ข้าวผัด ของป้าพัด
โดย ชุติมา นุ่นมัน aae_ok@yahoo.com
"คนในซอยนี้ก็ไม่ได้รวยมาจากไหน หาเช้ากินค่ำ เป็นลูกจ้างเขาทั้งนั้น ขายแพงกว่านี้คงไม่มีใครซื้อป้าหรอก"
ป้าพัดบอกว่า อาหารตามสั่งของแกขายจานละ 20 บาท มาตั้งแต่ปี 2542 หากเป็นข้าวไข่เจียว หรือไข่ดาวฟองเดียวก็ 10 บาท แต่ละวันได้กำไรไม่ต่ำกว่า 200-300 บาท โดยที่ตัวแกและครอบครัว คือ ลูกๆ 4 คน กินอยู่เสร็จสับไปกับอาหารในร้านนี้เลย 200-300 บาท ดังกล่าวจึงถือเป็นเงินเก็บสำหรับครอบครัว ที่สามารถนำไปซื้อความสะดวกสบายอย่างอื่นได้
"ตอนนั้นข้าวของยังไม่แพง ผักคะน้ากิโลละ 10 บาท ข้าวสารถังละร้อยเดียว หมูก็กิโลละ 40 บาท น้ำมันถุงละ 16 บาท ข้าวร้านป้าใช้ข้าวหอมมะลิ ปนกับข้าวเสาไห้ เพราะถ้าข้าวแข็งมากเรากินไม่ได้ ลูกค้าก็บ่น ต้องยึดเอาตัวเราเป็นหลักด้วย เราไม่ชอบ แล้วลูกค้าจะชอบได้ยังไง"
แต่ราว 5-6 ปีต่อมา ข้าวของแพงขึ้น แกจึงขยับราคาจาก 20 บาท เป็น 25 บาท แต่ยังคงไว้ซึ่งปริมาณและคุณภาพครบครันไม่มีขาดตกบกพร่องจากเดิม
"คนที่มากินส่วนใหญ่ก็ลูกค้าประจำทั้งนั้น ป้าจำได้หมดว่าใครชอบอะไร คนที่ทำงานใช้แรงมากๆ หรือเด็กนักเรียนวัยรุ่นจะกินเยอะ เราก็ตักข้าวให้เยอะไปเลย คือ กะให้กินทีเดียวอิ่ม หรือถ้าใครอยากได้อะไรพิเศษก็บอก จะทำให้ ร้านเราไม่มีน้ำแข็งแต่มีน้ำเปล่า เป็นน้ำในตู้เย็นที่ป้าและคนในครอบครัวดื่มนั่นแหละ ไม่ต้องซื้อน้ำหรือน้ำแข็งเปล่ากินอีก"
มาถึงปีนี้เกิดปรากฏการณ์ข้าวยากหมากแพง ทุกอย่างขึ้นราคากันหมด ยกเว้นค่าจ้าง กับข้าวสดที่ป้าพัดต้องไปจ่ายทุกเช้าขยับราคาจากเดิมอีก 3 เท่าตัว องค์ประกอบของการใช้ชีวิตประจำวันทุกอย่างก็สาระพาเฮโลกันขึ้นราคาทั้งหมด ตั้งแต่ค่ารถเมล์ ค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้าง ค่าไฟ ค่าแก๊สหุงต้ม ฯลฯ แต่ป้าพัดยังยืนยันว่าอาหารตามสั่งที่ร้านแก จะไม่ขึ้นราคาเด็ดขาด
"ขึ้นได้ยังไงละลูกเอ๊ย ขึ้นแล้วใครที่ไหนจะกิน จาก 25 บาท เป็น 30 หรือ 35 บาทเนี่ย มันโหดไป ป้าทำไม่ได้หรอก" หญิงชราบอกเสียงเศร้าๆ
"ใครๆ เค้าก็ขึ้นราคากันทั้งนั้น ข้าวราดแกง 2 อย่าง บางร้านขาย 40 บาทยังมีเลย ป้าขาย 25 บาท จะได้กำไรอะไรกัน" เธอทักท้วง
หญิงชรายิ้มอย่างใจเย็นบอกว่า ถ้าขึ้นราคาก็คงไม่มีใครกิน แกจึงใช้วิธีลดปริมาณข้าวของที่จะต้องนำมาปรุงลงเสียบ้าง
"เนื้อสัตว์เราก็ลดชิ้นลงเสียหน่อย หรือจะตักข้าวทีก็ยั้งๆ มือบ้าง แต่บางทีก็อดไม่ได้ ป้าชอบสงสารคนซื้อ บางเมนูเราก็เลิกขายไปเลย เช่น ข้าวเปล่ากับไข่ดาว ที่เดิมขาย 10 บาท ตอนนี้ไม่ได้แล้ว เพราะ เทน้ำมัน ติดแก๊ส ก็ไม่คุ้มแล้ว ของบางอย่างที่ร้านป้าลดคุณภาพไม่ได้ โดยเฉพาะข้าวสาร ถึงจะแพงแสนแพงยังไงป้าก็ยังใช้ข้าวหอมมะลิ หุงปนกับข้าวเสาไห้เหมือนเดิม ไม่งั้นมันจะแข็ง กินไม่ได้เลย"
องค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ในร้านอาหารที่หลายๆ คนอาจจะมองข้ามทุกอย่างเป็นต้นทุนทั้งหมด อย่างน้ำปลาพริก พริกก็ขึ้นราคา มะนาวใบละ 4 บาท แตงกวากิโลละ 50 บาท ใครสั่งไข่เจียวหมูสับ นอกจากไข่ หมู และน้ำมันขึ้นราคาแล้ว ซอสพริก และซอสมะเขือเทศ ก็ขึ้นราคาอีกด้วย
