วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

ของขวัญ …ที่มอบให้กันได้ทุกวัน

"ของขวัญอันล้ำค่าเหล่านี้ ไม่ต้องรอมอบให้กันในช่วงเทศกาล
เราสามารถมอบให้ผู้อื่นได้ตลอดปี"

และเมื่อเรามอบของขวัญนี้แก่ผู้ใดแล้ว
ผลที่ได้รับ มีคุณค่ามากมายมหาศาล"

  • ของขวัญจาก “การฟัง”
จงตั้งใจฟังผู้อื่นให้มาก อย่าขัดจังหวะการพูด
หรือขัดคอคนอื่น พูดให้น้อย ฟังให้มาก
  • ของขวัญจาก “ภาษากาย “
อย่าอายที่จะแสดงความรักแก่ครอบครัว หรือเพื่อนของคุณ
การแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ที่บอกให้พวกเขารู้ถึงความสนิทสนม
ที่คุณมีให้ จับมือ โอบไหล่ สวมกอด หอมแก้ม ฯลฯ
  • ของขวัญจาก “ความเบิกบาน”
แบ่งปันเสียงหัวเราะ และความสนุกสนานให้คนรอบข้าง
มีเรื่องสนุก อย่าแอบหัวเราะคนเดียว
  • ของขวัญจาก “การเขียน”
กระดาษโน้ตที่เขียนด้วยลายมือของคุณเอง
เช่น ฉันรักคุณจังเลย ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ
จะสร้างความรู้สึกดีๆ ให้กับคนอ่านได้ไม่น้อย
  • ของขวัญจาก “คำชม”
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ไม่ว่าใครก็อยากจะได้รับคำชม
เช่น ผมทรงนี้ดูดีจัง กับข้าวอร่อยมากเลยนะ
  • ของขวัญจาก “ความมีน้ำใจ”
ความจริงพวกเราทุกคนล้วนมีน้ำใจ
สภาพสังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันอยู่ตลอด
ทำให้น้ำใจของหลายคนเกิดอาการหลับใน

การแบ่งปันให้กัน จะทำให้โลกเราน่าอยู่ขึ้น
  • ของขวัญจาก “เวลาส่วนตัว”
บางเวลาคนเราก็อาจอยากอยู่เงียบๆ ตามลำพัง
อย่าลืมเคารพสิทธิผู้อื่นด้วย
ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว เมื่อเขาต้องการ
  • ของขวัญจากการ “ให้กำลังใจ”
คนเรายามที่จิตใจท้อแท้
ก็เหมือนรถน้ำมันหมด

ช่วยเติมกำลังใจให้คนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส
ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวก็มีทางแก้

ยากกว่านี้ เธอยังทำได้เลย
สักวันรถคุณเองก็อาจจะขาดน้ำมันเหมือนกันก็ได้
  • ของขวัญจาก “มธุรสวาจา”
คำพูดดีๆ ทำให้เกิดความประทับใจต่อกันได้ดี
อย่าลืมคำพื้นฐานอย่าง ขอบคุณ ขอโทษ

คุณอยากฟังคำพูดดีๆ คนอื่นเขาก็เหมือนกัน
และที่สำคัญ มันเป็นของขวัญที่มา "จากใจ "
โดยไม่ต้องลงทุนสักแดงเดียว

ที่มา : จาก twitter @lSweetDay ค่ะ :D

"ของขวัญจากใจ...นานแค่ไหน..ยังคงตราตรึงในหัวใจ..มิเคยลืม"


วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

หนึ่งความคิด เร็วกี่วินาที

"เราเคยคิดไหมว่า “ความคิด” เร็วเท่าไหร่
มีคนพยายามจะวัดให้ได้ว่า ความคิดนั้นรวดเร็วเท่าไหร่

ซึ่งได้ตัวเลขมาย้อมใจว่าน่าจะ 300 มิลลิวินาที"

เคยตั้งคำถามไหมว่า ความคิดเราเร็วเท่าไหร่
อันนี้ไม่ใช่คิดเลขไว หรือ ตอบปัญหาได้เร็วนะคะ

ถามจริงๆ ว่า เราเคยคิดไหมว่า “ความคิด” เร็วเท่าไหร่
มีคนพยายามจะวัดให้ได้ว่า ความคิดนั้นรวดเร็วเท่าไหร่

ซึ่งได้ตัวเลขมาย้อมใจว่าความคิดของคนเรานั้น
น่าจะมีความเร็วประมาณ 300 มิลลิวินาที
(University of Arizona. "Speed Of
Thought' Guides Brain's Memory Consolidation.
จากเว็บไซต์ ScienceDaily 16 พ.ย. 2550)

หากเทียบกันเป็นภาษาทั่วไปแล้วน่าจะเรียกได้ว่า เสี้ยววินาที
อันที่จริงแล้วหากจะวัดความเร็วก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของความคิดกันก่อนว่า

หากเลือกมองความคิดของสัตว์ที่มีระบบนำประสาทซับซ้อน
และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคิด ซึ่งแตกต่างจากพืชที่มีชีวิต
แต่ไม่มีความคิด

ดังนั้นจึงขอจำแนกความคิดออกเป็นพวก ตามแนวทางคิดแบบหอยๆ ดังนี้
1. คิดโดยสัญชาตญาณ
ความคิดในระดับนี้เป็นความคิดขั้นซับซ้อนน้อยที่สุด
เป็นกระบวนการคิดที่ธรรมชาติมีให้เราเอาตัวรอดให้ได้
ในสถานการณ์เฉพาะหน้า มักเป็นการคิดที่ตรงไปตรงมา
เช่น จับกาน้ำร้อนชักมือออกทันที ไม่ต้องพิรี้พิไร
ชักดีไม่ชักออกดี พาลมือจะกุดเอา

ส่วนใหญ่มักทำให้เจ้าของความคิดเอาตัวรอดได้
แต่หลายคนก็ใช้บ่อยจนเกินงาม
ไปถึงระดับที่ “สิ้นคิด” เช่น ป้า! เหมือนเมื่อวานจานนึง


2. นึกคิด
ความคิดแบบนี้ต้องมีความจำ
หรือจดจำเข้ามาประกอบ ทางพุทธศาสนาเรียกว่า “สัญญา”
หมายถึง เกิดการรับรู้จากสัมผัสทั้งห้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เกิดเป็นการจดจำ เช่น จำคำศัพท์ เรียกสิ่งของของเด็กๆ จากเดิมที่เรียกของแต่ละชิ้นไม่ถูก
(สื่อออกไม่ได้) เมื่อถูกสอน ก็จะผูกภาพที่เห็นเข้ากับคำศัพท์ที่เรียน
เกิดเป็นความจำ หรือ จดจำขึ้นมาได้

ความคิดแบบนี้ใช้เวลามากขึ้น
เพราะต้องมีการประมวลผล หรือเทียบเคียง
แล้วถึงแสดงกริยาออกมา เช่น เด็กเห็นสิ่งของ ก็เอ่ยชื่อสิ่งของนั้นออกมา

ที่น่าสนใจในความคิดแบบนึกคิดนี้ก็คือ
บางครั้งบางจังหวะกลายเป็น คิดเรื้อรัง หรือ

เรียกให้หวานแหววว่า “คิดถึง”

เช่น ภาพของสาวคนรัก ก็วนเวียนคิดซ้ำไปซ้ำมา
สาวเจ้าไม่ได้อยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ยังมีภาพเธออยู่ในใจ
จากหญิงสาว ก็เริ่มกลายเป็นเจ้าหญิง

