วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2550
เหตุสมควรโกรธ ไม่มีในโลก
แนะนำหนังสือ เหตุสมควรโกรธ ไม่มีในโลก
โดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
หนังสือเล่มเล็ก อ่านไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็จบ
แต่แฝงด้วยข้อคิดและแนวทางปฏิบัติ
ตั้งแต่ทำให้รู้จักว่าความโกรธคืออะไร
และจะทำอย่างไรเพื่อ ลด ละ และ เลิก ความโกรธ
อันเป็นสาเหตุหนึ่งแห่งทุกข์
ฆ่าความโกรธได้ อยู่เป็นสุข
ต่อไปนี้เป็นข้อความจากหนังสือ (คัดมาโดยไม่ได้ตัดต่อ)
ตอนที่ ๓
ไฟไหม้บ้าน – ดับไฟก่อน
เมื่อเรากระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจ จะโกรธ อยากโกรธ
หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
จนกว่าใจจะสงบสบาย เมื่อเราไม่พอใจ ไม่ต้องคิด
อย่าคิดไปตามอารมณ์ คิดว่า ทำไมเขาทำอย่างนี้
เขาไม่น่าทำเช่นนี้
..... พิจารณาดู.....
สมมติเมื่อเรากำลังกลับเข้าบ้าน
มองเห็นควัน มีไฟลุกขึ้น ไฟกำลังไหม้บ้านของเรา
ถึงแม้เรามองเห็นว่า มีใครวิ่งหนีไปก็ตาม
เราไม่ต้องคิดสงสัยว่า เขาเป็นผู้ร้ายหรือเปล่า
สิ่งที่ต้องทำก่อนทุกอย่างคือ วิ่งเข้าไปหาทางดับไฟ
ให้เร็วที่สุด หาน้ำ หาเครื่องดับไฟ ผ้าห่ม ฯลฯ
ทำดีที่สุดเพื่อที่จะดับไฟให้สำเร็จ
เมื่อดับไฟแล้ว จึงค่อยคิดหาสาเหตุว่า ทำไมจึงเกิดไฟไหม้
เช่น เป็นอุบัติเหตุ หรือมีใครลอบวางเพลิง
มีใครประสงค์ร้ายคิดทำลายทรัพย์สมบัติของเราหรือไม่
เมื่อเกิดอารมณ์ ไม่พอใจ
ไม่ต้องคิดหาเหตุว่าใครผิด ใครถูก
ระงับความร้อนใจของตัวเองให้ได้เสียก่อน
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เมื่อใจสงบแล้ว
จึงค่อยคิดด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุผล
อิสระ
คนเรานั้นที่มีความทุกข์หรือมีความเครียดส่วนใหญ่มักจะเกิดจากเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีตหรือไม่ก็เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต
มีเพื่อนคนหนึ่งกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ ส่วนหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่จะได้เลื่อนตำแหน่งอีกใจหนึ่งก็รู้สึกเป็นทุกข์เพราะไม่รู้ว่าจะต้องไปเจออะไรบ้าง แล้วก็เห็น ๆ อยู่ว่าหน้าที่รับผิดชอบที่จะไปทำนั้นต้องมีปัญหาแน่ ๆ ก็คิดไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าถ้าเกิดปัญหาจะทำอย่างไร ควรจะรับตำแหน่งดีไหม
พระท่านบอกว่า คิดได้ แก้ปัญหาหรือวางแผนในอนคตได้ แต่อย่าเครียดกับมันมากเกินไป
อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดี มีความสุข แล้วจะรู้สึกว่างและเป็นอิสระต่อความเครียด
หนทางแก้ปัญหาก็เกิดขึ้นได้อย่างไม่อยากเย็น
อานาปานสติ จึงถือเป็นกลอุบายหนึ่งที่ทำให้คนอยู่กับลมหายใจตัวเอง อยู่กับปัจจุบัน
เมื่อจิตนิ่ง จึงค่อยคิด แล้วปัญญาจึงเกิด
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2550
เรียนฟรี พระอภิธรรม ทางไปรษณีย์
อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
ระเบียบการการศึกษาพระอภิธรรมทางไปรษณีย์
วัตถุประสงค์
1. เพื่อรักษาหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้มั่นคงสืบต่อไป
2. ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ที่ต้องการศึกษาพระอภิธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ผู้ที่มีเวลาเรียนน้อย ไม่สามารถที่จะไปเรียนในสำนักเรียนได้ หรือผู้ที่อยู่ห่างไกลจากสำนักเรียน ให้มีโอกาสได้ศึกษาพระอภิธรรมด้วยตนเองทางไปรษณีย์
3. เพื่อเผยแพร่หลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในส่วนของพระอภิธรรมปิฎก ให้แพร่หลายสู่สาธุชนทั่วไป อันจะยังประโยชน์ให้ผู้ที่สนใจศึกษา เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของชีวิตและรู้แนวทางการปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงความพ้นทุกข์ ตามพุทธประสงค์
เรียนฟรีตลอดหลักสูตร
โดยความอุปถัมภ์ของ มูลนิธิเผยแผ่พระสัทธรรม
โดยความอุปถัมภ์ของ มูลนิธิเผยแผ่พระสัทธรรม
วิธีการเรียนการสอน
1. นักศึกษาที่สมัครเรียน จะได้รับแจกเอกสารประกอบการศึกษา โดยไม่ต้องเสีย
ค่าใช้จ่ายใด ๆ (เรียนฟรีตลอดหลักสูตร)
2. เอกสารประกอบการศึกษานี้จะแจกให้ทีละชุด เมื่อนักศึกษาตอบคำถามชุดที่ 1
แล้ว จะได้รับบทเรียนชุดที่ 2 เมื่อตอบคำถามชุดที่ 2 แล้ว จะได้บทเรียนชุดที่ 3
เช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ (ในแต่ละชุด จะมีบทเรียน 1-3 ตอน)
3. นักศึกษาที่ตอบคำถามครบถ้วนตามหลักสูตร (ทั้ง 10 ชุด) จะได้รับวุฒิบัตร '' พระอภิธัมมัตถสังคหะทางไปรษณีย์ ''
4.ไม่จำกัดระเวลาในการศึกษา
5. ไม่จำกัดพื้นความรู้
5. ไม่จำกัดพื้นความรู้
การสมัครเรียน
หากท่านต้องการ ศึกษาพระอภิธรรม ทางไปรษณีย์
โปรดแจ้ง ชื่อ ที่อยู่ ของท่านโดยละเอียด และส่งไปที่
ตู้ ปณ. 28
ปณฝ. หน้าพระลาน
กรุงเทพฯ 10202
หรือ Fax ใบสมัครส่งมาทางเบอร์ 02 - 884 5090
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
โทรศัพท์ : 02 884 5091 - 2
โทรสาร : 02 884 5090
e-mail : mailmcu@hotmail.com
http : // www.buddhism-online.org
http : // www.mcu.ac.th
หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อขอทราบรายละเอียด ได้ที่
มูลนิธิเผยแผ่พระสัทธรรม
5/108 - 9 ซอยอุดมทรัพย์ ถนนบรมราชชนนี
แขวงอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700
โทรศัพท์ 02 - 884-5091-2
โทรสาร 02 - 884-5090
การเดินทางไปมูลนิธิฯ ด้วยรถประจำทาง
สามารถไปได้หลายสายดังนี้ :-
รถประจำทาง สาย 19 , 28 , 30 , 40 , 57 , 66 , 123 , 124 , 127 , 146 , 149 ,
รถปรับอากาศ สาย 3 , 7 , 11 , 17 , 30 , 33 , 66
รถไมโครบัส สาย 4 , 8 และรถตู้อีกหลายสาย
** ลงที่ป้าย เซ็นทรัญปิ่นเกล้า หรือ เมเจอร์ปิ่นเกล้า
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2550
ทิปส์ในการพัฒนาสมอง
(ข้อมูลจาก Forward mail)
เป็นทิปส์จากคุณวนิษา เรซ หรือ หนูดี
# เป็นผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านอัจฉริยภาพ
(เพียงคนเดียวในไทย)
# และผู้ชนะล้านที่ 15 รายการ "อัจฉริยะข้ามคืน"
ประธานกรรมการบริษัท อัจริยะสร้างได้ จำกัด
http://www.geniuscreator.com
ผู้เขียนเองไม่ทราบและไม่ได้อ่านประวัติของคุณวนิษามาก่อน
ก็ไม่ขอให้ความเห็นกับเรื่องการฝึกอบรมอัจริยะดังกล่าว
แต่ทิปส์ในการพัฒนาสมองที่ส่งต่อมานั้น น่าสนใจดี โดยเฉพาะข้อ 7 และข้อ 8
เลยนำมาเผยแพร่ต่อ
ข้อความต่อไปนี้ได้รับมาจาก Forward mail (คัดลอกมาทั้งหมด โดยไม่มีการตัดต่อ)
1. จิบน้ำบ่อย ๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
4. ใส่ความตั้งใจ
การ ตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับ พฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่างจึงเป็น เสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัว เราะและยิ้มบ่อย ๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก
วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2550
บ้านดิน
เนื่องจากวันนี้ี ไปโพสต์ข้อความที่ ภัยพิบัติ.blogspot.com เรื่องเกี่ยวกับไฟไหม้ป่า และคำนวณปริมาณคาร์บอนไดออกไซค์ ที่เราปล่อยออกมาต่อปี เพราะคาร์บอนไดออกไซค์เป็นสาเหตุให้เกิดปรากฎการณ์โลกร้อน (Global Warming) นอกจากนี้ก็ยังแถมข้อมูลและบทความเกี่ยวกับการละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลก
คุณรู้หรือไม่ว่า
ปีนี้น้ำแข็งที่ขั้วโลกจะละลายมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ?
น้ำที่ละลายจากน้ำแข็งขั้วโลก ยิ่งเป็นตัวเร่งให้น้ำแข็งละลายมากขึ้น ?
ยิ่งมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์มากขึ้น วัวควายจะยิ่งผอมลง ?
ถ้ายังไม่รู้โปรด คลิ๊กไปอ่านโดยพลัน
http://paipibat.blogspot.com
เนื่องจากรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ก็มาหาวิธีแก้เหตุ
ได้ข้อมูลน่าสนใจ สำหรับ เรา ๆ ท่าน ๆ ที่ชอบของฟรี
แจกฟรี CD สอนสร้างบ้านดิน
บ้านสายรุ้ง ศูนย์เรียนรู้การสร้างบ้านดินได้รับทุนได้รับทุนสนับสนุนจาก สถาบันเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.) แจก ซีดี สอนสร้างบ้านดิน ฟรี ! ภาพยนตร์วีดีโออธิบายทุกขั้นตอนของการสร้างบ้านดิน ตั้งแต่วิธีตรวจสอบดิน วิธีทำก้อนอิฐ การก่อ ฉาบ ติดตั้งประตูหน้าต่าง ฯลฯ
ผู้สนใจทั่วไป ต้องการรับซีดี กรุณาสอด ซีดีเปล่า ซองเปล่าติดแสตมป์มูลค่า 5 บาท พร้อมจ่าหน้าซองจ่าหน้าถึงตนเอง ส่งมาที่ "บ้านสายรุ้ง" เลขที่ 500 หมู่ 11 ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ 36150 (วงเล็บมุมซอง ซีดีสอนสร้างบ้านดิน) (หมดเขต 31 ธันวาคม พ.ศ.2550 ) ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
06789-8035 หรือ 067894035
หรือ budpage02@yahoo.com
from buddapage: full story
บ้านที่สร้างจากดินเย็นสบาย และใช้วัสดุธรรมชาติ ลดความสิ้นเปลืองทรัพยากรโลก
อีกทางหนึ่ง ที่ช่วยลดปัญหาโลกร้อนด้วยตัวคุณเอง
Link เกี่ยวข้อง: http://www.baandin.com/
คุณรู้หรือไม่ว่า
ปีนี้น้ำแข็งที่ขั้วโลกจะละลายมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ?
น้ำที่ละลายจากน้ำแข็งขั้วโลก ยิ่งเป็นตัวเร่งให้น้ำแข็งละลายมากขึ้น ?
ยิ่งมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์มากขึ้น วัวควายจะยิ่งผอมลง ?
