้เปรยออกมา
จนถึงขณะนี้ เข้าใจว่าท่านก็ไม่เคยฉันหลังเพลครับ แม้จะป่วยหนักอาพาธมากขึ้นก็ตาม