อีกด้านหนึ่งก็คิดเรื้อรังเหมือนกัน แต่เป็น “คิดแค้น”
เป็นความคิดที่เจ็บปวดไม่เป็นสุข ทั้งที่เรื่องราวต้นเหตุผ่านไป

ภาพร้ายๆ ก็ยังวนเวียนอยู่ไปมา
อันที่จริงความคิดเรื้อรังแบบนี้เหตุมาจากเรื่องเดียวกัน
คือ ไปกระทบกับจิต เกิดเป็นอารมณ์
หรือ ทางพุทธศาสนา เรียกว่า เกิดสังขาร ขึ้น
จากความคิดที่ไม่เป็นตัว ก็เริ่มเป็นตัวให้ยึดมั่นถือมัน
พาลกลายเป็นทุกข์ไป ซึ่งหากปลดทุกข์ไม่สำเร็จ ก็จะเกิดทุกข์เรื้อรัง
จาก การนึกคิด ที่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องนี่เอง

3. คิดไม่ออก
เอ..อันนี้จะเกี่ยวกับคิดเร็วคิดช้าไหมเนี่ย
คิดไม่ออกนี่ความเร็วของความคิดไม่ได้ลดลงแต่มันจะเริ่มวนไปวนมา

เพราะหาคำตอบไม่เจอ ก็พาลจะคิดวนไปวนมา
วนไปวนมา วนไปวนมา
ส่วนมากมักหาทางออกเจอจากการไปดูความคิดของคนอื่น

เช่น คำตอบทางวิชาการ ก็ไปค้นจากกูเกิ้ล
หรือหนังสือ ไม่งั้นก็ยอมแพ้ให้เขาเฉลย
หรือบอกมาว่าคำตอบคืออะไร

แต่บางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวที่คนอื่นมักมองว่าเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง
จะคิดไปทำซากอะไร ก็มักจะไม่สามารถได้รับคำตอบจากคนอื่นได้

อย่างเก่งก็รับฟัง เมื่อคิดวนไปมาไม่มีคำตอบ
ก็พาลจะนอนไม่หลับ ผุดลุกผุดนั่ง คิดซ้ำคิดซาก

พวกคิดไม่ออกนี้ ก็จะอ่อนเพลีย ละเหี่ยใจ
หงุดหงิด พาลกับคนข้างเคียง

เรื่องราวต่างๆ ก็เลยเลวร้ายลงไปอีก
จากคิดไม่ออก ก็กลายเป็นคิดไม่ตก
รุมเร้านักคิดทั้งหลายต่อไป

คิดเร็ว หรือ คิดช้า ในเชิงผลลัพธ์คงไม่แตกต่างกัน
เพราะขั้นตอนการทำงานของสมองในการปฏิบัติการคิดนั้น
ใช้เวลาไม่นาน แต่การคิดเพื่อให้เกิดการกระทำ

หรือเรียกว่า การตัดสินใจนั้นต่างหากที่ความเร็วช้า มีผลต่อผลลัพธ์
การฝึกฝนให้รู้ทันความคิด เป็นสิ่งที่ยากแต่หากทำได้

ก็จะทำให้ความคิดที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ก้าวผ่านไปสู่ความคิดแบบสัญชาตญาณ
ความคิดที่กระทบอารมณ์พาลไปยึดติดเป็นสังขาร
หรือ วนไปวนมา จนเป็นคิดเหนือเมฆ ที่คิดไม่ตกสักที

แหล่งที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

รู้ใช้เพิ่มค่า ขาด-ชำรุดอย่าทิ้ง

"ได้ชื่อว่าธนบัตรไม่ว่าจะเป็นธนบัตรใหม่
ธนบัตรเก่า ขาด ชำรุดอย่างไรยังคงมีค่า"

แต่หากให้ดีการรู้ใช้รักษาธนบัตรอยู่ในสภาพสมบูรณ์

นอกจากช่วยประหยัดงบประมาณการผลิตธนบัตร

แล้วยังสร้างความน่าเชื่อถือ น่าใช้จ่าย
หรือไม่ก็อยากเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์นาน ๆ
5 วิธีใช้ธนบัตร...ยืดอายุใช้งาน

ธนบัตรแม้จะผลิตจากกระดาษชนิดพิเศษที่ทนทานต่อการใช้งาน
แต่จากสภาพอากาศร้อนชื้น ของประเทศไทย
ประกอบกับความเคยชินในการใช้ธนบัตรของประชาชน
ส่งผลให้ธนบัตรเสื่อมสภาพ เร็วกว่าที่ควรจะเป็น
ในการถนอมรักษา ยืดอายุการใช้งานธนบัตรให้ยาวนาน
จากเว็บไซต์ www.bot.or.th ธนาคารแห่งประเทศไทย
เผยแพร่ความรู้การใช้ การเก็บรักษาธนบัตรที่ถูกต้อง 5 วิธี
ได้แก่
1. เก็บธนบัตรในลักษณะเหยียดตรง หลีกเลี่ยงการพับ กรีดจนเป็นรอย
2. หลีกเลี่ยงการขีดเขียน ประทับตราลงบนธนบัตร
เพราะจะทำให้ธนบัตรเปื้อนไม่เหมาะกับการใช้งาน
3. หลีกเลี่ยงการเย็บธนบัตรด้วยลวดเย็บกระดาษ
เพราะทำให้ธนบัตรชำรุดฉีกขาดง่ายขึ้น
4. หลีกเลี่ยงการนำธนบัตรไปใช้ในงานประดิษฐ์ เคลือบพลาสติก
5. เก็บธนบัตรห่างจากความเปียกชื้น ความร้อนและสารเคมี

แหล่งที่มา : เดลินิวส์
ปล. คนเรา..เหมือนธนบัตรก็ดีเนอะ..เก่า แก่ขนาดไหนก็ซ่อมได้
แต่คนซ่อมได้...สมรรถภาพการใช้งานมันยังดีเหมือนธนบัตรนี่ก็ดีสินะ 55..5