ถ้ายังไม่รู้โปรด คลิ๊กไปอ่านโดยพลัน
http://paipibat.blogspot.com
เนื่องจากรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ก็มาหาวิธีแก้เหตุ
ได้ข้อมูลน่าสนใจ สำหรับ เรา ๆ ท่าน ๆ ที่ชอบของฟรี
แจกฟรี CD สอนสร้างบ้านดิน
บ้านสายรุ้ง ศูนย์เรียนรู้การสร้างบ้านดินได้รับทุนได้รับทุนสนับสนุนจาก สถาบันเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.) แจก ซีดี สอนสร้างบ้านดิน ฟรี ! ภาพยนตร์วีดีโออธิบายทุกขั้นตอนของการสร้างบ้านดิน ตั้งแต่วิธีตรวจสอบดิน วิธีทำก้อนอิฐ การก่อ ฉาบ ติดตั้งประตูหน้าต่าง ฯลฯ
ผู้สนใจทั่วไป ต้องการรับซีดี กรุณาสอด ซีดีเปล่า ซองเปล่าติดแสตมป์มูลค่า 5 บาท พร้อมจ่าหน้าซองจ่าหน้าถึงตนเอง ส่งมาที่ "บ้านสายรุ้ง" เลขที่ 500 หมู่ 11 ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ 36150 (วงเล็บมุมซอง ซีดีสอนสร้างบ้านดิน) (หมดเขต 31 ธันวาคม พ.ศ.2550 ) ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
06789-8035 หรือ 067894035
หรือ budpage02@yahoo.com
from buddapage: full story
บ้านที่สร้างจากดินเย็นสบาย และใช้วัสดุธรรมชาติ ลดความสิ้นเปลืองทรัพยากรโลก
อีกทางหนึ่ง ที่ช่วยลดปัญหาโลกร้อนด้วยตัวคุณเอง
Link เกี่ยวข้อง: http://www.baandin.com/
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550
Island of Life
วันนี้มีคนมาถามว่าคิดยังไงถึงทำ web ภัยพิบัติ ด้วย
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดยังไง แค่อยากรวบรวมข้อมูลไว้
อาจจะเป็นเพราะเด็ก ๆ เคยอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่องผู้รอดตาย (Survival)
ได้คิดว่าตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และมีความเตรียมพร้อมไว้จะดีกว่า
Artist: Kitaro
Album: Dream (1999)
Song: Island Of Life
She sees me
She understands
She helps
With all of my fears
When we stand together for life
Who will hold a child
In her arms
She reaches out
So many friends
Who seek to live this world
When we stand together for life
She will hold a child
In her arms
Chorus:
Without woman
Earth would fade and die
Without woman
Who am I
Who am I
On this Island of Faith
Who am I
On this Island of Life
You are the Sea
You are the Sky
You are the Ocean
I am the Earth
I am the Island of your Love
She listens
She understands
For those searching for truth
We will stand together for life
We will hold a child
In our arms
Chorus
She sees me
She understands
She helps
With all of my fears
When we stand together for life
She will hold a child
In her arms
Chorus
Dreams are the understanding of life
Dreams are the understanding of love
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดยังไง แค่อยากรวบรวมข้อมูลไว้
อาจจะเป็นเพราะเด็ก ๆ เคยอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่องผู้รอดตาย (Survival)
ได้คิดว่าตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และมีความเตรียมพร้อมไว้จะดีกว่า
Artist: Kitaro
Album: Dream (1999)
Song: Island Of Life
She sees me
She understands
She helps
With all of my fears
When we stand together for life
Who will hold a child
In her arms
She reaches out
So many friends
Who seek to live this world
When we stand together for life
She will hold a child
In her arms
Chorus:
Without woman
Earth would fade and die
Without woman
Who am I
Who am I
On this Island of Faith
Who am I
On this Island of Life
You are the Sea
You are the Sky
You are the Ocean
I am the Earth
I am the Island of your Love
She listens
She understands
For those searching for truth
We will stand together for life
We will hold a child
In our arms
Chorus
She sees me
She understands
She helps
With all of my fears
When we stand together for life
She will hold a child
In her arms
Chorus
Dreams are the understanding of life
Dreams are the understanding of love
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2550
อานิสงส์ 10 ข้อของการ ไม่กินเนื้อสัตว์
ไม่กินเนื้อสัตว์มาได้ระยะหนึ่งแล้ว (สองสัปดาห์)
เพิ่งจะหลุดกินน่องไก่ ไปเมื่อเย็น เนื่องจากเห็น พี่ พ. ทำตุ๋นไก่ยาจีนทิ้งไว้
ด้วยความเสียดาย และคิดว่า ไหน ๆ ไก่ก็ตายแล้ว ควรจะได้นำมาใช้(กิน)ให้คุ้มค่า ไม่เช่นนั้นก็เสียดายของ เสียดายหนึ่งชีวิตของไก่
มือไวเท่าความคิด
ขาวสวยร้อน ๆ และน้ำปลามาตั้ง นั่งโซ้ย ไก่ตุ๋นยาจีน
หมดไปหนึ่งมื้อ
หลังจากสำนึกได้ เลยไปค้นคว้าหาข้อมูลแรงบันดาลใจเพิ่มเติม
ทำไมถึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์
ได้เหตุผลแรก ว่า... (ต่อไปนี้เป็นข้อความคัดลอก อย่างไม่ตัดทอน)
“อานิสงส์ 10 ข้อของการ ไม่กินเนื้อสัตว์” เพื่อจักได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติและบำเพ็ญธรรม ให้สูงขึ้นไป ในพระสูตรของพระพุทธศาสนามหายานเล่าว่า “สมัยหนึ่ง... องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย พระพุทธองค์ ์ได้ทรงตรัสธรรมกถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า “บุคคลใด หยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และงดเว้นเสียจากการเสพเลือดเนื้อสัตว์อีกทั้งยังชี้นำส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูล ทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อมด้วยอานิสงส์ ทั้ง 10 ประการอันได้แก่
1. เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรมตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด
7. ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมู่งสู่คติภพ
from อาหารเพื่อสุขภาพ : full story
สรุปในใจ ตอนนี้ได้ว่า...
กินเนื้อสัตว์บ้าง ไม่กินเนื้อสัตว์บ้าง แต่ลดการฆ่าและเบียดเบียนผู้อื่นให้มากที่สุดคงจะดีกว่า
ระหว่างจะจบบทความนี้ ทำ link ไปยัง blog พี่ พ. อืม ทำไมเราไม่ตบะแตกกิน อันนี้ หว่า น่ากินชะมัด
คงต้องสรุปอีกครั้ง....
กินเนื้อสัตว์บ้าง ไม่กินเนื้อสัตว์บ้าง แต่ลดการฆ่าและเบียดเบียนผู้อื่นให้มากที่สุดคงจะดีกว่า.....
เพิ่งจะหลุดกินน่องไก่ ไปเมื่อเย็น เนื่องจากเห็น พี่ พ. ทำตุ๋นไก่ยาจีนทิ้งไว้
ด้วยความเสียดาย และคิดว่า ไหน ๆ ไก่ก็ตายแล้ว ควรจะได้นำมาใช้(กิน)ให้คุ้มค่า ไม่เช่นนั้นก็เสียดายของ เสียดายหนึ่งชีวิตของไก่
มือไวเท่าความคิด
ขาวสวยร้อน ๆ และน้ำปลามาตั้ง นั่งโซ้ย ไก่ตุ๋นยาจีน
หมดไปหนึ่งมื้อ
หลังจากสำนึกได้ เลยไปค้นคว้าหาข้อมูลแรงบันดาลใจเพิ่มเติม
ทำไมถึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์
ได้เหตุผลแรก ว่า... (ต่อไปนี้เป็นข้อความคัดลอก อย่างไม่ตัดทอน)
“อานิสงส์ 10 ข้อของการ ไม่กินเนื้อสัตว์” เพื่อจักได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติและบำเพ็ญธรรม ให้สูงขึ้นไป ในพระสูตรของพระพุทธศาสนามหายานเล่าว่า “สมัยหนึ่ง... องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย พระพุทธองค์ ์ได้ทรงตรัสธรรมกถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า “บุคคลใด หยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และงดเว้นเสียจากการเสพเลือดเนื้อสัตว์อีกทั้งยังชี้นำส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูล ทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อมด้วยอานิสงส์ ทั้ง 10 ประการอันได้แก่
1. เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรมตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด
7. ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมู่งสู่คติภพ
from อาหารเพื่อสุขภาพ : full story
สรุปในใจ ตอนนี้ได้ว่า...
กินเนื้อสัตว์บ้าง ไม่กินเนื้อสัตว์บ้าง แต่ลดการฆ่าและเบียดเบียนผู้อื่นให้มากที่สุดคงจะดีกว่า
ระหว่างจะจบบทความนี้ ทำ link ไปยัง blog พี่ พ. อืม ทำไมเราไม่ตบะแตกกิน อันนี้ หว่า น่ากินชะมัด
คงต้องสรุปอีกครั้ง....
กินเนื้อสัตว์บ้าง ไม่กินเนื้อสัตว์บ้าง แต่ลดการฆ่าและเบียดเบียนผู้อื่นให้มากที่สุดคงจะดีกว่า.....
วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550
ทะเลดาว
เมื่อตอนเด็กๆ ฉันเคยสงสัยว่า ทำไมดวงดาวบนท้องฟ้า มันช่างมีมากมายก่ายกอง
ผู้ใหญ่บางคนเล่าว่า ดวงดาวแต่ละดวง ที่อยู่บนท้องฟ้า นั้น คือ คนที่ได้จากโลกนี้ไปแล้ว
ใครที่ทำดี ก็จะได้ไปสิงสถิตอยู่บนฟ้า ถ้าอย่างนั้น คนทำดีคงมีมากมายเสียจริงๆ
บนฟ้า จึงเต็มไปด้วยดวงดาวสว่างไสว เช่นนี้
เมื่อตอนเด็กๆ ฉันเคยคิดว่า เมื่อฉันโตขึ้น ฉันจะทำความดีมากๆ
จนวันหนึ่ง ฉันจะได้ขึ้นไปเป็นดวงดาว ที่แสนสวย บนนั้นกับเค้าบ้าง
แล้วฉันคงจะมีความสุขมากมายเมื่อได้มองลงมา
เหมือนกับวันนั้น ที่ฉันมองขึ้นไปบนฟ้า แล้วมีความสุขมากมาย
เมื่อฉันโตขึ้น ฉันกลับพบว่า สิ่งที่ฉันคิด และมองโลกนั้น
มันช่างตรงกันข้าม กับชีวิตจริงเสียจริงๆ
โลกนี้ ไม่ได้มีคนดีมากมายเต็มไปหมด
เอ... หรือว่า คนดี พากันจากโลกนี้ จนกลายเป็นดวงดาวไปหมดเสียแล้ว
แล้วท้องฟ้า ก็คงไม่มีที่ให้คนดีๆ ขึ้นไปอยู่อีกต่อไป คนถึงได้ช่างโหดร้ายและเห็นแก่ตัว กันแบบนี้
วันนี้ ฉันมองขึ้นไปบนฟ้า ไม่เห็นดาวมากมายอย่างที่เคย
หรือแม้แต่บนฟ้า จำนวนคนดีก็ยังลดลง ฉันคิดมาถึงตรงนี้ แล้วก็ต้องก้มหน้ากลับลงมา อย่างเศร้าใจ
แต่จริงๆ แล้ว ดวงดาว ไม่ได้หายไปจากท้องฟ้าเลย มันแค่โดนเมฆหมอก หรืออาจจะเป็นควันด้วย
ปิดบังซ่อนตัวเอาไว้ ฉันจึงไม่สามารถจะมองเห็นมันได้
คงเหมือนกับคนดีๆ ที่ยังมีอยู่ แต่ไม่สามารถปรากฎกายออกมาให้เห็นได้
เพราะมีสิ่งที่ไม่ดี หรือคนไม่ดี อยู่เต็มไปหมด
ฉันอยากให้วันเวลาย้อนกลับไป อยากให้โลกนี้ เต็มไปด้วยคนดีๆ
เหมือนกับท้องฟ้า ที่เต็มไปด้วยดาวพร่างพราย เป็น "ทะเลดาว"
ผู้ใหญ่บางคนเล่าว่า ดวงดาวแต่ละดวง ที่อยู่บนท้องฟ้า นั้น คือ คนที่ได้จากโลกนี้ไปแล้ว
ใครที่ทำดี ก็จะได้ไปสิงสถิตอยู่บนฟ้า ถ้าอย่างนั้น คนทำดีคงมีมากมายเสียจริงๆ
บนฟ้า จึงเต็มไปด้วยดวงดาวสว่างไสว เช่นนี้
เมื่อตอนเด็กๆ ฉันเคยคิดว่า เมื่อฉันโตขึ้น ฉันจะทำความดีมากๆ
จนวันหนึ่ง ฉันจะได้ขึ้นไปเป็นดวงดาว ที่แสนสวย บนนั้นกับเค้าบ้าง
แล้วฉันคงจะมีความสุขมากมายเมื่อได้มองลงมา
เหมือนกับวันนั้น ที่ฉันมองขึ้นไปบนฟ้า แล้วมีความสุขมากมาย
เมื่อฉันโตขึ้น ฉันกลับพบว่า สิ่งที่ฉันคิด และมองโลกนั้น
มันช่างตรงกันข้าม กับชีวิตจริงเสียจริงๆ
โลกนี้ ไม่ได้มีคนดีมากมายเต็มไปหมด
เอ... หรือว่า คนดี พากันจากโลกนี้ จนกลายเป็นดวงดาวไปหมดเสียแล้ว
แล้วท้องฟ้า ก็คงไม่มีที่ให้คนดีๆ ขึ้นไปอยู่อีกต่อไป คนถึงได้ช่างโหดร้ายและเห็นแก่ตัว กันแบบนี้
วันนี้ ฉันมองขึ้นไปบนฟ้า ไม่เห็นดาวมากมายอย่างที่เคย
หรือแม้แต่บนฟ้า จำนวนคนดีก็ยังลดลง ฉันคิดมาถึงตรงนี้ แล้วก็ต้องก้มหน้ากลับลงมา อย่างเศร้าใจ
แต่จริงๆ แล้ว ดวงดาว ไม่ได้หายไปจากท้องฟ้าเลย มันแค่โดนเมฆหมอก หรืออาจจะเป็นควันด้วย
ปิดบังซ่อนตัวเอาไว้ ฉันจึงไม่สามารถจะมองเห็นมันได้
คงเหมือนกับคนดีๆ ที่ยังมีอยู่ แต่ไม่สามารถปรากฎกายออกมาให้เห็นได้
เพราะมีสิ่งที่ไม่ดี หรือคนไม่ดี อยู่เต็มไปหมด
ฉันอยากให้วันเวลาย้อนกลับไป อยากให้โลกนี้ เต็มไปด้วยคนดีๆ
เหมือนกับท้องฟ้า ที่เต็มไปด้วยดาวพร่างพราย เป็น "ทะเลดาว"