"ใครใส่ซอสเยอะๆ ป้าอาจจะมีเหล่ๆ บ้าง แต่ไม่ได้ห้าม" แกพูดพร้อมกับอมยิ้ม
อดคิดถึงตัวเองไม่ได้ที่ชอบไปตลาดตอนเย็นๆ หรือพลบค่ำ เพราะช่วงเวลานั้นผักจะราคาถูกมาก เนื่องจากพ่อค้าแม่ค้าเห็นว่าหากขายไม่หมดผักคงจะเหี่ยวทิ้งไปเปล่าๆ จึงต้องเอามาเลหลัง ใส่จานขาย จานละ 10 บาท เลือกดีๆ จะได้ผักดีๆ ไปเก็บใส่ตู้เย็นกินได้หลายวันเหมือนกัน
ป้าพัดยิ้มกับคำบอกเล่าของผู้ไปเยือน แต่แกแย้งว่า บางคนมีทางเลือก แต่แม่ค้าอย่างแกเลือกเวลาไม่ได้ จะต้องทำมาหากินตั้งแต่เช้า คงไม่สามารถรอจังหวะเวลาการซื้อเช่นนั้นได้
แล้วทุกวันนี้ป้าได้กำไรวันละเท่าไหร่ อยู่ได้หรือคะ ผู้ไปเยือนสงสัย
หญิงชรายิ้มอีกครั้ง เป็นยิ้มแบบฝืนๆ
"ขายดีหน่อยก็ได้วันละ 100 บาท ตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่ม วันไหนขายไม่ดีก็ได้ไม่ถึงร้อย ยังดีที่ตอนนี้ลูกๆ เรียนหนังสือจบกันหมดแล้ว และบ้านไม่ต้องเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ลูกช่วยออก แต่ยังต้องเลี้ยงหลานอีกคน ต้องจ่ายค่าไปโรงเรียน ค่าชุดนักเรียนให้เขา ลำพังกำไรจากอาหารตามสั่งไม่พอหรอก ป้าจึงหารายได้พิเศษด้วยการขายลอตเตอรี่ อันนี้ขายดี เพราะแต่ละงวดคนหันมาตั้งความหวังกับตรงนี้มากขึ้น ได้กำไรงวดละพันสองพัน พอเป็นค่ายา เพราะตอนนี้ป้าต้องไปหาหมอบ่อย เนื่องจากปวดหลัง" ป้าพัดบอก
โชคดีอีกอย่างของชาวชุมชนซอยแสนสุขและป้าพัดคือ ชุมชนนี้มีสหกรณ์ออมทรัพย์ เครดิตยูเนี่ยน ที่คนในชุมชนมากกว่า 80% เป็นสมาชิก ใครที่ขาดเหลืออะไร สามารถพึ่งพาตรงนี้ได้ ไม่ต้องไปกู้เงินนอกระบบ และนอกเหนือจากอาชีพแม่ค้าอาหารตามสั่งแล้ว ป้าพัดยังเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน และเป็นตำรวจบ้านในชุมชนแห่งนี้ด้วย
"บางครั้ง การทำกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากที่ต้องดิ้นรนเพื่อปากท้องในชีวิตประจำวัน ก็ทำให้เราลืมความทุกข์ได้เหมือนกัน ทำให้รู้ด้วยว่ามีคนที่เป็นทุกข์และขาดแคลนมากกว่าเราอีกหลายคน"
เที่ยงแล้ว ลูกค้าของป้าพัดทยอยเข้ามาสั่งอาหารถี่ขึ้น
25 บาท แลกกับ 1 มื้อ ที่นี่อาจจะไม่อิ่มพุงกางสำหรับหลายๆ คน
แต่มันก็ทำให้หายหิวได้เหมือนกัน
ก็น่าเห็นใจทั้งคนขายคนซื้อทานค่ะ
ตอบลบเมื่อก่อนนาซื้อส้มตำแล้วจะชอบแยกซื้อขนมจีนเส้นเปล่าๆราคา 5 บาทด้วย
กินคนเดียวสองมื้อไม่หมดนะ
แต่มาวันนี้ 5 บาทไม่ขายอ่ะ
ขาย 10 ขึ้น อั้ยเราก็คิดในใจขาย 5 แต่ลดปริมาณลงก็ได้ ก็จะกินจะทานคนเดียว ไม่อิ่มก็จะกลับมาซื้อใหม่ค่ะ (คือเดินมาซื้อเองได้ไม่ได้จ่ายค่าน้ำมันรถสักหน่อย)
สำหรับข้าวผัดป้าพัด แห่ะๆ
ในแง่ของคนกิน..ถ้าเป็นนา
ก็อยากให้มีหลายๆราคาได้ป่ะ
มีทั้ง 20 25 30 35 บาท
ปริมาณแปรผันตามราคา..ประมาณนี้
ส่วนความอร่อยหรือคุณภาพยังคงเดิม
หรือจะดีขึ้นกว่าเดิมยิ่งดีใหญ่เลย
เวลาคนซื้อกิน...เราก็ซื้อตามความหิว
หิวมากก็ซื้อมาก หิวน้อยก็ซื้อน้อย
แต่ว่า..เงินน้อย หิวมาก ซื้อมาก
คงต้องคิดก่อนกินล่ะ^^"
สำหรับนาเอง...ชอบนะ
เวลาข้าวมีราคาแพงขึ้นมากๆ...
เพราะว่าที่บ้านทำนาข้าว
แต่ไม่รู้ว่า...พอถึงฤดูเก็บเกี่ยว
มันจะยังตรึงราคาสูงๆไว้อยู่หรือเปล่านี่สิ :D
ขอบคุณมาก ๆ นะครับสำหรับข้อมูล
ตอบลบ