ควันหลงเด็กเก่ง

คอลัมน์ กระแสทรรศน์สพฐ. / โดย ทรงวุฒิ มลิวัลย์
ก่อนอื่นต้องบอกว่าน่าเสียดายสำหรับท่านที่พลาดโอกาส
ไม่ได้มาเที่ยวชมงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ระดับชาติ "เก่งสร้างชาติ"
ซึ่งจัดขึ้นที่ ฮอลล์ 9 อิมแพค เมืองทองธานี
เมื่อวันที่ 23-25 เมษายน 2552
สิ่งที่ต้องบอกว่าน่าเสียดายเพราะว่าเป็นการแข่งขันความสามารถ
ของนักเรียนทุกช่วงชั้น ตั้งแต่ ป.1-ม.6
ที่ผู้เข้าร่วมแข่งขันล้วนผ่านการคัดเลือกมาจากระดับภาคทั้งสิ้น
ตรงตามสโลแกนการจัดงานที่ว่า
เรียนสร้างไทย เก่งสร้างชาติ ราษฎร์ดำรง ทรนงในศรีศักดิ์
นักเรียนไทยจากเวทีประชัน 10 เวที
ทั้งประชันการงานอาชีพ ประชันเทคโนโลยี ประชันวิทยาศาสตร์
ประชันคณิตศาสตร์ ประชันอัจฉริยภาพภาษาไทย
ประชันสรรพศิลป์ ประชันดาวจรัสแสง ประชันภาษาโลก
ประชันสื่อคุณธรรม ประชันสร้างสุข
ผลการแข่งขันแต่ละประเภทตัดสินกันด้วยความยากลำบาก
แทบว่าต้องตัดสินกันด้วยภาพถ่ายเลยทีเดียว
ทั้งๆ ที่คณะกรรมการแต่ละท่านล้วนแต่เป็นศิลปินแห่งชาติ
และผู้มีความรู้เฉพาะทางทั้งสิ้น
หากเอ่ยชื่อตรงนี้เกรงว่าจะไม่ครบทุกท่าน
จึงต้องขออภัยไว้ด้วยสิ่งที่น่าประหลาดคือ
หลังจากทราบผลการตัดสิน ได้เห็นน้ำตานักเรียนจำนวนมาก
หากแต่เป็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มใจ
เพราะจากการสอบถามความรู้สึกจึงรู้ว่าเป็นการแข่งขันที่กดดันผู้เข้าร่วมแข่งขันทุกคน
เพราะต่างก็เป็นศิษย์มีครู ความสามารถแต่ละคน
นักเรียนจะรู้กันเองว่าทุกคนสามารถเป็นผู้ชนะได้ทั้งหมด
เมื่อทราบผลการตัดสินจึงเป็นการปลื้มปีติของทั้งศิษย์และครู
น่าจะเทียบเคียงคำพูดของ สมจิตร จงจอหอ
ที่ว่า
ผมเหนื่อยมาเยอะ ....ได้เลยทีเดียว
เวทีประชันที่สนุกสนานและครึกครื้นที่สุดเห็นจะเป็นเวทีประชันดาวจรัสแสงของการศึกษาพิเศษ
เพราะทุกคนที่เข้าร่วมชมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทำได้อย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง การแข่งขันลีลาศ จากนักเรียนที่พิการทางการได้ยิน
แต่ทำได้ไม่แพ้นักเรียนปกติเสียงเชียร์เพื่อเอาใจช่วย
จึงดังระงมไปทั้งเวที ทำให้การแข่งขันมีสีสันเพิ่มมากขึ้นที่อดจะน่าเสียดายไม่ได้อีกอย่างหนึ่ง
คือ การนำเอาความสุดยอดการเรียนการสอนศิลปหัตกรรม
และการงานอาชีพที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนกว่า 200 ร้านเรียนรู้
ที่มีทั้ง น่าชิม น่าชม น่าใช้ ในราคาที่ย่อมเยา ผลงานจากทุกร้านเรียกได้ว่า
เป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้มาก่อน (Unseen)
แทบทั้งสิ้น ที่เป็นอาหารก็อร่อยสุดสุด ที่เป็นงานศิลป์งานประดิษฐ์ก็สุดยอดฝีมือ
อลังการจริงๆจากผลงานและความสามารถในทุกๆ ด้านของนักเรียน
หากคุณครูปลูกฝังต่อเติมคุณธรรมจริยธรรมให้กับนักเรียนได้ในวันนี้
เชื่อว่าในวันหน้าชาติไทยจะไม่วิกฤต เช่นในปัจจุบันแน่นอน
แหล่งที่มา : มติชนหน้า 22

’ก๊าซในทางเดินอาหาร’ สัญญาณเตือนโรคร้าย!!

ถือเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนต้อง “เรอ-ผายลม”
แต่คงไม่พึงประสงค์นักหากผิดที่ผิดทาง

สิ่งเหล่านี้เกิดจากการมีก๊าซในทางเดินอาหาร
ซึ่งร่างกายต้องขับออกมาอยู่เป็นประจำ
แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้เกิดการจุกเสียดแน่นท้อง
รวมทั้งอาการอื่น ๆ ตามมา



ยิ่งในภาวะปัจจุบันสังคมขับเคลื่อนให้คนทำงานแข่งกับเวลามากขึ้น
จำต้องรับประทานอาหารจานด่วนเกือบทุกวันเพื่อย่นระยะเวลาการไปถึงที่ทำงานให้เร็วขึ้น
หรือบางคนรีบร้อนจนไม่ทันเคี้ยวอาหารให้ละเอียด
เมื่อวงจรชีวิตเร็วขึ้น ๆ ขณะ ที่ระบบของร่างกายยังทำงานในจังหวะจะโคนดังเดิม
โรคต่าง ๆ ก็ตามมา

โรคก๊าซในทางเดินอาหาร หลายคนอาจไม่ให้ความสนใจนัก
เพราะไม่มีผลร้ายแรงต่อร่างกาย แต่อาจบ่งชี้ว่า
คุณกำลังประสบกับภาวะโรคร้าย อยู่ !!

นพ.สว่างพงษ์ พูลทรัพย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุร ศาสตร์โรคทางเดินอาหารและตับ
ศูนย์การแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ แนะนำว่า

ก๊าซในทางเดินอาหารนับวันยิ่งเป็นปัญหาทำให้มีผู้ที่ทนทุกข์ทรมานจากอาการเหล่านี้มากขึ้น
อาจเนื่องจากระบบการใช้ชีวิตของมนุษย์มีความรวดเร็วขึ้น
ส่งผลให้บริโภคอาหารที่ก่อให้เกิดก๊าซมากขึ้น ไปด้วย



ก๊าซในทางเดินอาหารเกิดจาก ปัจจัยแรกคือ กลืนอากาศเข้าไป
ส่วนใหญ่เป็นก๊าซไนโตรเจนและก๊าซออกซิเจน

คนส่วนใหญ่มักนึกไม่ถึงว่าโดยปกติเราจะกลืนก๊าซทุก ๆ ครั้ง
ที่กลืนน้ำหรืออาหารเฉลี่ยประมาณ 2.6 ลิตรต่อน้ำ 1.5 ลิตรต่อวัน

และอาจมากกว่านี้ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติซึ่งกลืนก๊าซโดย ไม่รู้ตัว
โดยก๊าซที่กลืนมักถูกขับออกด้วยการเรอและส่วนน้อยถูกขับออกด้วยการผายลมอย่างน้อยประมาณ 0.5 ลิตรต่อวัน

ปัจจัยที่สอง เกิดจากการสร้างก๊าซขึ้นมาของร่างกายส่วนใหญ่
โดยแบคทีเรียใน ลำไส้ใหญ่จะย่อยอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล

ที่ ย่อยยากบางชนิด และจากปฏิ กิริยาของสารในร่างกาย
กลุ่มนี้จะเป็นประเภท ก๊าซไฮโดรเจน, คาร์บอนไดออกไซด์, มีเทน

ตลอดจนก๊าซอย่างอื่นอีกเล็กน้อยอันจะทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์

“คนเราผายลมเฉลี่ย 10-20 ครั้งต่อวัน
ในปริมาณก๊าซที่ถูกขับออกมาถึง 0.5- 1.5 ลิตรต่อวัน
โดยไม่ขึ้นอยู่กับอายุหรือเพศ”

คนไข้มักมีอาการแน่นท้อง ท้องอืด เรอบ่อย ผายลมบ่อยกว่าปกติ
หรือเห็นผิดปกติ โดยอาการเหล่านี้ผู้ป่วยเองรับรู้ว่าเกิดก๊าซในทางเดินอาหารมากกว่าปกติ

ขณะเดียวกัน แพทย์ตั้งข้อสังเกตว่า หากมีอาการเหล่านี้บ่อย ๆ หรือนาน ๆ
บ่งชี้ได้ถึงคนไข้อาจเป็นโรคร้ายแรงอยู่เดิมแล้ว