องคุลิมาล
หนังไทยที่คนไม่ควรพลาดที่สุด เป็นเรื่อง องคุลิมาล
หนังดูสนุก
เนื้อเรื่องดีเยี่ยม
ถ่ายภาพสวยมาก
เพลงประกอบเข้ากับเรื่องดีเยี่ยม
คัดผู้แสดงได้ดียิ่ง
กำกับการแสดงยอมเยี่ยม
ให้ไปเลยหมดทุกรางวัล
แนะนำให้ไปดูกัน นอกจากจะได้ัรับรู้เรื่องขององคุลิมาลในแนวทางที่หนัังจะสื่อออกมาแล้ว
(อาจจะผิดจากที่เคยได้ยินกันมาบ้าง แต่ก็ทำให้ตัวละครองคุลิมาลมีที่มาที่ไปอย่างสมเหตุสมผล) ยังได้เห็นถึงกำเนิดของศาสนาพุทธ ช่วงแห่งการค้นหาทางออกแห่งการพ้นทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ
ฉากตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสโต้ตอบกับองคุลิมาลมีความหมายลึกซึ้งและทำให้เราเข้าใจในศาสนา้มากขึ้น ดูหนังจบแล้วรู้สึกศรัทธาศาสนาพุทธในความเป็นเหตุเป็นผลแห่งการดับทุกข์ได้ดี
สรุปสั้น ๆ ว่า
ตั้งแต่ดูหนังไทยมา ถือว่าหนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยมที่สุดครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับหนังและองคุลิมาล
เสขิยธรรม
ป.ล. น่าเสียดายที่ทราบข่าวภายหลังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกดองไม่ให้ฉายนานนับเดือน
ไม่ได้เงินและ ไม่ได้กล่อง ใด ๆ
หนังดูสนุก
เนื้อเรื่องดีเยี่ยม
ถ่ายภาพสวยมาก
เพลงประกอบเข้ากับเรื่องดีเยี่ยม
คัดผู้แสดงได้ดียิ่ง
กำกับการแสดงยอมเยี่ยม
ให้ไปเลยหมดทุกรางวัล
แนะนำให้ไปดูกัน นอกจากจะได้ัรับรู้เรื่องขององคุลิมาลในแนวทางที่หนัังจะสื่อออกมาแล้ว
(อาจจะผิดจากที่เคยได้ยินกันมาบ้าง แต่ก็ทำให้ตัวละครองคุลิมาลมีที่มาที่ไปอย่างสมเหตุสมผล) ยังได้เห็นถึงกำเนิดของศาสนาพุทธ ช่วงแห่งการค้นหาทางออกแห่งการพ้นทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ
ฉากตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสโต้ตอบกับองคุลิมาลมีความหมายลึกซึ้งและทำให้เราเข้าใจในศาสนา้มากขึ้น ดูหนังจบแล้วรู้สึกศรัทธาศาสนาพุทธในความเป็นเหตุเป็นผลแห่งการดับทุกข์ได้ดี
สรุปสั้น ๆ ว่า
ตั้งแต่ดูหนังไทยมา ถือว่าหนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยมที่สุดครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับหนังและองคุลิมาล
เสขิยธรรม
ป.ล. น่าเสียดายที่ทราบข่าวภายหลังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกดองไม่ให้ฉายนานนับเดือน
ไม่ได้เงินและ ไม่ได้กล่อง ใด ๆ
วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2550
กรรมฐาน
" กรรมฐาน เป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ถึงกับกล่าวได้ว่า ผู้ใดยังไม่เข้าใจหรือยังไม่ปฏิบัติกรรมฐานผู้นั้นชื่อว่ายังไม่รู้จักพระพุทธศาสนา "
โดยรากศัพท์แล้ว กรรมฐาน หมายถึง ที่ตั้ง(ฐาน) แห่ง กรรม นั่นเอง นอกจากจะเรียกว่ากรรมฐานแล้ว ก็มีศัพท์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ภาวนา" ซึ่งหมายถึงการอบรมใจ หรือการพัฒนาจิต
กรรมฐานหรือภาวนานี้ แบ่งได้เป็น 2 อย่างคือ
1 สมถกรรมฐาน หรือ สมถภาวนา
2 วิปัสนากรรมฐาน หรือ วิปัสนาภาวนา
การปฏิบัติ สมถกรรมฐาน นั้นเื่พื่อทำให้จิตใจสงบ ส่วน วิปัสนากรรมฐาน นั้นเพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อกำจัดอวิชชาอันเป็นต้นตอของกิเลสทั้งปวงในที่สุด
การปฏิบัิติสมถกรรมฐานมีวิธีปฏิับัติถึง 40 วิธี ผู้ปฏิบัติสามารถเลือกปฏิบัติที่เหมาะกับจริตของตนได้ สำหรับในประเทศไทยนิยมปฏิบัติ อานาปานสติภาวนา (ภาวนา ยุบหนอ-พองหนอ, พุท-โธ, นับเลข) ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการปฏิบัติสมถกรรมฐาน ขั้นต้น ทุกคนสามารถฝึกได้โดยง่าย เพราะมีลมหายใจกันทุกคน
รายละเอียดเกี่ยวกับการพิจารณาจริตของตน และ สมถกรรมฐานแบบต่างๆ จะนำมาอธิบายในลำดับถัดไป
ส่วนวิปัสนากรรมฐาน นั้นดูเหมือนจะเป็็นการปฏิบัติขั้นสูงถัดไปจากสมถกรรมฐาน ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาหาอ่านได้จากหนังสือ ของพระอาจารย์ทูล ชิปปญโญ ซึ่งจะพยายามนำมาเผยแพร่ที่นี่ในลำดับถัด ๆ ไป
ข้อเขียนนี้ อ้างอิง จากหนังสือ การพัฒนาจิต โดย พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณโณ) ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมการพัฒนาจิตที่เป็นขั้นเป็นตอนดีที่สุดเล่มหนึ่งในขณะนี้ คุ้มค่าอย่างที่สุดกับราคา 190 บาท
" จิตวิทยาทางพระพุทธศาสนา ว่าด้วยจิตภาวนา ในท่ามกลางวัตถุ วิทยาการสมัยใหม่ และท่ามกลางความขัดแย้ง "
Comedy Hypnotist (2)
เขียนต่อจากเมื่อเช้า (ช่วงนี้ Up บ่อย เพราะรู้สึกว่ามีเรื่องอยากเขียนเยอะพอสมควร)
สำหรับ CD สะกดจิตตนเอง ของ Frederick Winters นั้น ได้ทำออกมาแล้ว 8 CD ประกอบด้วย
1) ลดความเครียด เพิ่งประสิทธิภาพในการหลับ
2) เรียนเก่งขึ้น เรียนเร็วขึ้น
3) พัฒนาความจำ และเทคนิคช่วยจำ
4) สร้างความมั่นใจตนเอง
5) ลดความอ้วน
6) พัฒนาทักษะทางการกีฬา
7) เลิกบุหรี่
8) หลักวิธีการสะกดจิตตนเอง
ในแต่ละ CD 1-7 จะประกอบด้วย 3 ส่วน ส่วนแรกจะเป็น Introduction อธิบายถึงขึ้นตอนการสะกดจิต และให้ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการสะกดจิต ในส่วนที่สองจะเป็นการสะกดจิต ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง สำหรับส่วนที่สองนี้ควรนั่งพักผ่อนฟังเพราะจะทำให้เรารู้สึกเบลอ ๆ ง่วง ๆ และเสียงที่ได้ยินจะเ้ข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึก ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะฟังขณะทำงาน หรือขับรถ ส่วนที่สามหรือส่วนสุดท้ายนั้น มักจะเป็นคติข้อคิดที่สามารถฟังในขณะมีสติ สามารถฟังขณะขับรถหรือทำงานไปด้วยได้
สำหรับผู้ที่จะพัฒนาตนด้วยการฝึกจิต ก็ควรจะฟังในส่วนที่สอง ติดต่อกันอย่างน้อย 28 วัน และสิ่งที่ได้ยินจะลงลึกไปยังจิตใต้สำนึก และพัฒนาตามความมุ่งหมายของการสะกดจิตนั้นได้
ทำไมต้อง 28 วัน ?
เขาว่ากันว่า คนเรานั้นจะคุ้นชินกับอะไรแปลกใหม่ในชีวิตนั้นจะใช้เวลาอย่างน้อย 28 วัน ถึงจะกลายเป็นเคยชิน อย่างเช่นการมีรถใหม่ การทำงานที่ใหม่
ภาษาอังกฤษ ?
เนื่องจากผู้สะกดจิตเป็นชาวอเมริกัน จึงสะกดจิตเป็นภาษาอังกฤษ แต่ขอให้เข้าใจว่าเป็นภาษาง่าย ๆ และสำเนียงฟังง่ายมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องถูกสะกดจิตไปและเปิดดิกชันนารี่ไป
สะกดจิตอยู่ แล้วโดนขัดจังหวะ ไม่ทันให้จบ ?
ไม่ต้องห่วงว่าจะทำให้ค้างหรือเกิดปัญหา เพราะสิ่งที่สะกดจิตส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องพื้นฐาน (ไม่ได้สะกดจิตให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นไก่ หรือลิ้นเป็นเหน็บอย่างใน VDO ด้านล่าง) จึงสามารถถูกขัดจังหว่ะกลางคันได้ไม่มีปัญหา แต่อาจจะทำให้ประสิทธิผลของการสะกดจิตลดลง เมื่อเสร็จจากการถูกขัดจังหว่ะแล้วสามารถมาฟังต่อได้เลย หรือจะเริ่มใหม่ก็ได้
ผู้ที่สนใจ CD ตัวใด ก็ลงชื่อไว้ใน comments ได้เลย
ก่อนจบวันนี้มีเรื่องจริงติดตลกของการสะกดจิตว่า
มีชายนายหนึ่งวานเพื่อนที่จบทางช่างมาที่บ้านเพื่อจะให้ซ่อมเครื่องเล่น CD ให้
หลังจากช่างมาแล้ว ก็ได้รับฟังอาการว่า เครื่องเล่น CD เป็นอะไรไม่รู้ เล่นติด ๆ ขัด ๆ โดยเฉพาะ CD แผ่นนี้ ทั้ง ๆ ที่เล่นกับเครื่องอื่นก็ไม่เป็น ว่าแล้วก็เปิด CD ให้ฟัง.....
แล้วเจ้าของเครื่องก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
ช่างก็ฟังไป ฟังไป ฟังไป
ฟังจนจบช่างก็ตัดสินใจทำอาชีพเสริม
เพราะ เนื้อหาของ CD คือ ชักชวนทำธุระกิจ Am-Way นั้นเอง
อานุภาพของการสะกดจิต แหมทำกันได้!
สำหรับ CD สะกดจิตตนเอง ของ Frederick Winters นั้น ได้ทำออกมาแล้ว 8 CD ประกอบด้วย
1) ลดความเครียด เพิ่งประสิทธิภาพในการหลับ
2) เรียนเก่งขึ้น เรียนเร็วขึ้น
3) พัฒนาความจำ และเทคนิคช่วยจำ
4) สร้างความมั่นใจตนเอง
5) ลดความอ้วน
6) พัฒนาทักษะทางการกีฬา
7) เลิกบุหรี่
8) หลักวิธีการสะกดจิตตนเอง
ในแต่ละ CD 1-7 จะประกอบด้วย 3 ส่วน ส่วนแรกจะเป็น Introduction อธิบายถึงขึ้นตอนการสะกดจิต และให้ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการสะกดจิต ในส่วนที่สองจะเป็นการสะกดจิต ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง สำหรับส่วนที่สองนี้ควรนั่งพักผ่อนฟังเพราะจะทำให้เรารู้สึกเบลอ ๆ ง่วง ๆ และเสียงที่ได้ยินจะเ้ข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึก ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะฟังขณะทำงาน หรือขับรถ ส่วนที่สามหรือส่วนสุดท้ายนั้น มักจะเป็นคติข้อคิดที่สามารถฟังในขณะมีสติ สามารถฟังขณะขับรถหรือทำงานไปด้วยได้
สำหรับผู้ที่จะพัฒนาตนด้วยการฝึกจิต ก็ควรจะฟังในส่วนที่สอง ติดต่อกันอย่างน้อย 28 วัน และสิ่งที่ได้ยินจะลงลึกไปยังจิตใต้สำนึก และพัฒนาตามความมุ่งหมายของการสะกดจิตนั้นได้
ทำไมต้อง 28 วัน ?
เขาว่ากันว่า คนเรานั้นจะคุ้นชินกับอะไรแปลกใหม่ในชีวิตนั้นจะใช้เวลาอย่างน้อย 28 วัน ถึงจะกลายเป็นเคยชิน อย่างเช่นการมีรถใหม่ การทำงานที่ใหม่
ภาษาอังกฤษ ?
เนื่องจากผู้สะกดจิตเป็นชาวอเมริกัน จึงสะกดจิตเป็นภาษาอังกฤษ แต่ขอให้เข้าใจว่าเป็นภาษาง่าย ๆ และสำเนียงฟังง่ายมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องถูกสะกดจิตไปและเปิดดิกชันนารี่ไป
สะกดจิตอยู่ แล้วโดนขัดจังหวะ ไม่ทันให้จบ ?
ไม่ต้องห่วงว่าจะทำให้ค้างหรือเกิดปัญหา เพราะสิ่งที่สะกดจิตส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องพื้นฐาน (ไม่ได้สะกดจิตให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นไก่ หรือลิ้นเป็นเหน็บอย่างใน VDO ด้านล่าง) จึงสามารถถูกขัดจังหว่ะกลางคันได้ไม่มีปัญหา แต่อาจจะทำให้ประสิทธิผลของการสะกดจิตลดลง เมื่อเสร็จจากการถูกขัดจังหว่ะแล้วสามารถมาฟังต่อได้เลย หรือจะเริ่มใหม่ก็ได้
ผู้ที่สนใจ CD ตัวใด ก็ลงชื่อไว้ใน comments ได้เลย
ก่อนจบวันนี้มีเรื่องจริงติดตลกของการสะกดจิตว่า
มีชายนายหนึ่งวานเพื่อนที่จบทางช่างมาที่บ้านเพื่อจะให้ซ่อมเครื่องเล่น CD ให้
หลังจากช่างมาแล้ว ก็ได้รับฟังอาการว่า เครื่องเล่น CD เป็นอะไรไม่รู้ เล่นติด ๆ ขัด ๆ โดยเฉพาะ CD แผ่นนี้ ทั้ง ๆ ที่เล่นกับเครื่องอื่นก็ไม่เป็น ว่าแล้วก็เปิด CD ให้ฟัง.....
แล้วเจ้าของเครื่องก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
ช่างก็ฟังไป ฟังไป ฟังไป
ฟังจนจบช่างก็ตัดสินใจทำอาชีพเสริม
เพราะ เนื้อหาของ CD คือ ชักชวนทำธุระกิจ Am-Way นั้นเอง
อานุภาพของการสะกดจิต แหมทำกันได้!
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2550
Comedy Hypnotist
"ต้องการพัฒนาความเชื่อมั่นของตน ต้องการลดความเครียด ต้องการพัฒนาความสามารถทางการกีฬา ต้องการลดความอ้วน ต้องการเลิกบุหรี่ ต้องการต้องการเรียนเก่งขึ้น ต้องการพัฒนาความจำ"
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เพียงใช้ เวลา 28 วัน
สิ่งที่คุณต้องทำคือ
หาเวลาว่างวันละครึ่งชั่วโมง
นั่งบนที่นั่งสบาย ๆ หลับตาลง ผ่อนคลาย แล้ว ฟัง !
Frederick Winters เป็นนักสะกดจิตติดตลก เขาแสดงโชว์ในหลายมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา สะกดจิตนักศึกษาสด ๆ บนเวที ต่อหน้าคนดูนับร้อย
Part of the hypnosis show at University of Illinois' kickoff party at the Union. They thought their friends' shoes were phones, some kid made out with the mic stand when they hypnotist said "red" thinking it was a beautiful woman, and another girl couldn't talk cuz he made her tongue limp.