อันจะกระตุ้น ให้เกิดก๊าซในทางเดินอาหารมากกว่าปกติ
เช่น โรคลำไส้แปรปรวน โรคกรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร
มะเร็งในทางเดินอาหาร ฯลฯ

ดังนั้นควรให้ความสำคัญโดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมาก
ตลอดจนคนที่ป่วยมานานและทวีความรุนแรงมากขึ้น

การรับประทานอาหารบางประเภทเป็นอีกปัจจัยกระตุ้นให้เกิดก๊าซในทางเดินอาหาร
ดังนั้นผู้ป่วยควรเลี่ยงอาหารประเภทนม ไอศกรีม เนย โยเกิร์ต น้ำอัดลม น้ำผึ้ง หรือของขบเคี้ยว

เช่น ถั่วต้ม ถั่วเหลือง ลูกอม หมากฝรั่ง ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด
มันฝรั่ง เมล็ดพืชอบแห้ง ตลอดจนกะหล่ำปลี บรอกโคลี เป็นต้น

ผู้มีภาวะเสี่ยงโรคนี้ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด
หลีกเลี่ยงการพูดคุยในระหว่างกินอาหาร

เพื่อไม่ให้อากาศเข้าสู่ทางเดินอาหารมากเกินไป
และไม่ควรนอนหรือเอนตัวหลังรับประทานอาหาร

ควรออกกำลังกายอยู่เสมอเพื่อช่วยให้ลำไส้ ทำงานได้ดีขึ้น
ส่วนการรักษาด้วยยาบางชนิดจะออกฤทธิ์โดยกระตุ้น

การบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนบน
ซึ่งต้องระวังผลข้างเคียงในกรณีที่ใช้ยาติดต่อกันนาน
ดังนั้นคนไข้ไม่ควรบริโภคอาหารที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง

อย่างไรก็ตามอาการดังกล่าวอาจมาจากสาเหตุอื่น
เช่น ผู้ป่วยที่มีอายุมาก มีอาการมานานหรือแย่ลง

รวมทั้งมีอาการเตือน เช่น โลหิตจาง น้ำหนักลดผิดปกติ

ควรปรึกษาแพทย์ทันที เมื่อรู้เช่นนี้แล้วการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ
และการใช้ชีวิตประจำวันจึงควรเอา ใจใส่

เพื่อจะได้ห่างไกลจากโรคร้าย มีชีวิตอยู่กับคนที่เรารักไปนาน ๆ

แหล่งที่มา : เดลินิวส์
---------------------------------------------
ปล. วันก่อนๆเจอในรายการทีวี ช่องไหนจำไม่ได้ค่ะ
เค้าบอกว่าคนเรา...99% จากการตดของคนเรา จะไม่มีกลิ่น
มีเพียง 1 % ที่เป็นก๊าซมีกลิ่นเหม็น

เพราะงั้นไม่ต้องสงสัยเลยค่ะว่า
ทำไมบางคนตด..แล้วเราไม่ได้กลิ่น
แน่นอนค่ะ...ดัง(จมูก)ของคนนั้นพิการ 100%
(สูญเสียการได้กลิ่น..เพราะงั้นใครตด..ก็ต้องมีกลิ่น
ไม่มีข้อยกเว้นแม้กระทั่งตดตนเองค่ะ)

55...5

:)

เลี่ยงอาหาร 7 อย่าง ยามท้องว่าง

"หากใครเคยหิว..จนมือไม้สั่น
ไม่มีแรงพอที่จะออกไปซื้ออาหารมารับประทาน
เหมือนทุกครั้ง หรือหาอาหารอะไรก็ได้ใส่ท้อง
เพียงแค่ปรทังชีวิต...

โดยที่ไม่คำนึงถึงสุขภาพเท่าที่ควรนั้น
..ในวันนี้ต้องเพิ่มความระมัดระวัง
และเอาใจใส่ในเรื่องอาหารการกินมากขึ้นแล้ว

เพราะอาหารบางประเภทไม่เหมาะที่จะรับประทาน
ในช่วงท้องว่าง ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น..

ลองมาดูกัน"



  • นมและถั่วเหลือง
เมนูยอดนิยมสำหรับใครหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นเพราะความสะดวกในการรับประทานหรือประหยัดเวลา นมมักเป็นคำตอบแรกเวลาหิว แต่แม้จะอุดมด้วยโปรตีนและเชื่อว่าการดื่มนมเยอะๆ จะมีประโยชน์นั้น แท้ที่จริงแล้วการดื่มนมและถั่วหลืองเช่นน้ำเต้าหู้จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่ ดังนั้น การเลือกรับประทานนมตอนท้องว่างจะทำให้ท้องอืดได้
  • น้ำตาลหรืออาหารหวาน
การที่คนเราเสียพลังงานไปเยอะนั้น จริงอยู่ว่าร่างกายต้องได้รับการเสริมสร้างจากเกลือแร่และน้ำตาลเมื่อเรารู้สึกอ่อนเพลีย แต่ทว่าหากท้องว่างแล้วนั้น การเลือกดื่มน้ำหวาน หรือของหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ซึ่งส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไตได้
  • ผัก
บางคนอาจคิดว่าการทานผักเยอะๆ แทนข้าว โดยเฉพาะนาทีที่ต้องการลดควมอ้วนนั้น เป็นความคิดที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนแล้ว การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่างจะทำให้ท้องอืด
  • กล้วย
คนส่วนใหญ่มักเชื่อกันว่า การทานกล้วยเยอะๆ จะทำให้ระบบขับถ่ายดี แต่มักลืมกันไปว่าหากทานกล้วยในช่วงเวลาตอนท้องว่างแล้ว นอกจากจะทำให้ท้องอืด ยังจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมซึ่งเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ อันเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก
  • ชาแก่
ตื่นเช้าแล้วจิบน้ำชาสักแก้ว ดูแล้วเข้าท่าและน่าจะดี แต่หารู้ไม่ว่าการจิบชาร้อนโดยเฉพาะชาแก่ช่วงท้องว่างนั้น จะทำให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง

ลูกพลับ
เป็นอีกหนึ่งชนิดต้องห้ามยามท้องว่าง เพราลูกพลับจะเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
  • เหล้า กระเทียม
เป็นสิ่งสุดท้ายที่ไม่ควรรับประทานในขณะท้องว่าง เพราะทั้งสองสิ่งนี้จะมีส่วนเพิ่งแรงกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

อย่างไรก็ตาม ขณะท้องว่างนั้นเราไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิดอาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำมาก และเมื่อตื่นเช้าขึ้นมาเราควรดื่มน้ำอุ่นๆ สัก 1-2 แก้ว เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ อีกทั้งยังช่วยปรับระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นอีกด้วย

ที่มาข้อมูล : ASTVผู้จัดการออนไลน์
ที่มาเว็บ : http://www.myfirstbrain.com

รู้จัก “ไวรัสไข้หวัดหมู” มฤตยูสายพันธุ์ล่าสุด!

ภายหลังข่าวที่มีรายงานการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่และปอดบวมในประเทศเม็กซิโก
ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2552 และทวีความรุนแรงมากขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา
จนมีผู้ป่วยรวม 854 ราย เสียชีวิตไปแล้ว 59 ราย


ซึ่งจากการเก็บตัวอย่างผู้ป่วยรวม 50 ราย
ส่งตรวจพบว่า 17 ราย เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ สายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1 (H1N1)

ที่ต้องตกตะลึง คือ เชื้อมฤตยูนี้เป็นไข้หวัดสายพันธุ์ของคน
โดยมีสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ในหมูผสมอยู่ด้วย

แน่นอนว่า รายงานชิ้นดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชนทั้งโลก
วันนี้จึงควรมาทำความรู้จักกับเจ้าเชื้อ “ไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ H1N1”
หรือ “เชื้อไวรัสไข้หวัดหมู” กัน...



** รู้จักหวัดหมูพันธุ์ใหม่

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ให้รายละเอียดว่า

ไข้หวัดใหญ่ที่พบในคนตามฤดูกาลส่วนมากจะเป็น สายพันธุ์ H1N1
และ H3N2 ซึ่งมีการกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป

จึงทำให้ต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์
วัคซีนที่ใช้ในการป้องกันทุกปี และต้องมีการฉีดวัคซีนประจำปีที่มีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับเชื้อไวรัส
ที่จะมีการระบาด ก็จะสามารถป้องกันโรคได้

อย่างเชื้อไวรัสไข้หวัดนก ก็จัดเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิด A
ซึ่งระบาดอยู่ในสัตว์ปีก และสามารถติดเชื้อข้ามสายพันธุ์มายังมนุษย์ได้

แต่ไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 เป็นสายพันธุ์รุนแรงที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ
สำหรับเชื้อไวรัสไข้หวัดหมูนั้น ก็เป็นไข้หวัดใหญ่ชนิด A

เช่นกัน พบได้ทั้งในหมูเลี้ยง และหมูป่า
ในปัจจุบันที่พบบ่อยรวมทั้งในประเทศไทย จะเป็นสายพันธุ์ H1N1, H1N2 และ H3N2

ซึ่งลักษณะสายพันธุ์ไม่คล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ ในมนุษย์
มีรายงานน้อยมากที่จะข้ามมายังมนุษย์

“ในส่วนการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดหมู ที่พบในประเทศเม็กซิโก
และอเมริกานั้น เป็นสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนในมนุษย์

เป็นสายพันธุ์ที่มีชิ้นส่วนของพันธุกรรมเกิดจากการผสมผสานของไข้หวัดหมู
ที่เคยมีรายงานในอเมริกา หรือ ยุโรป และเอเชีย

รวมทั้งชิ้นส่วนพันธุกรรมของไข้หวัดที่เคยรายงานไว้ในอเมริกาเหนือ
จึงถือได้ว่าเป็น “ไวรัสสายพันธุ์ใหม่” และเมื่อดูองค์ประกอบเปรียบเทียบกับวัคซีน H1N1
ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีความคล้ายคลึงกันไม่ถึง 80%

...บ่งชี้ให้เห็นว่า การป้องกันด้วยวัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันก็ไม่น่าจะได้ผล
อย่างไรก็ตาม ไวรัสดังกล่าวยังคงตอบสนองต่อยาต้านไวรัส ได้แก่ Oseltamivir (Tamiflu)
และ Zanamivir แต่สามารถดื้อต่อ ยา Amantadine ได้เช่นกัน” ศ.นพ.ยง ขยายความ

** การแพร่เชื้อ อาการ

กับคำถามที่ว่าการแพร่เชื้อนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
แล้วหากกินหมูจะติดโรคหรือไม่นั้น นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า

เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้ มีการแพร่ติดต่อเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคนโดยทั่วไป
คือเชื้อนั้นจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอ หรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด

หรือติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา
แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าผู้บริโภคทั้งหลายหายกังวลได้เปลาะหนึ่ง คือ
เชื้อนี้ไม่ติดต่อจากการรับประทานเนื้อหมู!!!

สำหรับอาการที่เกิดขึ้นนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ
มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ไอ มีน้ำมูก

นอกจากนี้ในบุคคลที่ร่างกายอ่อนแอ เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ
หากติดเชื้อจะทำให้มีอาการที่รุนแรงขึ้นได้

ดังนั้น ผู้ที่มีอาการคล้ายจะเป็นหวัด มีไข้สูง ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ
ควรพบแพทย์ทำการวินิจฉัย รักษา และควบคุมโรคต่อไป

“หากป่วยและมีอาการ ควรสวมหน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน
หรือสถานที่แออัด ประชาชนทั่วไปควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผัก ผลไม้
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
งดสูบบุหรี่ งดดื่มเหล้า ล้างมือบ่อยๆ” นพ.ปราชญ์ เสริม



** เตรียมพร้อมรับมือโรคพันธุ์ใหม่

ด้านการเตรียมการ ป้องกันเฝ้าระวังโรคนั้น ได้รับคำยืนยันจาก นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.กระทรวงสาธารณสุข
ไปแล้วว่า ในไทยยังไม่พบเชื้อไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาดอยู่ในประเทศเม็กซิโก

แต่ทั้งนี้ก็ได้สั่งการให้สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
เพื่อเร่งรัดการเฝ้าระวังโรค รวมทั้งเตรียมความพร้อมรับมือ ทั้งด้านการตรวจวินิจฉัย

การดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วย การเตรียมเครื่องมือและเวชภัณฑ์ ตลอดจนการเดินทางระหว่างประเทศ
โดยประสานงานกับองค์การอนามัยโลกและศูนย์ป้องกันควบคุมโรคแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา อย่างใกล้ชิดด้วย


นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ในฐานะประธานศูนย์ปฎิบัติ การควบคุมโรคอุบัติใหม่กระทรวงสาธารณสุข กล่าวย้ำด้วยว่า

ได้จัดเตรียมความพร้อมระบบเฝ้าระวังป้องกันของไทยขั้นสูงสุด
เพื่อสร้างความมั่นใจแก่คนไทย จะไม่ป่วยจากโรคดังกล่าว

ซึ่ง “ขณะนี้โรคนี้ยังไม่มีการระบาดสู่ไทย” แต่ถึงอย่างไรก็ต้องติดตามและประเมินสถานการณ์โรคนี้อย่างใกล้ชิด
ทั้งการป้องกันเฝ้าระวัง ทุกจุดผ่านแดน และความพร้อมของสถานบริการเพื่อการรักษา

** ด่านสกัดตั้งแต่ประตูสู่ประเทศ

นพ.มล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า
จากการประชุมร่วมกับผู้แทนองค์การอนามัยโลก เมื่อคืนวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา

องค์การอนามัยโลก ยังไม่ได้ประกาศให้การระบาดของโรคดังกล่าวเป็นภาวะฉุกเฉินระดับ 4
ซึ่งหมายถึงการระบาดใหญ่

แต่ยังเป็นแค่ระดับ 3 คือ ให้เน้นเรื่องของการเฝ้าระวังและควบคุมการระบาดในแต่ละพื้นที่เท่านั้น

ในส่วนของประเทศไทยได้สั่งการให้ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ
เตรียมพร้อมในการติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิ “เทอร์โมสแกนเนอร์”

บริเวณท่าอากาศยานนานาชาติโดยเฉพาะที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ใ
นจุดที่มีเครื่องบิน หรือผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดคือเม็กซิโก

และบางส่วนของสหรัฐอเมริกา พร้อมแจกเอกสารคำเตือนด้านสาธารณสุข (Health Card)
แก่ผู้ที่จะเดินทางเข้าและออกนอกประเทศ

ในส่วนของคนไทยได้เตือนให้งดการเดินทางไปประเทศเม็กซิโก
และบางรัฐของสหรัฐอเมริกา เช่น แคลิฟอร์เนีย เทกซัส ที่มีการระบาดของโรคในขณะนี้

รวมทั้งให้เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขขึ้นที่กรมควบคุมโรค
และหากมีความจำเป็นอาจจะต้องเปิดศูนย์ปฏิบัติการในระดับกระทรวง