นอกจากจะโชว์การสะกดจิตในลักษณะ Comedy แล้วใน website www.frederickwinters.com ยังได้ขาย CD ในราคาแผ่นละ $10 ซึ่งนับว่าถูกมาก สำหรับให้ผู้ฟังกลับไปฟังและพัฒนาตนเองดังที่กล่าวมาข้างต้น
นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือก(ศาสตร์)ของการพัฒนาตนเองที่มาจากจิต
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เพียงใช้ เวลา 28 วัน
สิ่งที่คุณต้องทำคือ
หาเวลาว่างวันละครึ่งชั่วโมง
นั่งบนที่นั่งสบาย ๆ หลับตาลง ผ่อนคลาย แล้ว ฟัง !
Frederick Winters เป็นนักสะกดจิตติดตลก เขาแสดงโชว์ในหลายมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา สะกดจิตนักศึกษาสด ๆ บนเวที ต่อหน้าคนดูนับร้อย
Part of the hypnosis show at University of Illinois' kickoff party at the Union. They thought their friends' shoes were phones, some kid made out with the mic stand when they hypnotist said "red" thinking it was a beautiful woman, and another girl couldn't talk cuz he made her tongue limp.
นอกจากจะโชว์การสะกดจิตในลักษณะ Comedy แล้วใน website www.frederickwinters.com ยังได้ขาย CD ในราคาแผ่นละ $10 ซึ่งนับว่าถูกมาก สำหรับให้ผู้ฟังกลับไปฟังและพัฒนาตนเองดังที่กล่าวมาข้างต้น
นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือก(ศาสตร์)ของการพัฒนาตนเองที่มาจากจิต
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2550
ความสุข
( สืบเนื่องจากบทความเมื่อวาน บางทีบทความนี้อาจจะเป็นคำตอบของบทความเมื่อวานได้ )
"ความสุขแยกออกได้เป็นสองแบบ สุขพึงใจ (Happiness) กับสุขชื่นใจ (ฺBliss)
สุขพึงใจเป็นความสบาย เช่น การได้กินอาหารอร่อย คนรอบข้างน่ารัก แน่นอนมันรวมการได้รถยนต์คันใหม่ เลื่อนตำแหน่ง เงินเดือนขึ้น ขายหุ้นได้ราคาดี การมีคู่ครองที่ดี เป็นความพึงใจที่ผูกกับวัตถุและ/หรือสภาวะภายนอก เมื่อวัตถุหรือสภาวะภายนอกนั้นเสื่อมสลาย สุขพึงใจก็ลอกเปลือกออกเห็นตันตนภายในคือทุกข์
สุขชื่นใจลึกซึ้งกว่านั้นมาก สุขชื่นใจซื้อหาไม่ได้ เพราะเป็นความรู้สึกและตัวตนภายใจ
ขณะที่สุขพึงใจคือการรับ สุขชื่นใจคือการให้
ขณะที่สุขพึงใจคือความดื่มด่ำ สุขชื่นใจคือความเข้าใจ
การเข้าสู่สภาวะนิพพานทางพุทธ หรือซาโตริทางเซน ก็คือความเข้าใจที่ก่ำให้เกิดสุขชั้นสูง อันปูฐานมาจากการรู้จักพอ
ปรัชญาพุทธสอนให้มองความสุขว่าเป็นความเข้าใจสภาวะของตัณหา เมื่อเข้าใจก็เกิดความสันโดษ พอเีพียง ชีวิตก็เรียบง่าย
ความสุขชื่นใจเกิดมาจากสติความรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตด้วยความเยือกเย็น ไม่ร้อนรน และสงบเสงี่ยม ทว่านี่ไม่ใช่คุณสมบัติที่ได้มาง่าย ๆ ต้องผ่านประสบการณ์ การทดสอบ และความทุกข์ โดยเฉพาะในสังคมปัจจุับันที่หล่อมหลอมคนให้ไขว่คว้าหาความสุขตามแนวทางที่การตลาดกำหนด ตัณหาใหม่ ๆ ถูกสร้างขึ้นตามจุดหมายแห่งกำไรสูงสุด
เนื่องจากสุขไม่ใช่สสาร การผูกตัวเองกับวัตถุนิยมจึงเป็น 'ความสุข' ประเดี๋ยวประด๋าว เหมือนไฟไหม้ฟาง มาวูบเดียว ไปวูบเดียว"
วินทร์ เลียววาริณ, ความผันโง่ ๆ หนังสือเสริมกำลังใจชุด 2, หน้า 212
คัดมาทั้งหน้าอย่างไม่ตัดตอนและเสริมความ
หนังสือเล่มนี้ดี เป็นบทความสั้น ๆ หลาย ๆ เรื่อง ได้ทั้งความรู้และข้อคิด เหมาะอย่างยิ่งในการเก็บไว้ในห้องน้ำ เวลาที่ใช้อ่านหนึ่งบทสมควรแก่เวลาในการถ่ายทุกข์ ไม่มากไม่น้อยเกินไป
"ความสุขแยกออกได้เป็นสองแบบ สุขพึงใจ (Happiness) กับสุขชื่นใจ (ฺBliss)
สุขพึงใจเป็นความสบาย เช่น การได้กินอาหารอร่อย คนรอบข้างน่ารัก แน่นอนมันรวมการได้รถยนต์คันใหม่ เลื่อนตำแหน่ง เงินเดือนขึ้น ขายหุ้นได้ราคาดี การมีคู่ครองที่ดี เป็นความพึงใจที่ผูกกับวัตถุและ/หรือสภาวะภายนอก เมื่อวัตถุหรือสภาวะภายนอกนั้นเสื่อมสลาย สุขพึงใจก็ลอกเปลือกออกเห็นตันตนภายในคือทุกข์
สุขชื่นใจลึกซึ้งกว่านั้นมาก สุขชื่นใจซื้อหาไม่ได้ เพราะเป็นความรู้สึกและตัวตนภายใจ
ขณะที่สุขพึงใจคือการรับ สุขชื่นใจคือการให้
ขณะที่สุขพึงใจคือความดื่มด่ำ สุขชื่นใจคือความเข้าใจ
การเข้าสู่สภาวะนิพพานทางพุทธ หรือซาโตริทางเซน ก็คือความเข้าใจที่ก่ำให้เกิดสุขชั้นสูง อันปูฐานมาจากการรู้จักพอ
ปรัชญาพุทธสอนให้มองความสุขว่าเป็นความเข้าใจสภาวะของตัณหา เมื่อเข้าใจก็เกิดความสันโดษ พอเีพียง ชีวิตก็เรียบง่าย
ความสุขชื่นใจเกิดมาจากสติความรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตด้วยความเยือกเย็น ไม่ร้อนรน และสงบเสงี่ยม ทว่านี่ไม่ใช่คุณสมบัติที่ได้มาง่าย ๆ ต้องผ่านประสบการณ์ การทดสอบ และความทุกข์ โดยเฉพาะในสังคมปัจจุับันที่หล่อมหลอมคนให้ไขว่คว้าหาความสุขตามแนวทางที่การตลาดกำหนด ตัณหาใหม่ ๆ ถูกสร้างขึ้นตามจุดหมายแห่งกำไรสูงสุด
เนื่องจากสุขไม่ใช่สสาร การผูกตัวเองกับวัตถุนิยมจึงเป็น 'ความสุข' ประเดี๋ยวประด๋าว เหมือนไฟไหม้ฟาง มาวูบเดียว ไปวูบเดียว"
วินทร์ เลียววาริณ, ความผันโง่ ๆ หนังสือเสริมกำลังใจชุด 2, หน้า 212
คัดมาทั้งหน้าอย่างไม่ตัดตอนและเสริมความ
หนังสือเล่มนี้ดี เป็นบทความสั้น ๆ หลาย ๆ เรื่อง ได้ทั้งความรู้และข้อคิด เหมาะอย่างยิ่งในการเก็บไว้ในห้องน้ำ เวลาที่ใช้อ่านหนึ่งบทสมควรแก่เวลาในการถ่ายทุกข์ ไม่มากไม่น้อยเกินไป
วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2550
ศาสนาพุทธ -ศาสนาที่ใจร้าย-
.
คนทุกคนมีความทุกข์เป็นของตน ในขณะที่ศาสนาทุกศาสนามุ่งหวังจะทำให้คนพ้นทุกข์ ทั้งในแบบเชิงปัจเจกและสังคมโดยรวม ในขณะที่หลายศาสนาตั้งอยู่บนความเชื่อ ต้องเชื่อเสียก่อนว่ามีสิ่งที่อยู่เหนื่อธรรมชาติทั้งปวง เป็นผู้ดลบันดาลความสุขและวิถีทางของสรรพสิ่ง เมื่อคนมีทุกข์จึงสามารถร้องขอวิงวอนความสุข อีกทั้งกล่าวสำนึกไถ่ถอนความผิดที่เคยล่วงกระทำ
ในอีกด้านหนึ่ง ศาสนาพุทธ ตั้งอยู่บนความสงสัย และสอนให้คิด สอนไม่ให้เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่ต้องไตร่ตรองด้วยปัญญา และมีพระธรรมคำสอนที่ึยึดหลักความเป็นไปเป็นธรรมชาิติธรรมดา ศาสนาพุทธสอนให้เข้าใจปัญหา ไตร่ตรองให้เกิดปัญญาแล้วหาวิธีแก้ไข
บ่อยครั้งที่เป็นทุกข์ ไม่สามารถรอ หรือนั่งไตร่ตรอง ด้วยสติ ปัญญาได้ ดังเช่น คนที่บ้านไฟไหม้ คนที่ล้มละลาย คนที่มีผู้เป็นที่รักเสียชีวิตอย่างกระทันหัน มันยากที่จะดึงสติแล้วไตร่ตรองเพื่อหาวิธีแก้ไขตามแนวทางคำสอนของศาสนา
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนพุทธ จึงหันเข้าหาสิ่งที่เหนือธรรมชาติ สิ่งที่สามารถดลบันดาลความสุข ทั้ง ๆ ทีแก่นของศาสนาพุทธเองไม่ได้สอนให้ยึดถือในสิ่งเหล่านั้น จึงเกิดความเห็นว่าเป็นศาสนาที่งมงาย ทำให้คนเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ เชื่อมวลสารที่ถูกเสก มากกว่าเชื่อในคุณความดีของตน นี่อาจกล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากศาสนาพุทธ(เป็นศาสนาที่ใจร้าย)สอนให้คนต่อสู้กับความทุกข์และอุปสรรค ด้วยสติปัญญาของตนเอ โดยมองข้ามไปว่า แท้จริงแล้วมนุษย์นั้นอ่อนแอ และต้องการที่พึ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เหนืออำนาจการควบคุมของตน
อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้ง ศาสนาพุทธมุ่งหวังที่จะทำให้คนมีความสุขอย่างยั่งยืนโดยไม่ต้องพึงพาอาศัยสิ่งเหนื่อธรรมชาติที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้และง่ายต่อการทำให้คนงมงาย การพ้นทุกข์ในแบบฉบับแก่นแท้ของพุทธศาสนาน่าจะเป็นหนทางเดียวที่ทำ้ให้คนพ้นทุกข์ได้แบบมีตรรกขั้นตอน (logical framework) แทนที่จะตำหนิคนงมงาย เราควรจะศึกษาพุทธศาสนาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง วันหนึ่งการแก้ปัญหา แก้ความทุกข์ที่หนักหน่วงจะสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยจิตใจของเราเอง โดยไม่ต้องพึงพาอ้อนวอนสิ่งเหนือธรรมชาติ
คนทุกคนมีความทุกข์เป็นของตน ในขณะที่ศาสนาทุกศาสนามุ่งหวังจะทำให้คนพ้นทุกข์ ทั้งในแบบเชิงปัจเจกและสังคมโดยรวม ในขณะที่หลายศาสนาตั้งอยู่บนความเชื่อ ต้องเชื่อเสียก่อนว่ามีสิ่งที่อยู่เหนื่อธรรมชาติทั้งปวง เป็นผู้ดลบันดาลความสุขและวิถีทางของสรรพสิ่ง เมื่อคนมีทุกข์จึงสามารถร้องขอวิงวอนความสุข อีกทั้งกล่าวสำนึกไถ่ถอนความผิดที่เคยล่วงกระทำ
ในอีกด้านหนึ่ง ศาสนาพุทธ ตั้งอยู่บนความสงสัย และสอนให้คิด สอนไม่ให้เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่ต้องไตร่ตรองด้วยปัญญา และมีพระธรรมคำสอนที่ึยึดหลักความเป็นไปเป็นธรรมชาิติธรรมดา ศาสนาพุทธสอนให้เข้าใจปัญหา ไตร่ตรองให้เกิดปัญญาแล้วหาวิธีแก้ไข
บ่อยครั้งที่เป็นทุกข์ ไม่สามารถรอ หรือนั่งไตร่ตรอง ด้วยสติ ปัญญาได้ ดังเช่น คนที่บ้านไฟไหม้ คนที่ล้มละลาย คนที่มีผู้เป็นที่รักเสียชีวิตอย่างกระทันหัน มันยากที่จะดึงสติแล้วไตร่ตรองเพื่อหาวิธีแก้ไขตามแนวทางคำสอนของศาสนา
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนพุทธ จึงหันเข้าหาสิ่งที่เหนือธรรมชาติ สิ่งที่สามารถดลบันดาลความสุข ทั้ง ๆ ทีแก่นของศาสนาพุทธเองไม่ได้สอนให้ยึดถือในสิ่งเหล่านั้น จึงเกิดความเห็นว่าเป็นศาสนาที่งมงาย ทำให้คนเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ เชื่อมวลสารที่ถูกเสก มากกว่าเชื่อในคุณความดีของตน นี่อาจกล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากศาสนาพุทธ(เป็นศาสนาที่ใจร้าย)สอนให้คนต่อสู้กับความทุกข์และอุปสรรค ด้วยสติปัญญาของตนเอ โดยมองข้ามไปว่า แท้จริงแล้วมนุษย์นั้นอ่อนแอ และต้องการที่พึ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เหนืออำนาจการควบคุมของตน
อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้ง ศาสนาพุทธมุ่งหวังที่จะทำให้คนมีความสุขอย่างยั่งยืนโดยไม่ต้องพึงพาอาศัยสิ่งเหนื่อธรรมชาติที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้และง่ายต่อการทำให้คนงมงาย การพ้นทุกข์ในแบบฉบับแก่นแท้ของพุทธศาสนาน่าจะเป็นหนทางเดียวที่ทำ้ให้คนพ้นทุกข์ได้แบบมีตรรกขั้นตอน (logical framework) แทนที่จะตำหนิคนงมงาย เราควรจะศึกษาพุทธศาสนาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง วันหนึ่งการแก้ปัญหา แก้ความทุกข์ที่หนักหน่วงจะสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยจิตใจของเราเอง โดยไม่ต้องพึงพาอ้อนวอนสิ่งเหนือธรรมชาติ
Only Love is Real ? *
.