เพื่อเป็นวอร์รูมในการติดตาสถานการณ์และเฝ้าระวังการระบาดของโรคอย่างใกล้ชิดต่อไป

** กินหมูได้ไม่ติดโรค!!

“ข่าวการระบาดของโรคนี้ อาจทำให้ประชาชนไทยเกิดความวิตก
กลัวติดเชื้อ และไม่กล้ากินเนื้อหมู

จึงขอให้ข้อมูลว่า โรคระบาดดังกล่าวไม่ใช่โรคที่ติดจากการรับประทานหมู
แต่เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่มีสารพันธุกรรมของหมูและคนผสมกัน

เป็นการกลายพันธุ์ของเชื้อในตัวคน ติดต่อจากคนสู่คนไม่ใช่จากหมูมาสู่คน
ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกให้คำแนะนำว่า

ให้เฝ้าระวังผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่และปอดบวมอย่างใกล้ชิด”อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว

ทั้งนี้ นพ.มล.สมชาย บอกย้ำความมั่นใจด้วยว่า
กรมควบคุมโรคได้จัดเตรียมยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่สามารถรักษาโรคนี้ได้
ซึ่งมีเพียงพออยู่แล้ว ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีรายงานผู้เสียชีวิตในประเทศเม็กซิโก

แต่เชื้อนี้มียาต้านไวรัสที่รักษาได้ นอกจากนี้ ไทยยังมีระบบที่ใช้ตลอดปี
คือ การเฝ้าระวังผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวมเพื่อคัดกรองหาโรคไข้หวัดนก

ซึ่งปกติไข้หวัดใหญ่ในคนจะพบเชื้อ H3N2 มากกว่า H1N1 อยู่แล้ว
การเฝ้าระวังจึงสามารถเพิ่มเติมรองรับใช้กับโรคไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้ได้

แหล่งที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552

หลอก..หมาน้อย~

" แดดส่องทางพู้น....นนนน
มันก็ฮ้อน..ถึงคนอยู่ทางพี้...

ยังคง..อยากได้ยิ๋น..ทุกเฮื้องลาว..ววว"

ฮิฮิ :)

ปกติไม่เคยเขียนให้คนอ่านหลายคนนะ
วันนี้ทำเพื่อจิต-ใจ-ดี นะเนี๊ยะ 55..5

(ไม่ได้เลียนแบบใครนา...แค่ล้อเลียนพี่เบิร์ดเสยๆ) :P

หวัดดีค่ะ...สบายดีนะคะทุกๆคน
หลังจากหยุดยาวไปนาน...(สงกรานต์)

ทางอุดรฯ(พี่สีตะวัน) ทางเชียงใหม่(คุณรินดา)
ทางบอสตัน(คุณอุ๊คุณภาส) เย็นฉ่ำๆนะคะ :D



สำหรับดิฉันสบายดี..ยิ่งกว่าสบายค่ะอิอิ -__-"
เพราะว่าวันนี้ได้พักผ่อนอย่างเป็นทางการแย้ววววววว...
ภาวนาแค่ว่า....อย่ามีงานด่วนเข้ามานะคะ :)

-------------------------------------------

นับจากวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552
เวลา 4 ทุ่มกว่าๆ

"เหมย" หมาอันเป็นสุดที่ฮัก
แต่นานๆจะให้ข้าวมันที

เพราะหน้าที่นี้แม่ทำ..เรามีหน้าที่หยอก อิอิ :P

"เหมย"
คลอดลูกครั้งแรกค่ะ

คลอด 8 ตัว(เพศผู้ 4 เพศเมีย 4)
รอด 4 ตัว(เพศผู้ 2 เพศเมีย 2)

ส่วนอีก 4 ตัว หายใจไม่ทัน...
หรือว่า..ทำความดีมาน้อย
หรือว่า..ยังไม่ถึงเวลาเกิด..
หรือว่า..อะไรก็ตามแต่..
อั้ยหมาน้อย 4 ตัว ก็ถือว่าโชคร้ายล่ะกัน -_-"


มันได้ตายจากโลกนี้ไปอย่างเงียบๆค่ะ

เอาล่ะ...ในความคิดฉันตอนนั้น
แทนที่จะดีใจ..กะอั้ย "เหมย"

นี่เลยค่ะ...ใช้ความน่าจะเป็นที่เคยเรียนมา
จัดหมวดหมู่จำนวนลูกหมาทันที...
(ก็ 28 ต่อ 1 มีนาคมนี่คะ นึกว่ามันจะให้โชคทางนี้) T_T"

ตีเป็น...ตัวเลขนำโชค
เพราะว่า..เคยได้ยินคนบอกว่า
หมาลูกแรก..จะนำโชค
(ก็โชคค่ะ..แต่มันไม่ใช่โชคทางตัวเลขอ่ะ)

คำเตือน:: อ่านถึงตรงนี้..อยากบอกว่า
อย่า...งมงาย อย่าใช้ความน่าจะเป็นแบบอิฉันนะคะ
อิอิ :P

หลังจากวันที่ 1 มีนาคม 2552
ฉันก็..ยังไม่ได้เจอหน้าหมาน้อย
ลูกๆของอั้ย "เหมย" เลยค่ะ

หน้าตามันจะเป็นยังไง..
เหมือนใคร...อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ
เพราะว่า.."เหมย"
มันมีแฟนหลายตัว :P

พ่อ+น้องชาย+ เรา ...เชียร์อั้ย "ป๋อง" (ตัวที่มันตายเพราะติดสาวน่ะค่ะ)
เพราะ "ป๋อง" นิสัยดี ตลกๆ

แต่ "เหมย" มันไม่ชอบ
มันนอกใจป๋อง...ไปชอบหมาไทบ้าน
ที่เป็นหมาบ้านนอกๆๆ น่ะค่ะ
(หมาบ้านนอก...หล่อ แกร่ง เท่ นะจะบอกให้)

ลูกออกมาก็คงหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

อ้อ...จาก 4 ตัวที่เหลือ
มีคนขอไปเลี้ยง..ค่ะ

เหลือ 2 ตัว

แม่บอกว่า..หมาลูกแรก..ไม่อยากให้ฉันเลี้ยง
จริงๆฉันก็ไม่ค่อยจะได้เลี้ยงทุกตัวล่ะ
เพราะชอบหยอกเล่นอย่างเดียว.. :D

และแล้ววันนี้..
ดิฉันก็เดินทางไปทุ่งนา
เพื่อไปพบปะชีวิตแบบบ้านนอก
แบบลูกทุ่งๆ

ไปถึงนา..ก็เจออั้ยตัวนี้ล่ะ
มันไม่สนใจฉันเลย

นั่งหันข้าง..ไม่ทัก..ไม่ทาย
(แอบคิดในใจ..เดี๋ยวเต๊ะสักป๊าบเลยอั้ยหมานี่ อิอิ)



ฉันเลยนำเทคนิคโจรมาใช้ค่ะ
เวลาเจอหมาเฝ้าบ้าน(เฝ้านา)เฉยเมย
ให้เอาอะไรก็ได้ทึ่คิดว่ามันชอบล่ะ..มาล่อ

ถ้าในทีวี..คงเป็นกระดูก
แต่บังเอิญฉัน..ยังวัยรุ่นซิงๆอยู่
พกเส้นค่ะ..

นี่เลย..ติดใจไม่พอ
ติดปากเลยค่ะ :D



หร่อย..มั้ยน้อง
วันหลังเดี๋ยวพี่เอามาล่อใหม่นะจ๊ะ ^^"

และไม่นาน...นนนน
อั้ยตัวนี้...ก็วิ่งมาแบบงงในจิต..ค่ะ



มองอะไรอั้ยหมาน้อย..
สงสัยถามมาเลยดีกว่า..
นี่แหล่ะ..นายของแก

รีบยกขาหน้าไหว้เลย...




อ่ะน่ะ..บอกแล้วเสยค่ะ



มันไม่ตอบฉันค่ะ
มันเดินไปหาแม่ของมัน
แต่มองหน้าฉันค่ะ

เอ้า..มองเข้าไป
จะถามก็ไม่ถาม..
เอ๊ะ..หรือว่ามันถาม
แต่ฉันไม่ได้ยินแฮะ ^^"
จากนั้นฉันก็ไปทักทายตัวอื่นๆค่ะ
อั้ยนี้ ชื่อ "Honda"

มันไม่สมาร์ท..แต่มันนิสัยดีค่ะ
เนื่องจากมันเป็นหมาดำ
มองในความมืดได้ไม่ดีเท่าไหร่
ถ้าหายในความมืด..ล่ะ หาตัวลำบากตาเลยล่ะ :P


สาว "ข้าวปั้น" เลยไม่ชอบ
ปัจจุบัน "ข้าวปั้น" เปลี่ยนชื่อใหม่ตามนิสัยที่แสดงออก
ว่า "แว้ " (หน้าทำแว้ๆ)
วันหนึ่ง..."แว้" เข้าไปในบ้านกะพ่อ
อั้ยฉันก็เลยเอิ้นดังๆว่า "แว้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"
บังเอิญแถวบ้านมีคนชื่อ "แว้" เดินผ่านมา
555...5
ขานรับฉันค่ะ
(หลายปีก่อน..ในบรรดาหมาที่ตายไป
มีชื่อสรพงษ์ ศรราม ดาวพระศุกร์ ด้วยล่ะ) จะบอก
ตั้งให้..เพราะชื่นชอบดาราค่ะ
ไม่ใช่เอาคนมาเปรียบเทียบกะหมานะ
แต่พอหลังๆ...ไม่เอาล่ะ
เดี๋ยวจะโดนฟ้องร้อง 555...5
ตอนนี้ "แว้" ตั้งท้องใกล้คลอดอีกล่ะ
ก็ได้แต่หวังว่า..ลูกมันจะนำโชคค่ะ อิอิ :D

ส่วนอั้ยหมาน้อย
อ้อ..แม่จัดการตั้งชื่อให้เลยค่ะ
เพราะฉันไม่อยู่ล่ะสิ
แม่ได้โอกาส..เอาเลยค่ะว่า
"อั้ยเท่ง" อีกตัว "อั้ยโหน่ง"
ที่เหลือ...ไม่รู้
แล้วแต่เจ้าของใหม่มัน..แม่บอกงั้นค่ะ
เรางง..แม่ว่า
มันเพศเมีย
ทำไมแม่ตั้งชื่อเป็นเพศผู้
อ๋อ...แม่เคยดูรายการ
"ชิงร้อยชิงล้าน" ช่วงตลก
แม่จำได้...และติดใจเลยตั้งไปค่ะ
เอ่อ...แม่ก็ชอบดาราตลกหรือนี่ 55..5

อั้ยหมาน้อย...มันไม่สนใจฉันค่ะ
หลังจากตัวแห้ง...มันก็หนีไปหานอนเสยยยยยยย...ย

อ่ะ..ตัวนี้เอานมเปรี้ยวล่อดีกว่า



เปิดได้..ฉันให้กินฟรีเลยอ่ะ -_-"
และหลังจากนั้น..ก็ชวนมันเล่นค่ะ
มันไม่เล่น..ก็จี้ให้มันเล่นค่ะ
เล่นไปเล่นมา..
แหม..มันขี้โกงค่ะ
ดูสิ...

มันเหยียบเท้าฉัน
มันร้องเสยเลย...

:D


หมาสองตัวนี้..ดีค่ะ
เพราะแม่มันคอยห่วงใยอยู่ข้างกายตลอด
บอกว่า "อย่าหยอกกันนะลูก"
มันก็เชื่อฟังค่ะ
แต่ว่า..มันเชื่อฟังฉันมากกว่า
เพราะฉันบอกว่า "เอาเลยๆๆๆใครชนะให้กินหนมเส้น"


ท่าทาง..สองตัวนี้เอาจริงค่ะท่านผู้อ่าน อิอิ :D


มันไม่รู้หรอกว่า..หนมเส้นนั้น
ฉันได้กินลงท้อง..หมดแล้วเรียบร้อย :)


และก็ในที่สุด..
อั้ยเหมย...มันก็เห็นค่ะ
มันก็บอกให้ลูกมันหยุดเล่นกัน
(รู้..เพราะว่ามันส่งเสียงร้อง..คล้ายว่า
ลูกโดน...เราหลอกค่ะ เพราะเหมยมันเห็นเรากินหนมเส้นหมดไง๊)



"แห่ะๆ...
รู้งี้..กัดคอ..อั้ยลูกเพ่ของแม่ ดีมั้ยเนี๊ยะ"
"~ Love me,Love to bite my dog :P"
:D

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

ห้ามอ่าน~

อ่ะน่ะ...ใครเข้ามาอ่านบ้างแสดงตนเลย
ห้ามขี้ตื้ดเม้นด้วยนะ :D

ล้อเล่นค่ะ...
นานๆจะอารมณ์ดีแบบนี้ที

พออารมณ์ดี...ก็อย่างเขียนอะไรดีดี
มาฝากชุมชน จิต-ใจ-ดี กันค่ะ

จริงๆแล้ว Fw:mail นี้ได้มานานล่ะ
ก็บังเอิญ Save ไว้..

ว่าสักวันหนึ่งเราน่าจะได้ใช้มัน
เป็นไงล่ะ...ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าค่ะ
(คงกลัวว่า...เราจะไม่เกิดอีกล่ะ 55..5)

วันนี้เอามาใช้ให้เห็นเลย
เพราะเพียงแค่ว่า..ความรู้สึกดีดีของใจ
เมื่อมีเพื่อนเก่า...คอยช่วยเหลือเราเนี๊ยะ
กลับมาอีกครั้ง...

มันรู้สึกดีจริงๆนะ

แต่ไม่รู้ว่ามันจะเข้ากะเมล์นี้ป่าว(เปล่า)
งั้นเรามาอ่านพร้อมกันสิคะ

ใครอ่านก่อนล่วงหน้าปรับนะ อิอิ :P


"แม่ของผมเคยถามผมว่า ส่วนไหนของร่างกายที่สำคัญที่สุด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมได้ทายสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นคำตอบที่ถูก


เมื่อตอนผมยังเป็นเด็กเล็ก ผมเคยคิดว่า
เสียงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดสำหรับเราในฐานะที่เป็นมนุษย์
ดังนั้น ผมจึงบอกว่า "แม่ มันคือ หู "

แต่แม่บอกว่า "ไม่ใช่จ้ะ คนจำนวนมาก หูหนวกแต่ก็ยังอยู่ได้"
ลูกลองคิดดูไปก่อนนะแล้วเร็ว ๆ นี้แม่จะถามลูกใหม่นะ

หลายปีผ่านไปก่อนที่แม่จะถามผมเรื่องนี้อีกครั้ง
ตั้งแต่ที่ผมทายผิดครั้งแรก ผมก็พยายามครุ่นคิดหาคำตอบที่ถูกต้องตลอดมา
และในตอนนี้ผมบอกกับแม่ว่า