ผมไม่รู้ว่าผมนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์มานานเท่าไหร่แล้ว แต่ที่รู้ก็คือตอนนี้ ตีสองแล้ว ผมจำได้ว่าเพิ่งละออกจากหน้าจอไปกินข้าวเย็นเมื่อสองทุ่ม หลังจากที่อยู่กับมันมานานพอควร พอมีเรี่ยวแรงสักหน่อยแล้ว ผมก็กลับมานั่งต่อ และก็ยังคงนั่งอยู่จนถึงบัดนี้
กับการนั่งหน้าจอ นาน ๆ ขนาดนี้ ก็คงรู้ได้เลยว่านี่ไม่ใช่การนั่งทำงาน แต่เป็นการนั่งคุย คุยกับคนที่ไม่รู้จัก คุยกับคนที่มีตัวตนอยู่จริง แต่ใช้ตัวตนสมมติแอบแฝงบทบาทอยู่ในโลกไซเบอร์ แต่ก็แปลกการนั่งคุยของผมทั้งวันนี้ มันเหมือนจะเปล่าประโยชน์ ผมไม่ได้เพื่อนใหม่ และผมก็ไม่พบเพื่อนเก่าที่เคยมักคุ้นกันในโลกแห่งนี้ ที่แปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ ความรู้สึกเสียววาบ ๆ จนขนแขนตั้งชันเกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ ผมคิดว่าอากาศกำลังจะเปลี่ยน ปกติแล้วร่างกายผมก็ไวต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
ตอนนี้ฝนเริ่มเทลง มาแล้ว ความหนาวแทรกซึมผ่านร่างทางนิ้วมือที่จับจองเนื้อที่อยู่บนคีย์บอร์ดซึ่ง กำลัง คืบคลานไปค้นหา หาเพื่อนใหม่ พร้อมกับความรู้สึกวาบ ๆ ปลาบแปลกตามผิวกาย ที่ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ย้อนกลับไปเมื่อคืน ก่อน คืนที่ผมก็นอนไม่หลับอีกเหมือนเคย และต้องใช้หนังสือที่เรียงรายในตู้ขนาดย่อมหัวเตียงมาช่วยทำลายความคิด ฟุ้งซ่านในหัว เหมือนปกติที่ผมมักจะสุ่มหยิบเล่มไหนก็ได้มาอ่านเพื่อให้หลับ เมื่อคืนผมเลือกเจอหนังสือที่เคยอ่านจบแล้ว แต่เอามาอ่านเล่นอีก ช่วงอายุที่เปลี่ยนไปอาจทำให้เนื้อความ เข้าใจในหนังสือเปลี่ยนไปก็ได้ ผมเลือกที่จะหยิบ Only love is Real เราจะข้ามเวลามาพบกัน ลงมา ด้วยเพราะปกที่แปลกตาและหยิบง่ายกว่าเล่มอื่น ๆ
ผมคิดเริ่มต้น เพียงเท่านั้น แต่เมื่อเริ่มอ่านแล้วก็อ่านไม่หยุด ความง่วงหายไปจากที่เคยต้องการ บัดนี้ผมไม่ต้องการมันอีก ผมนอนอ่านอย่างบรรจง และพิเคราะห์อย่างพิจารณาเรื่องของ ชาติภพ การตายแล้วเกิดใหม่ จิต วิญญาณ ความรักและความตาย ทุกอย่างที่รวมกันอยู่ในหนังสือเล่มนี้
ตอนนี้ก็เวลาตีสองครึ่งแล้ว แวบหนึ่งแทนที่จะเป็นความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นที่ปลายผิวกายเหมือนเคย คราวนี้การวาบไหวไปเกิดที่หน้าจอ Monitor และเสียงร้องติ๊ด ติ๊ด เตือนจากลำโพง Speaker ของเครื่อง ความวาบไหวเกิดขึ้นชั่วขณะ ผมคิดว่าคงด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมักจะเกิดขึ้นบ่อยอยู่แล้วเนื่องจาก สัญญาณของเครื่องสื่อสาร ฝนข้างนอกตกหนักขึ้นจนผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอื่น หน้าจอวูบไหวกลับมาเป็นปกติ ผมเหม่อมองหน้าจอต่อ เหมือนรอคอยใครสักคน
Blink k k k kk เสียงเหมือนเวทย์มนต์ของนางฟ้า บอกให้รู้ว่าขณะนี้มีข้อความจาก Yahoo Messenger ส่งเข้ามาหาผมโดยเฉพาะ ผม minimize notepad และสลับการทำงานไปเปิดอ่าน
>only: สวัสดีค่ะ
ผมทักตอบเธอ
> popo: สวัสดีครับ ผม โป้โปะ ครับ คุณล่ะ
> only : เพียงเดียว คะ
> popo : ชื่อน่ารักมากนะครับ
> only : ตัวก็น่ารักค่ะ ว่า แต่ only love is real สนุกดีนะค่ะ เป็นเรื่องจริงด้วย
> popo : อารายนะครับ คุณหมายถึงหนังสือที่ผมอ่านเมื่อคืนนะเหรอ คุณรู้ได้ไงครับ
>only : หนังสืออะไรค่ะ ฉันแค่จะบอกว่าฉันเพิ่งอ่านหนังสือเล่มนี้มา สนุกดี คุณก็อ่านมาเหรอค่ะ
>popo : เอ่อ ครับ . . . . . . . .
ความรู้สึกผมวาบไหวจากที่เคยชำแรกผ่านแค่ผิวกาย บัดนี้มันซาบซ่านผ่านนิ้ว แขนและตรงดิ่งสู่ขั้วหัวใจ
ผม นั่งนิ่งเหมือนถูกสะกด ความลังเลสงสัยเกิดขึ้นเฉียบพลัน ล้อเล่นน่า นี่ผมกำลังคุยกับใครอยู่ ปกติแล้วบุคคลสมมติในโลกไซเบอร์มักไม่ค่อยเปิดประเด็นคุยในเรื่องที่ชี้ เฉพาะเจาะจงอย่างนี้ ถ้าจะคุยกันในลักษณะนี้ก็น่าจะเป็นคนที่ผมรู้จักมาก่อน ผมพยายามนึก เพียงเดียว.... เพียงเดียว.. เพียงเดียว..
มันคล้องกับชื่อเพื่อนคน ไหนที่รู้จักไหม คำตอบคือไม่เลย ไม่เคยมีใครตั้งชื่อตัวเองได้เหงาเปล่าเปลี่ยวอย่างนี้ แต่ก็แปลก มันเป็นชื่อที่ผมรู้สึกว่า ถ้าผมไม่ใช้ชื่อ Popo สักครั้งผมก็อยากจะใช้ชื่อนี้ ใช่เลย เพียงเดียว เหงา เปล่าเปลี่ยว เพียงลำพังคนเดียว ชื่อนี้จึงคุ้นเคยเหลือเกินในความคำนึงของผม เหมือนว่าผมเคยรู้จักมาแล้ว และเป็นสิ่งที่ผมใฝ่หามาตลอด ผมต้องการที่จะคุยกับเธอต่อและสร้างสัมพันธ์ที่ดี ผมคงได้รับมิตรภาพจากเธอบ้าง
>popo: คุณอยู่ที่ไหนครับ
>only : ไกลจากคุณมากค่ะ เห็นว่าที่คุณอยู่ฝนตกหนักเหรอค่ะ ระวังจะไม่สบายนะค่ะ
>popo : ไกลจากผมมากแล้วคุณรู้ได้ไงว่าฝนตกหนักหล่ะครับ (check my profile ผมเหรอ)
ผมคิดในใจ บ้า ! profile ที่ไหน มันจะบอกว่ะ ว่าฝนตกที่ ที่คนนั้นอยู่ด้วย ผมเพียงแต่ใส่ไว้ว่าผมเป็นผู้ชาย อยู่เชียงใหม่ ก็เท่านั้น
>only : คุณอยู่เชียงใหม่ไม่ใช่เหรอค่ะ ก็เชียงใหม่ฝนตกหนักนี่ค่ะ ระวังไม่สบายน่ะค่ะ
> popo: เอ่อ..... ครับ ขอบคุณครับ
ผมรีบจับ Mouse click ขวาที่ชื่อเธอ และ view profile ของเธอบ้าง IE โผล่ขึ้นมาอีกหน้าจอหนึ่ง โลกกำลังหมุนเพื่อดึงข้อมูล
โลกหยุดหมุนแล้ว มีข้อความขึ้นบนจอ ว่า
Sorry ,but the profile you are looking for is not currently available now
สุดยอดเลย ! เธอคนนี้ crack จนไม่ให้มีชื่อเธออยู่ในสารระบบด้วย มิน่าหล่ะจึง track รู้เรื่องของเรามากนัก
> only: อั่นแน่ คุณหา Profile ฉันอยู่หรือไม่มีหรอกนะ อย่าไปดูเลย เสียเวลาค่ะ
> popo : รู้ได้ไงครับ
นั่น ผมเจอกับสุดยอด Hacker เข้าให้แล้ว คงจะดักจับ send-recieve Data ของผมด้วยหล่ะสิ
> only : รูปลักษณ์สังขารเราห่างกัน แต่จิตของเราเชื่อมถึงกันนี่ค่ะ
โอ๊ะ Hacker นักธรรม อีกต่างหาก สงสัยจะลงเรียน Budhist101 มาด้วย
> popo : คุณหมายถึง แม้ว่า Hardware Architecture เราจะคนละแบบ Operating System คนละชนิด แต่ด้วยความที่สัญญาณเราส่งผ่าน ถึงกันด้วย Protocol TCP/IP ระดับชั้น Application Layer เลยทำให้เราสามารถที่จะส่ง Data ถึงกันได้อย่าง Compattible ใช่ไหมครับ หรือว่าคุณจะชวนผมคุยเรื่อง Java Application ครับ ?
> only : คุณพูดถึงอะไรฉันไม่เข้าใจ ฉันมีเวลาไม่มากที่จะเชื่อมถึงคุณ โปรดละทิ้งความรู้ แล้วใช้ความรู้สึกเถอะค่ะ
> popo : อ๋อ internet time คุณกำลังหมดแล้วเหรอครับ ใช้ package ของพวก ISP อยู่หล่ะสิ ครับถึงได้หมดไว ใช้พวก unlimited time สิครับประหยัดดี
> only : พอเถอะค่ะ คุณพูดในสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันอยากถามคุณว่าคุณรู้สึกถึงฉันบ้างไหม
ผม อึ้งเงียบไปพักใหญ่ ความรู้สึกวูบวาบตามเนื้อตัวหายไปแล้ว บัดนี้เป็นความรู้สึกเหมือนไฟช๊อตที่ขั้วหัวใจ และมีเสียงโครมครามออกมาจากก้นบึ้ง ได้แต่ถามตัวเองว่า
ผมกำลังคุยกับใครอยู่ ?
>only : ฉันแค่อยากถามคุณว่าคุณรู้สึกถึงฉันบ้างไหม ในชั่วบางขณะของจิต ในความรู้สึกลึก ๆ แล้วเธอยังมีฉันอยู่ไหม
ผมยังคงเงียบ
> popo : ผมไม่เคยรู้จักคุณไม่ใช่เหรอครับ
> only : เราไม่ใช่แค่คนเคยรู้จัก เราเป็นมากกว่าเพื่อนสนิท ความสัมพันธ์ของเราต่างจากพี่น้อง มารดากับลูก สามีภรรยาหรืออะไรก็ตามที่โลกของเธอสมมติขึ้น
> popo : ? ? ?
>only : ฉันรู้ว่าเธอไม่เข้าใจ การคิดไม่ได้ผลกับเรื่องนี้ เธอต้องใช้ความรู้สึกแทนนะค่ะ คุณมีความรู้สึกถึงฉันบ้างไหม ?
ความ รู้สึกเหรอ ความรู้สึกของผมคืออะไร ความรู้สึกว่ามีไฟซ๊อตอยู่ที่ขั้วหัวใจ และมีเสียงที่พยายามตะโกนออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ผมไม่เข้าใจนี่นะเหรอ นี่หรือคือความรู้สึกที่เราพบกับ soul mate มันจะมีความรู้สึกแปลบปลาบกึ่งระลึกได้อย่างนี้หรือ แต่นี่มันหน้าจอคอมพิวเตอร์นะไม่ใช่ดวงตาหน้าต่างของหัวใจอย่างที่หนังสือ เขียนไว้สักหน่อย เราเชื่อมจิตผ่านทางนี้ได้ด้วยหรือ
ในความเป็นจริงผมก็มีความรู้สึกแปลก ๆ กับการได้คุยกับเธอจริง ๆ ผมพยายามจะนำความรู้สึกส่วนลึกนั้นออกมาบรรยายผ่านปลายนิ้ว
> popo: มี
ผม ตอบ ตอบห้วน ๆ ตอบอะไรก็ไม่รู้ ตอบส่ง ๆ ไปก่อน นี่เราคุยกับใครอยู่ก็หารู้ได้ ถ้าเป็นคนจริง ๆ ก็ถ้าจะเป็นคนแปลก ๆ ถ้าเราทำอะไรไม่พอใจ คงจะยิง Nuke ใส่เครื่อง ดีไม่ดีไฟล์ข้อมูลวิทยานิพนธ์ที่ผมทำมาสามปีกว่าจะมลายหายไป หรือถ้าเป็นคนไม่จริง ก็ให้มันรู้ไปสิว่า เดี๋ยวนี้ Hi-tech ติดต่อกันทาง chat-net ได้แล้ว
และอย่างน้อยที่สุด ผมก็ไม่ได้โกหก
> only : เธอจำได้แล้วเหรอว่าเธอเป็นใคร
> popo : จำไม่ได้หรอก แต่ผม 'รู้สึก' เอ่อ ใช่คำว่า 'มั่นใจ' ดีกว่า ผมมั่นใจว่าผมรู้สึกถึงคุณ ผมมีความรู้สึกถึงคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ
เสียงดังลั่นส่งออกจากลำโพงคอมพิวเตอร์ เป็นเสียงวีด หวีด ต๊อก ต๊อก ๆ ๆ ๆ วีด วีด เหมือนคลื่นวิทยุซ่า ๆ เป็นเสียงหวีดหวิวจับใจ
เธอยิง nuke เข้าเครื่องผมแน่แล้ว ผมพยายามจะลุกไปหาแผ่น zip drive เพื่อ backup ข้อมูลออกจากเครื่องก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไป
>only : เธอกำลังจะเดินไปไหน ! เธอกำลังหนีฉันไปเหมือนที่ผ่านมา ฉันเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า และมันมากเกินพอแล้ว ในห้วงเวลาที่แสนจะยาวนาน อีกกี่ชาติภพที่เธอจะรู้ตัวเสียที ! บัดนี้ใกล้ถึงเวลาของฉันแล้วทุกอย่างมันอ่อนล้าเต็มที่ ฉันกำลังจะต้องไปอยู่ในที่ ที่ฉันควรอยู่ และชั่วนิรันดร์ ฉันคงจะไม่ได้พบเธออีกแล้ว ได้โปรด นั่งอยู่นั่นตรงนั้นแล้วใช้ความรู้สึก ใช้สมาธิให้เต็มที่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อย่าให้อะไรมันสายเกินไปอีกเลย
>popo : ครับ
ไม่ ต้องคิดอะไรอีก ผมกลับมานั่งอย่างสงบที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หัวใจเต้นดังแทบจะลั่นออกมาจากอก ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วนอกจากเสียงหัวใจของผมเอง คงสรุปได้อย่างเดียวว่า ผมคงไม่ได้คุยกับคนธรรมดาอยู่
ไม่ใช่สิ ผมอาจจะไม่ได้คุยกับคนอยู่
> only : ขยายการรับรู้ให้มากขึ้น อย่าใช้เพียงแค่รูป ลักษณ์ สัญญา เธอก็รู้อยู่สังขารเป็นอนิจจัง พยายามก้าวออกมาสู่อานาเขตใหม่ ค่อย ๆ หลับตา เอามือสัมผัสมาที่จอ บางทีสัมผัสสะส่วนนี้อาจทำให้เธอประจักษ์แจ้งได้เร็วขึ้น
ผมหลับตา ค่อย ๆ เอื้อมมือไปแตะที่หน้าจอ อย่างว่าง่าย
ความ รู้สึกฉับพลันถาโถมเข้าร่าง สัญญาณหรือคลื่นบางอย่างแทรกผ่านปลายนิ้วผมอย่างรวดเร็ว เสียงสัมผัส ดั่งพลังงานอิเล็กตรอนวิ่งผ่านระหว่างนิ้วมือกับหน้าจอดังสนั่น ผมคงกำลังถูกดึงเข้าสู่มิติอื่นที่ผมไม่เคยก้าวข้ามมาก่อน ผมร้องลั่นด้วยความตกใจกลัว !
" อ้าาาาาาา อย่า อย่าเพิ่ง ผมยังไม่พร้อม "
ผมได้ยิน เสียงผู้หญิงหัวเราะแหลม พร้อมกับเสียงหวีดหวิว รอบตัว
" คราวหลัง อย่าลืมปิด web cam นะค่ะ เห็นหมดเลย แอบดูมาตั้งนานแล้วค่ะ
ไปหล่ะ แล้วเจอกันใหม่นะค่ะ โป๊ะโปะ "
ผม ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เครื่องกำลัง shutdown ตัวเอง หน้าจอค่อย ๆ ปิดลงไปทีละหน้าจอ ICQ ,IE ,yahoo mesanger และก็เป็นจริงของหล่อน ผมเปิดห้อง conferrence Chat ทิ้งไว้ กล้องดิจิตอลตั้งอยู่ ข้าง ๆ หน้าจอ โดยมีหนังสือ Only love is real วางอยู่ข้างกัน
ตอนนี้ตีสามครึ่งแล้ว ฝนหยุดตก ความเงียบเหงากลับเข้ามาอีกครั้งในชีวิต ผมปูที่นอน เปิดไฟหัวเตียง และสุ่มหยิบหนังสือมาเปิดอ่าน
*เรื่องแต่ง ปี 2004
ขั้นอารมณ์ระหว่างที่เบื่อกับการเขียน Thesis ปริญญาโท จิตวิทยาอุตฯ
ใช้นามปากกา Popo ด้วยแรงบันดาลใจจาก คืนฝนตกที่เชียงใหม่
หนังสือ "เราจะข้ามเวลามาพบกัน"แปลโดยคุณมณฑานี
ผมไม่รู้ว่าผมนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์มานานเท่าไหร่แล้ว แต่ที่รู้ก็คือตอนนี้ ตีสองแล้ว ผมจำได้ว่าเพิ่งละออกจากหน้าจอไปกินข้าวเย็นเมื่อสองทุ่ม หลังจากที่อยู่กับมันมานานพอควร พอมีเรี่ยวแรงสักหน่อยแล้ว ผมก็กลับมานั่งต่อ และก็ยังคงนั่งอยู่จนถึงบัดนี้
กับการนั่งหน้าจอ นาน ๆ ขนาดนี้ ก็คงรู้ได้เลยว่านี่ไม่ใช่การนั่งทำงาน แต่เป็นการนั่งคุย คุยกับคนที่ไม่รู้จัก คุยกับคนที่มีตัวตนอยู่จริง แต่ใช้ตัวตนสมมติแอบแฝงบทบาทอยู่ในโลกไซเบอร์ แต่ก็แปลกการนั่งคุยของผมทั้งวันนี้ มันเหมือนจะเปล่าประโยชน์ ผมไม่ได้เพื่อนใหม่ และผมก็ไม่พบเพื่อนเก่าที่เคยมักคุ้นกันในโลกแห่งนี้ ที่แปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ ความรู้สึกเสียววาบ ๆ จนขนแขนตั้งชันเกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ ผมคิดว่าอากาศกำลังจะเปลี่ยน ปกติแล้วร่างกายผมก็ไวต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
ตอนนี้ฝนเริ่มเทลง มาแล้ว ความหนาวแทรกซึมผ่านร่างทางนิ้วมือที่จับจองเนื้อที่อยู่บนคีย์บอร์ดซึ่ง กำลัง คืบคลานไปค้นหา หาเพื่อนใหม่ พร้อมกับความรู้สึกวาบ ๆ ปลาบแปลกตามผิวกาย ที่ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ย้อนกลับไปเมื่อคืน ก่อน คืนที่ผมก็นอนไม่หลับอีกเหมือนเคย และต้องใช้หนังสือที่เรียงรายในตู้ขนาดย่อมหัวเตียงมาช่วยทำลายความคิด ฟุ้งซ่านในหัว เหมือนปกติที่ผมมักจะสุ่มหยิบเล่มไหนก็ได้มาอ่านเพื่อให้หลับ เมื่อคืนผมเลือกเจอหนังสือที่เคยอ่านจบแล้ว แต่เอามาอ่านเล่นอีก ช่วงอายุที่เปลี่ยนไปอาจทำให้เนื้อความ เข้าใจในหนังสือเปลี่ยนไปก็ได้ ผมเลือกที่จะหยิบ Only love is Real เราจะข้ามเวลามาพบกัน ลงมา ด้วยเพราะปกที่แปลกตาและหยิบง่ายกว่าเล่มอื่น ๆ
ผมคิดเริ่มต้น เพียงเท่านั้น แต่เมื่อเริ่มอ่านแล้วก็อ่านไม่หยุด ความง่วงหายไปจากที่เคยต้องการ บัดนี้ผมไม่ต้องการมันอีก ผมนอนอ่านอย่างบรรจง และพิเคราะห์อย่างพิจารณาเรื่องของ ชาติภพ การตายแล้วเกิดใหม่ จิต วิญญาณ ความรักและความตาย ทุกอย่างที่รวมกันอยู่ในหนังสือเล่มนี้
ตอนนี้ก็เวลาตีสองครึ่งแล้ว แวบหนึ่งแทนที่จะเป็นความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นที่ปลายผิวกายเหมือนเคย คราวนี้การวาบไหวไปเกิดที่หน้าจอ Monitor และเสียงร้องติ๊ด ติ๊ด เตือนจากลำโพง Speaker ของเครื่อง ความวาบไหวเกิดขึ้นชั่วขณะ ผมคิดว่าคงด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมักจะเกิดขึ้นบ่อยอยู่แล้วเนื่องจาก สัญญาณของเครื่องสื่อสาร ฝนข้างนอกตกหนักขึ้นจนผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอื่น หน้าจอวูบไหวกลับมาเป็นปกติ ผมเหม่อมองหน้าจอต่อ เหมือนรอคอยใครสักคน
Blink k k k kk เสียงเหมือนเวทย์มนต์ของนางฟ้า บอกให้รู้ว่าขณะนี้มีข้อความจาก Yahoo Messenger ส่งเข้ามาหาผมโดยเฉพาะ ผม minimize notepad และสลับการทำงานไปเปิดอ่าน
>only: สวัสดีค่ะ
ผมทักตอบเธอ
> popo: สวัสดีครับ ผม โป้โปะ ครับ คุณล่ะ
> only : เพียงเดียว คะ
> popo : ชื่อน่ารักมากนะครับ
> only : ตัวก็น่ารักค่ะ ว่า แต่ only love is real สนุกดีนะค่ะ เป็นเรื่องจริงด้วย
> popo : อารายนะครับ คุณหมายถึงหนังสือที่ผมอ่านเมื่อคืนนะเหรอ คุณรู้ได้ไงครับ
>only : หนังสืออะไรค่ะ ฉันแค่จะบอกว่าฉันเพิ่งอ่านหนังสือเล่มนี้มา สนุกดี คุณก็อ่านมาเหรอค่ะ
>popo : เอ่อ ครับ . . . . . . . .
ความรู้สึกผมวาบไหวจากที่เคยชำแรกผ่านแค่ผิวกาย บัดนี้มันซาบซ่านผ่านนิ้ว แขนและตรงดิ่งสู่ขั้วหัวใจ
ผม นั่งนิ่งเหมือนถูกสะกด ความลังเลสงสัยเกิดขึ้นเฉียบพลัน ล้อเล่นน่า นี่ผมกำลังคุยกับใครอยู่ ปกติแล้วบุคคลสมมติในโลกไซเบอร์มักไม่ค่อยเปิดประเด็นคุยในเรื่องที่ชี้ เฉพาะเจาะจงอย่างนี้ ถ้าจะคุยกันในลักษณะนี้ก็น่าจะเป็นคนที่ผมรู้จักมาก่อน ผมพยายามนึก เพียงเดียว.... เพียงเดียว.. เพียงเดียว..
มันคล้องกับชื่อเพื่อนคน ไหนที่รู้จักไหม คำตอบคือไม่เลย ไม่เคยมีใครตั้งชื่อตัวเองได้เหงาเปล่าเปลี่ยวอย่างนี้ แต่ก็แปลก มันเป็นชื่อที่ผมรู้สึกว่า ถ้าผมไม่ใช้ชื่อ Popo สักครั้งผมก็อยากจะใช้ชื่อนี้ ใช่เลย เพียงเดียว เหงา เปล่าเปลี่ยว เพียงลำพังคนเดียว ชื่อนี้จึงคุ้นเคยเหลือเกินในความคำนึงของผม เหมือนว่าผมเคยรู้จักมาแล้ว และเป็นสิ่งที่ผมใฝ่หามาตลอด ผมต้องการที่จะคุยกับเธอต่อและสร้างสัมพันธ์ที่ดี ผมคงได้รับมิตรภาพจากเธอบ้าง
>popo: คุณอยู่ที่ไหนครับ
>only : ไกลจากคุณมากค่ะ เห็นว่าที่คุณอยู่ฝนตกหนักเหรอค่ะ ระวังจะไม่สบายนะค่ะ
>popo : ไกลจากผมมากแล้วคุณรู้ได้ไงว่าฝนตกหนักหล่ะครับ (check my profile ผมเหรอ)
ผมคิดในใจ บ้า ! profile ที่ไหน มันจะบอกว่ะ ว่าฝนตกที่ ที่คนนั้นอยู่ด้วย ผมเพียงแต่ใส่ไว้ว่าผมเป็นผู้ชาย อยู่เชียงใหม่ ก็เท่านั้น
>only : คุณอยู่เชียงใหม่ไม่ใช่เหรอค่ะ ก็เชียงใหม่ฝนตกหนักนี่ค่ะ ระวังไม่สบายน่ะค่ะ
> popo: เอ่อ..... ครับ ขอบคุณครับ
ผมรีบจับ Mouse click ขวาที่ชื่อเธอ และ view profile ของเธอบ้าง IE โผล่ขึ้นมาอีกหน้าจอหนึ่ง โลกกำลังหมุนเพื่อดึงข้อมูล
โลกหยุดหมุนแล้ว มีข้อความขึ้นบนจอ ว่า
Sorry ,but the profile you are looking for is not currently available now
สุดยอดเลย ! เธอคนนี้ crack จนไม่ให้มีชื่อเธออยู่ในสารระบบด้วย มิน่าหล่ะจึง track รู้เรื่องของเรามากนัก
> only: อั่นแน่ คุณหา Profile ฉันอยู่หรือไม่มีหรอกนะ อย่าไปดูเลย เสียเวลาค่ะ
> popo : รู้ได้ไงครับ
นั่น ผมเจอกับสุดยอด Hacker เข้าให้แล้ว คงจะดักจับ send-recieve Data ของผมด้วยหล่ะสิ
> only : รูปลักษณ์สังขารเราห่างกัน แต่จิตของเราเชื่อมถึงกันนี่ค่ะ
โอ๊ะ Hacker นักธรรม อีกต่างหาก สงสัยจะลงเรียน Budhist101 มาด้วย
> popo : คุณหมายถึง แม้ว่า Hardware Architecture เราจะคนละแบบ Operating System คนละชนิด แต่ด้วยความที่สัญญาณเราส่งผ่าน ถึงกันด้วย Protocol TCP/IP ระดับชั้น Application Layer เลยทำให้เราสามารถที่จะส่ง Data ถึงกันได้อย่าง Compattible ใช่ไหมครับ หรือว่าคุณจะชวนผมคุยเรื่อง Java Application ครับ ?
> only : คุณพูดถึงอะไรฉันไม่เข้าใจ ฉันมีเวลาไม่มากที่จะเชื่อมถึงคุณ โปรดละทิ้งความรู้ แล้วใช้ความรู้สึกเถอะค่ะ
> popo : อ๋อ internet time คุณกำลังหมดแล้วเหรอครับ ใช้ package ของพวก ISP อยู่หล่ะสิ ครับถึงได้หมดไว ใช้พวก unlimited time สิครับประหยัดดี
> only : พอเถอะค่ะ คุณพูดในสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันอยากถามคุณว่าคุณรู้สึกถึงฉันบ้างไหม
ผม อึ้งเงียบไปพักใหญ่ ความรู้สึกวูบวาบตามเนื้อตัวหายไปแล้ว บัดนี้เป็นความรู้สึกเหมือนไฟช๊อตที่ขั้วหัวใจ และมีเสียงโครมครามออกมาจากก้นบึ้ง ได้แต่ถามตัวเองว่า
ผมกำลังคุยกับใครอยู่ ?
>only : ฉันแค่อยากถามคุณว่าคุณรู้สึกถึงฉันบ้างไหม ในชั่วบางขณะของจิต ในความรู้สึกลึก ๆ แล้วเธอยังมีฉันอยู่ไหม
ผมยังคงเงียบ
> popo : ผมไม่เคยรู้จักคุณไม่ใช่เหรอครับ
> only : เราไม่ใช่แค่คนเคยรู้จัก เราเป็นมากกว่าเพื่อนสนิท ความสัมพันธ์ของเราต่างจากพี่น้อง มารดากับลูก สามีภรรยาหรืออะไรก็ตามที่โลกของเธอสมมติขึ้น
> popo : ? ? ?
>only : ฉันรู้ว่าเธอไม่เข้าใจ การคิดไม่ได้ผลกับเรื่องนี้ เธอต้องใช้ความรู้สึกแทนนะค่ะ คุณมีความรู้สึกถึงฉันบ้างไหม ?
ความ รู้สึกเหรอ ความรู้สึกของผมคืออะไร ความรู้สึกว่ามีไฟซ๊อตอยู่ที่ขั้วหัวใจ และมีเสียงที่พยายามตะโกนออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ผมไม่เข้าใจนี่นะเหรอ นี่หรือคือความรู้สึกที่เราพบกับ soul mate มันจะมีความรู้สึกแปลบปลาบกึ่งระลึกได้อย่างนี้หรือ แต่นี่มันหน้าจอคอมพิวเตอร์นะไม่ใช่ดวงตาหน้าต่างของหัวใจอย่างที่หนังสือ เขียนไว้สักหน่อย เราเชื่อมจิตผ่านทางนี้ได้ด้วยหรือ
ในความเป็นจริงผมก็มีความรู้สึกแปลก ๆ กับการได้คุยกับเธอจริง ๆ ผมพยายามจะนำความรู้สึกส่วนลึกนั้นออกมาบรรยายผ่านปลายนิ้ว
> popo: มี
ผม ตอบ ตอบห้วน ๆ ตอบอะไรก็ไม่รู้ ตอบส่ง ๆ ไปก่อน นี่เราคุยกับใครอยู่ก็หารู้ได้ ถ้าเป็นคนจริง ๆ ก็ถ้าจะเป็นคนแปลก ๆ ถ้าเราทำอะไรไม่พอใจ คงจะยิง Nuke ใส่เครื่อง ดีไม่ดีไฟล์ข้อมูลวิทยานิพนธ์ที่ผมทำมาสามปีกว่าจะมลายหายไป หรือถ้าเป็นคนไม่จริง ก็ให้มันรู้ไปสิว่า เดี๋ยวนี้ Hi-tech ติดต่อกันทาง chat-net ได้แล้ว
และอย่างน้อยที่สุด ผมก็ไม่ได้โกหก
> only : เธอจำได้แล้วเหรอว่าเธอเป็นใคร
> popo : จำไม่ได้หรอก แต่ผม 'รู้สึก' เอ่อ ใช่คำว่า 'มั่นใจ' ดีกว่า ผมมั่นใจว่าผมรู้สึกถึงคุณ ผมมีความรู้สึกถึงคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ
เสียงดังลั่นส่งออกจากลำโพงคอมพิวเตอร์ เป็นเสียงวีด หวีด ต๊อก ต๊อก ๆ ๆ ๆ วีด วีด เหมือนคลื่นวิทยุซ่า ๆ เป็นเสียงหวีดหวิวจับใจ
เธอยิง nuke เข้าเครื่องผมแน่แล้ว ผมพยายามจะลุกไปหาแผ่น zip drive เพื่อ backup ข้อมูลออกจากเครื่องก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไป
>only : เธอกำลังจะเดินไปไหน ! เธอกำลังหนีฉันไปเหมือนที่ผ่านมา ฉันเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า และมันมากเกินพอแล้ว ในห้วงเวลาที่แสนจะยาวนาน อีกกี่ชาติภพที่เธอจะรู้ตัวเสียที ! บัดนี้ใกล้ถึงเวลาของฉันแล้วทุกอย่างมันอ่อนล้าเต็มที่ ฉันกำลังจะต้องไปอยู่ในที่ ที่ฉันควรอยู่ และชั่วนิรันดร์ ฉันคงจะไม่ได้พบเธออีกแล้ว ได้โปรด นั่งอยู่นั่นตรงนั้นแล้วใช้ความรู้สึก ใช้สมาธิให้เต็มที่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อย่าให้อะไรมันสายเกินไปอีกเลย
>popo : ครับ
ไม่ ต้องคิดอะไรอีก ผมกลับมานั่งอย่างสงบที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หัวใจเต้นดังแทบจะลั่นออกมาจากอก ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วนอกจากเสียงหัวใจของผมเอง คงสรุปได้อย่างเดียวว่า ผมคงไม่ได้คุยกับคนธรรมดาอยู่
ไม่ใช่สิ ผมอาจจะไม่ได้คุยกับคนอยู่
> only : ขยายการรับรู้ให้มากขึ้น อย่าใช้เพียงแค่รูป ลักษณ์ สัญญา เธอก็รู้อยู่สังขารเป็นอนิจจัง พยายามก้าวออกมาสู่อานาเขตใหม่ ค่อย ๆ หลับตา เอามือสัมผัสมาที่จอ บางทีสัมผัสสะส่วนนี้อาจทำให้เธอประจักษ์แจ้งได้เร็วขึ้น
ผมหลับตา ค่อย ๆ เอื้อมมือไปแตะที่หน้าจอ อย่างว่าง่าย
ความ รู้สึกฉับพลันถาโถมเข้าร่าง สัญญาณหรือคลื่นบางอย่างแทรกผ่านปลายนิ้วผมอย่างรวดเร็ว เสียงสัมผัส ดั่งพลังงานอิเล็กตรอนวิ่งผ่านระหว่างนิ้วมือกับหน้าจอดังสนั่น ผมคงกำลังถูกดึงเข้าสู่มิติอื่นที่ผมไม่เคยก้าวข้ามมาก่อน ผมร้องลั่นด้วยความตกใจกลัว !
" อ้าาาาาาา อย่า อย่าเพิ่ง ผมยังไม่พร้อม "
ผมได้ยิน เสียงผู้หญิงหัวเราะแหลม พร้อมกับเสียงหวีดหวิว รอบตัว
" คราวหลัง อย่าลืมปิด web cam นะค่ะ เห็นหมดเลย แอบดูมาตั้งนานแล้วค่ะ
ไปหล่ะ แล้วเจอกันใหม่นะค่ะ โป๊ะโปะ "
ผม ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เครื่องกำลัง shutdown ตัวเอง หน้าจอค่อย ๆ ปิดลงไปทีละหน้าจอ ICQ ,IE ,yahoo mesanger และก็เป็นจริงของหล่อน ผมเปิดห้อง conferrence Chat ทิ้งไว้ กล้องดิจิตอลตั้งอยู่ ข้าง ๆ หน้าจอ โดยมีหนังสือ Only love is real วางอยู่ข้างกัน
ตอนนี้ตีสามครึ่งแล้ว ฝนหยุดตก ความเงียบเหงากลับเข้ามาอีกครั้งในชีวิต ผมปูที่นอน เปิดไฟหัวเตียง และสุ่มหยิบหนังสือมาเปิดอ่าน
*เรื่องแต่ง ปี 2004
ขั้นอารมณ์ระหว่างที่เบื่อกับการเขียน Thesis ปริญญาโท จิตวิทยาอุตฯ
ใช้นามปากกา Popo ด้วยแรงบันดาลใจจาก คืนฝนตกที่เชียงใหม่
หนังสือ "เราจะข้ามเวลามาพบกัน"แปลโดยคุณมณฑานี
ไม่เห็นโลงศพอย่าหลั่งน้ำตา*
แม้จะเป็นจอมยุทธ์ก็หาใช่จะไม่มีความคำนึงไม่
แปลว่า "จอมยุทธ์ก็เครียดเป็นนะโว้ย"
ในโลกสังคมปัจจุบัน ความเครียดเป็นปัญหาที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก ทุกคนเครียดเป็นตั้งแต่เด็กอนุบาลยันท่านประธานบริษัท
ตอนเป็นเด็กก็รบเร้าอยากได้ของเล่น
เข้ามัธยมต้นก็เครียด เมื่อไหร่ตูจะมีแฟน
มัธยมปลายก็เครียดหนักอยากเข้ามหาลัย
จบมหาลัยก็กลัวไม่มีงานทำ
พอมีงานทำ ก็กลัวไม่รวย กลัวไม่ได้เลื่อนขั้น
มาทำธุริกิจเอง ก็กลัวมันเจ้ง
แล้ว มันก็ทำให้ทุกคนเครียด ยิ่งเจอกับปัญหาหนัก ๆ กับสังคมปัจจุบันก็ยิ่งไปกันใหญ่ บริษัทหลายบริษัทปิดตัวเอง คนงานถูกไล่ออกจากงานเพราะเจ้าของไม่มีเงินจ้าง แล้วทุกอย่างก็ดูเลวร้ายยิ่งขึ้น
ความเครียดกลายเป็นปํญหาที่ทวี ความรุนแรงสูงขึ้นตั้งแต่เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม โลกหดตัวลง ตามกลไกของโลกาภิวัฒน์ และเศรษฐกิจที่เป็นไปตามระบบทุนนิยม (ใครมีทุนมากคนอื่นก็นิยม)
จากการทำวิจัยฉบับย่อบน Internet ด้วยเวลาเท่ากับการหุงข้าวแบบไม่เช็ดน้ำ เรื่อง ความเครียด
ผล จากการสำรวจผู้ที่มีความเครียดสูงและเข้าทำการรักษาในโรงพยาบาลโรคจิตต่าง ๆ ของรัฐ พบว่า มากกว่า หนึ่งในสี่ ความเครียดมีสาเหตุจาก สถานภาพการเงิน เนื่องจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ อันหมายถึง รายได้ไม่พอรายจ่าย ของของเครื่องใช้ราคาสูงขึ้น และรายได้ลดลง ผลกระทบทำให้ต้องทำงานหนักขึ้น ใช้ชีวิตด้วยความขัดสนมากขึ้น และกู้เงินจากคนอื่น 7 คน ใน 100 จากกลุ่มคนเครียดนี้คิดที่จะฆ่าตัวตาย
ตอลสตอย เขียนในหนังสือ คำสารภาพ (แต่งเติมด้วยความคิดฝันของผู้เขียนสม้ยวัยหนุ่ม)
ว่า ภาพที่เขาเห็นในยามจะข่มตาหลับ เป็นภาพ หนูดำ กับ หนูขาว วิ่งหมุนวนสลับกันไป บนยอดหน้าผาในขณะที่ในเบื้องล่างผา มีตัวเขาเองเหนี่ยวรั้งดึงโหนยอดไม้ตรงสุดขอบหน้าผาด้วยความเหนื่อยล้า รอเวลาและตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรปล่อยมือ
เห็นภาพไหม ถ้ายังไม่เห็นก็ไปหาหนังสือมาอ่านนะครับ
ทำไมต้องฆ่าตัวตาย
จาก การศึกษาโดยถามกลุ่มตัวอย่างที่ฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ(ถ้าสำเร็จ งานวิจัยนี้เป็นไสยศาสตร์) ผู้ที่ยังไม่ตายกล่าวว่า การฆ่าตัวตายเสมือนเป็นสัญญะ (สิ่งที่เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันในสังคม) ว่าการฆ่าตัวตายสื่อถึงความทุกข์ใจแสนสาหัส คนฆ่าตัวตายส่วนใหญ่มักมีคนใกล้ชิดคิดฆ่าตัวตายมาก่อน การฆ่าตัวตายเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ เช่นทะเลาะกันรุนแรงแล้วถูกไล่ให้ไปตายเสีย (ในกรณีคนสนิทหรือคู่รัก) เสียความภูมิใจตัวเอง เพราะได้ยินคำพูดที่นึกไม่ถึงจากคนใกล้ชิด ถูกหมิ่นเกียรติ มีปัญหาแต่แก้ไม่ได้
แล้วทำอย่างไร
ผู้ให้ สัมภาษณ์ กล่าวว่าการฆ่าตัวตายเป็นความคิดชั่ววูบ ใช้วิธีกินสารพิษ เช่นยาเบื่อหนู ยาฆ่าแมลง และยานอนหลับ ผู้ชายบอกว่าเพราะยาอยู่ใกล้ตัว (ง่ายดีว่างั้นเถอะ) ผู้หญิงบอกว่าเป็นวิธีการที่ไม่ทรมาน (ตายทั้งทีขอสบายสักครั้ง)
แล้วตายไหม
จากการสำรวจข้อมูลการ วิจัยอีกฉบับ ที่ศึกษาเฉพาะการตายที่เกิดขึ้นจากการฆ่าตัวตายพบว่า พวกที่ฆ่าตัวตายแล้วตายจริง ๆ นั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มากกว่าผู้หญิง เทียบเป็นอัตราส่วนก็มากกว่าถึง 20% โดยผู้ชายที่ตายอยูในช่วงอายุ 21-30 ปี ผู้หญิง 16-20 ปี และที่ตายจริง ๆ เป็นเพราะ การแขวนคอตายถึง 80 % และใช้อาวุธยิงตัวตาย 10% ส่วนที่กินสารพิษตายจริง ๆ เพียง 5%
แต่ อย่าเพิ่งสบประมาท คนฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ ใช่ว่าจะหยุดคนที่ฆ่าตัวตายครั้งหนึ่งแล้ว มีโอกาสจะประสบความสำเร็จในการฆ่าตัวตายครั้งต่อ ๆ ไป เพิ่มขึ้น ถึง 100 เท่า กล่าวคือ อัตราคนฆ่าตัวตายสำเร็จในครั้งที่สองต่อคนพยายามฆ่าตัวตายทั้งหมด สูงกว่า อัตราคนฆ่าตัวตายสำเร็จในครั้งที่หนึ่ง 100 เท่า
กลุ่มตัวอย่างที่พยายามฆ่าตัวตายกล่าวว่า ถ้ายังไม่สามารถยุติความเครียดได้ มักจะมีการกระทำครั้งที่สอง ครั้งที่สาม
จาก รายงานการตายของประชากรในประเทศไทยในปัจจุบันพบว่า 3 ศพ ใน 100 ศพ ของผู้ชายตายเพราะการฆ่าตัวตาย (เท่ากับอัตราการตายเพราะมะเร็งปอด) ในปี พ.ศ. 2540 ประเทศไทยมีประชากร 60,816,227 มีผู้พยายามฆ่าหรือฆ่าตัวตายสำเร็จ 16,639 คน ในขณะที่ ปี พ.ศ. 2545 ประชากร 62,799,872 คน มีผู้พยายามฆ่าหรือฆ่าตัวตายสำเร็จ 21,177 คน อัตราเพิ่มขึ้นเทียบกับจำนวนประชากรในอัตราส่วนถึง 23% !!!!
ลองสำรวจตัวเองดูคุณเป็นหนึ่งในนี้ไหม
บุคลิกของผู้พยายามฆ่าตัวตาย เรียงตามลำดับ
ใจร้อน วู่วาม ฉุนเฉียว
จิตใจอ่อนไหวต่อการตำหนิ
เมื่อทุกข์ใจมักแก้ปัญหาด้วยการ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่
เพศหญิง มักปรึกษาคนใกล้ชิดแต่มักคิดว่าไม่มีคนให้ความสนใจอย่างจริงจังหรือได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม
เพศชาย มักไม่พูดปรึกษาใคร มีการปรับตัวต่อปัญหาในทางลบ เช่นดื่มเหล้า
ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ ก็แสดงว่าความเครียดของคุณอาจจะทวีความรุนแรง
จนถึงขั้นไปฆ่าตัวตายได้
จะ เห็นได้ว่า การฆ่าตัวตายเกิดขึ้นจากความเครียด การนำจิตไปติดกับปัญหาและเป็นทุกข์ก่อนที่จะถึงเวลา ขอย้ำว่ามันเป็นความทุกข์ที่ยังไม่ถึงเวลา เป็นความวิตกกังวลที่เป็นไปก่อนเหตุ สถานะการณ์ยังไม่ทันเกิดขึ้นก็คิดล่วงหน้าไปก่อน ซึ่งมักจะมองปัญหาหนักเกินจริง
กลับมาคิดทางบวก
ถูกคนอื่นว่าติเตียนทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น อย่าเสียความภูมิใจในตนเลย
ธุรกิจจะล้มมันก็ยังไม่ล้มเสียหน่อย ถึงมันล้มไปแล้วเราก็ยังหาเงินได้อีก
เป็นหนี้ก็ใช้ ใช้ไม่ได้ก็ผ่อน ผ่อนไม่ได้ก็ NPL
แฟนทิ้งก็ใช่ว่าในชีวิตนี้จะไม่มีเมีย
คิดว่าชีวิตตนไม่มีประโยชน์ อดสูเหลือเกิน ก็ลุกขึ้นมาทำประโยชน์บ้าง
เช่น รดน้ำต้นไม้ งานง่าย ๆ ที่กำลังช่วยชีวิตสิ่งมีชีวิตอื่น
แต่การตัดสินใจฆ่าตัวตายไปก่อน นี่มันน่าเสียดาย
เหมือนดูหนังมากลางเรื่องแต่ไม่ยอมดูตอนจบ
ไม่เห็นโลงศพ อย่าเพิ่งหลั่งน้ำตา นะจอมยุทธ์
อดทนหน่อย
คิดถึงคนที่ยังไม่อยากตายในเหตุการณ์ สึนามิ บ้าง
รวมรวมข้อมูลผลการวิจัยด้านสุขภาพจิตของคนไทยจาก web กรมสุขภาพจิต http://www.dmh.go.th
"ปัญหาบางปัญหาแก้ได้ก็หายกังวลส่วนปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้ กังวลไปก็เท่านั้น"องค์ทาไลลามะ
* เขียนไว้ ยามเครียด ๆ ปี 2005 *
แปลว่า "จอมยุทธ์ก็เครียดเป็นนะโว้ย"
ในโลกสังคมปัจจุบัน ความเครียดเป็นปัญหาที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก ทุกคนเครียดเป็นตั้งแต่เด็กอนุบาลยันท่านประธานบริษัท
ตอนเป็นเด็กก็รบเร้าอยากได้ของเล่น
เข้ามัธยมต้นก็เครียด เมื่อไหร่ตูจะมีแฟน
มัธยมปลายก็เครียดหนักอยากเข้ามหาลัย
จบมหาลัยก็กลัวไม่มีงานทำ
พอมีงานทำ ก็กลัวไม่รวย กลัวไม่ได้เลื่อนขั้น
มาทำธุริกิจเอง ก็กลัวมันเจ้ง
แล้ว มันก็ทำให้ทุกคนเครียด ยิ่งเจอกับปัญหาหนัก ๆ กับสังคมปัจจุบันก็ยิ่งไปกันใหญ่ บริษัทหลายบริษัทปิดตัวเอง คนงานถูกไล่ออกจากงานเพราะเจ้าของไม่มีเงินจ้าง แล้วทุกอย่างก็ดูเลวร้ายยิ่งขึ้น
ความเครียดกลายเป็นปํญหาที่ทวี ความรุนแรงสูงขึ้นตั้งแต่เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม โลกหดตัวลง ตามกลไกของโลกาภิวัฒน์ และเศรษฐกิจที่เป็นไปตามระบบทุนนิยม (ใครมีทุนมากคนอื่นก็นิยม)
จากการทำวิจัยฉบับย่อบน Internet ด้วยเวลาเท่ากับการหุงข้าวแบบไม่เช็ดน้ำ เรื่อง ความเครียด
ผล จากการสำรวจผู้ที่มีความเครียดสูงและเข้าทำการรักษาในโรงพยาบาลโรคจิตต่าง ๆ ของรัฐ พบว่า มากกว่า หนึ่งในสี่ ความเครียดมีสาเหตุจาก สถานภาพการเงิน เนื่องจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ อันหมายถึง รายได้ไม่พอรายจ่าย ของของเครื่องใช้ราคาสูงขึ้น และรายได้ลดลง ผลกระทบทำให้ต้องทำงานหนักขึ้น ใช้ชีวิตด้วยความขัดสนมากขึ้น และกู้เงินจากคนอื่น 7 คน ใน 100 จากกลุ่มคนเครียดนี้คิดที่จะฆ่าตัวตาย
ตอลสตอย เขียนในหนังสือ คำสารภาพ (แต่งเติมด้วยความคิดฝันของผู้เขียนสม้ยวัยหนุ่ม)
ว่า ภาพที่เขาเห็นในยามจะข่มตาหลับ เป็นภาพ หนูดำ กับ หนูขาว วิ่งหมุนวนสลับกันไป บนยอดหน้าผาในขณะที่ในเบื้องล่างผา มีตัวเขาเองเหนี่ยวรั้งดึงโหนยอดไม้ตรงสุดขอบหน้าผาด้วยความเหนื่อยล้า รอเวลาและตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรปล่อยมือ
เห็นภาพไหม ถ้ายังไม่เห็นก็ไปหาหนังสือมาอ่านนะครับ
ทำไมต้องฆ่าตัวตาย
จาก การศึกษาโดยถามกลุ่มตัวอย่างที่ฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ(ถ้าสำเร็จ งานวิจัยนี้เป็นไสยศาสตร์) ผู้ที่ยังไม่ตายกล่าวว่า การฆ่าตัวตายเสมือนเป็นสัญญะ (สิ่งที่เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันในสังคม) ว่าการฆ่าตัวตายสื่อถึงความทุกข์ใจแสนสาหัส คนฆ่าตัวตายส่วนใหญ่มักมีคนใกล้ชิดคิดฆ่าตัวตายมาก่อน การฆ่าตัวตายเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ เช่นทะเลาะกันรุนแรงแล้วถูกไล่ให้ไปตายเสีย (ในกรณีคนสนิทหรือคู่รัก) เสียความภูมิใจตัวเอง เพราะได้ยินคำพูดที่นึกไม่ถึงจากคนใกล้ชิด ถูกหมิ่นเกียรติ มีปัญหาแต่แก้ไม่ได้
แล้วทำอย่างไร
ผู้ให้ สัมภาษณ์ กล่าวว่าการฆ่าตัวตายเป็นความคิดชั่ววูบ ใช้วิธีกินสารพิษ เช่นยาเบื่อหนู ยาฆ่าแมลง และยานอนหลับ ผู้ชายบอกว่าเพราะยาอยู่ใกล้ตัว (ง่ายดีว่างั้นเถอะ) ผู้หญิงบอกว่าเป็นวิธีการที่ไม่ทรมาน (ตายทั้งทีขอสบายสักครั้ง)
แล้วตายไหม
จากการสำรวจข้อมูลการ วิจัยอีกฉบับ ที่ศึกษาเฉพาะการตายที่เกิดขึ้นจากการฆ่าตัวตายพบว่า พวกที่ฆ่าตัวตายแล้วตายจริง ๆ นั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มากกว่าผู้หญิง เทียบเป็นอัตราส่วนก็มากกว่าถึง 20% โดยผู้ชายที่ตายอยูในช่วงอายุ 21-30 ปี ผู้หญิง 16-20 ปี และที่ตายจริง ๆ เป็นเพราะ การแขวนคอตายถึง 80 % และใช้อาวุธยิงตัวตาย 10% ส่วนที่กินสารพิษตายจริง ๆ เพียง 5%
แต่ อย่าเพิ่งสบประมาท คนฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ ใช่ว่าจะหยุดคนที่ฆ่าตัวตายครั้งหนึ่งแล้ว มีโอกาสจะประสบความสำเร็จในการฆ่าตัวตายครั้งต่อ ๆ ไป เพิ่มขึ้น ถึง 100 เท่า กล่าวคือ อัตราคนฆ่าตัวตายสำเร็จในครั้งที่สองต่อคนพยายามฆ่าตัวตายทั้งหมด สูงกว่า อัตราคนฆ่าตัวตายสำเร็จในครั้งที่หนึ่ง 100 เท่า
กลุ่มตัวอย่างที่พยายามฆ่าตัวตายกล่าวว่า ถ้ายังไม่สามารถยุติความเครียดได้ มักจะมีการกระทำครั้งที่สอง ครั้งที่สาม
จาก รายงานการตายของประชากรในประเทศไทยในปัจจุบันพบว่า 3 ศพ ใน 100 ศพ ของผู้ชายตายเพราะการฆ่าตัวตาย (เท่ากับอัตราการตายเพราะมะเร็งปอด) ในปี พ.ศ. 2540 ประเทศไทยมีประชากร 60,816,227 มีผู้พยายามฆ่าหรือฆ่าตัวตายสำเร็จ 16,639 คน ในขณะที่ ปี พ.ศ. 2545 ประชากร 62,799,872 คน มีผู้พยายามฆ่าหรือฆ่าตัวตายสำเร็จ 21,177 คน อัตราเพิ่มขึ้นเทียบกับจำนวนประชากรในอัตราส่วนถึง 23% !!!!
ลองสำรวจตัวเองดูคุณเป็นหนึ่งในนี้ไหม
บุคลิกของผู้พยายามฆ่าตัวตาย เรียงตามลำดับ
ใจร้อน วู่วาม ฉุนเฉียว
จิตใจอ่อนไหวต่อการตำหนิ
เมื่อทุกข์ใจมักแก้ปัญหาด้วยการ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่
เพศหญิง มักปรึกษาคนใกล้ชิดแต่มักคิดว่าไม่มีคนให้ความสนใจอย่างจริงจังหรือได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม
เพศชาย มักไม่พูดปรึกษาใคร มีการปรับตัวต่อปัญหาในทางลบ เช่นดื่มเหล้า
ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ ก็แสดงว่าความเครียดของคุณอาจจะทวีความรุนแรง
จนถึงขั้นไปฆ่าตัวตายได้
จะ เห็นได้ว่า การฆ่าตัวตายเกิดขึ้นจากความเครียด การนำจิตไปติดกับปัญหาและเป็นทุกข์ก่อนที่จะถึงเวลา ขอย้ำว่ามันเป็นความทุกข์ที่ยังไม่ถึงเวลา เป็นความวิตกกังวลที่เป็นไปก่อนเหตุ สถานะการณ์ยังไม่ทันเกิดขึ้นก็คิดล่วงหน้าไปก่อน ซึ่งมักจะมองปัญหาหนักเกินจริง
กลับมาคิดทางบวก
ถูกคนอื่นว่าติเตียนทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น อย่าเสียความภูมิใจในตนเลย
ธุรกิจจะล้มมันก็ยังไม่ล้มเสียหน่อย ถึงมันล้มไปแล้วเราก็ยังหาเงินได้อีก
เป็นหนี้ก็ใช้ ใช้ไม่ได้ก็ผ่อน ผ่อนไม่ได้ก็ NPL
แฟนทิ้งก็ใช่ว่าในชีวิตนี้จะไม่มีเมีย
คิดว่าชีวิตตนไม่มีประโยชน์ อดสูเหลือเกิน ก็ลุกขึ้นมาทำประโยชน์บ้าง
เช่น รดน้ำต้นไม้ งานง่าย ๆ ที่กำลังช่วยชีวิตสิ่งมีชีวิตอื่น
แต่การตัดสินใจฆ่าตัวตายไปก่อน นี่มันน่าเสียดาย
เหมือนดูหนังมากลางเรื่องแต่ไม่ยอมดูตอนจบ
ไม่เห็นโลงศพ อย่าเพิ่งหลั่งน้ำตา นะจอมยุทธ์
อดทนหน่อย
คิดถึงคนที่ยังไม่อยากตายในเหตุการณ์ สึนามิ บ้าง
รวมรวมข้อมูลผลการวิจัยด้านสุขภาพจิตของคนไทยจาก web กรมสุขภาพจิต http://www.dmh.go.th
"ปัญหาบางปัญหาแก้ได้ก็หายกังวลส่วนปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้ กังวลไปก็เท่านั้น"องค์ทาไลลามะ
* เขียนไว้ ยามเครียด ๆ ปี 2005 *
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)