"แม่ การมองเห็น สำคัญมากสำหรับทุกๆ คน ดังนั้นมันต้องเป็นตาของเราแน่เลยที่สำคัญที่สุด"
แม่มองมาที่ผม และบอกกับผมว่า

"ลูกเรียนรู้ได้เร็วมาก แต่ว่าคำตอบยังไม่ถูกจ้ะ เพราะว่า ยังมีคนมากมายที่ตาบอด แต่ก็ยังอยู่ได้"
ผมอึ้งไปอีกครั้ง แต่ผมก็ยังคงพยายามค้นคว้าหาความรู้ต่อมาอีกหลายปี
และแม่ก็ยังคงถามผมอีกหลายครั้ง และทุกครั้ง
คำตอบของแม่ก็คือ "ไม่ใช่จ้ะ แต่ลูกก็ฉลาดขึ้นทุก ๆ ครั้งนะจ๊ะลูกรัก"

จนเมื่อปีที่แล้ว ปู่ของผมตายลง ทุกคนในบ้านเศร้าใจกันมาก
ทุกคนร้องไห้ แม้แต่พ่อของผมก็ร้องด้วย
ผมจำได้ดีเพราะว่า มันเป็นเพียงครั้งที่สองที่ผมเห็นพ่อร้องไห้
แม่มองมาที่ผม ตอนที่เรากล่าวคำอำลาครั้งสุดท้ายต่อคุณปู่ แล้วแม่ก็ถามผมว่า

"ลูกรู้หรือยังส่วนไหนของร่างกายเราสำคัญที่สุด ลูกรัก ?"

ผมรู้สึกงุนงง ที่แม่ถามผมตอนนี้ ผมคิดตลอดมาว่าคำถามนี้เป็นเกมส์
ระหว่างผมกับแม่ แม่มองเห็นสีหน้ามึนงงของผม และก็บอกว่า

"คำถามนี้สำคัญมากลูก มันแสดงให้เห็นความจริงในชีวิตของเรา"

สำหรับอวัยวะต่าง ๆ ที่ลูกเคยบอกกับแม่ว่าสำคัญในอดีตที่ผ่านมา
และแม่ได้บอกกับลูกว่ามันผิดมาตลอด

พร้อมกันนั้นแม่ก็ได้ยกตัวอย่างให้ลูกฟังว่าทำไมมันถึงผิด
แต่ว่าวันนี้เป็นวันที่ลูกจะได้เรียนบทเรียนที่สำคัญที่สุด


แม่ ก้มลงมองมาที่ผม ด้วยความรู้สึกลึกซึ้งอย่างที่แม่คนนึงจะทำได้
ผมเห็นตาแม่เอ่อด้วยน้ำตา และแม่ก็พูดว่า

"ลูกรักส่วนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกก็คือ "บ่า"จ้ะ"

ผมถามแม่ว่า "เป็นเพราะว่ามันคอยรองรับหัวของเราไว้ใช่มั้ยครับ?"
แม่ตอบว่า "ไม่ใช่จ้ะ แต่เป็นเพราะว่ามันสามารถรองรับศีรษะของเพื่อนของเราหรือ
คนที่เรารักเมื่อยามที่เค้าร้องไห้"


คนเราทุกคนต้องการบ่าใครซักคน ไว้คอยซบยามร้องให้ในบางช่วงเวลาของชีวิต
ลูกรักแม่เพียงแต่หวังว่าลูกจะมีเพื่อนและคนรัก
ที่จะมีบ่าพร้อมที่จะให้ลูกซบตอนร้องไห้ยามเมื่อลูกต้องการ
ตรงนั้นเองที่ผมได้รู้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดของร่างกายเรา คือการไม่เห็นแก่ตัว
และมันคือความรู้สึกร่วมรับรู้กับความเจ็บปวดของคนอื่น


คนเราอาจจะลืม
สิ่งที่คุณพูด.......
คนเราอาจจะลืมสิ่งที่คุณทำ.........
แต่ไม่มีใครลืม
สิ่งที่ทำให้เค้า "รู้สึก" ได้......


เพื่อนที่ดีก็เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า....
คุณไม่ได้เห็นมันตลอดเวลาหรอก
แต่คุณรู้ว่า พวกเค้าอยู่ที่ตรงนั้นกับคุณตลอดเวลา......

ปล. เขียนว่าห้ามอ่าน...เหมือนเขียนบอกว่า ห้ามลัดสนาม เสยๆ :P

ถึงจะเดินถอยหลังก็ยังต้องออกแรง





"นิยายจีนกำลังภายในส่วนใหญ่ที่ผมเคยอ่าน
มีตัวละครที่เป็นตัวร้ายฝีมือสูงส่ง
ทำเรื่องชั่วทุกอย่าง แย่งสุดยอดคัมภีร์แห่งยุทธจักร"


เพื่อจะได้เป็นจอมยุทธอันดับหนึ่งแห่งบู๊ลิ้ม
เมื่อได้คัมภีร์มาก็ฝึกฝนอย่างหนักหน่วง
จนกลายเป็นยอดฝีมือฝ่ายอธรรม

ฝีมือร้ายกาจจนในช่วงต้นพระเอกมักต่อกรด้วยมิได้
คิด ๆ ดูก็น่าขำ คนร้ายในนิยายช่างขยันขันแข็งเสียนี่กระไร ไม่ท้อถอย
ฝีกฝนลมปรานวิชามารทุกวี่ทุกวัน
ไม่ค่อยเห็นคนเลวที่ขี้เกียจ
ตื่นสาย อู้การฝึกวิชา

พูดง่าย ๆ คือนิสัยไม่น่าคบ
พฤติกรรมอาจชั่วร้าย แต่เรื่องความขยันหมั่นเพียรไม่เป็นรองใคร !

มองในอีกมุมหนึ่งคือ แม้แต่คิดจะชั่ว ก็ยังต้องขยัน ยิ่งคิดจะชั่วมาก ก็ยิ่งต้อง ”ขยัน"มาก
ในนวนิยายเรื่อง อุ้ยเซี่ยวป้อ ของกิมย้ง
พระเอกเป็นคนขี้เกียจมาก ไม่ชอบฝึกวิชาการต่อสู้

อาจารย์คนหนึ่งของเขาจึงสอนวิชา “หนี” ให้เขา
หลักวิชานี้คือ ไม่ว่าคนที่จะมาทำร้าย
มีฝีมือเก่งแค่ไหน ผู้ฝึกวิชาจะหนีพ้นได้เสมอ
อย่างไรก็ตาม
พระเอกซึ่งเป็นคนขี้เกียจก็ยังต้อง”ฝึกฝน”วิชานั้น
ผู้คนในโลกของความจริงไม่ค่อยขยันเช่นนั้น

โดยเฉพาะในโลกที่ “ความสำเร็จของชีวิต” แปลว่า “ความสบาย”

แต่
"ความสบายกับความขี้เกียจเป็นคนละเรื่องกัน "
"หลายคนอยากสบายโดยไม่ต้องทำอะไรเลย
ทำงานชิ้นสองชิ้นก็บ่นว่าเหนื่อย "


"ทำงานเกินเวลาสักนาที ก็บอกว่าชีวิตไม่ยุติธรรม "


"ทำงานในสายที่ไม่เคยลอง ก็บ่นว่าอยากลาออก "

กลายเป็นวัฒนธรรมขี้บ่นที่ระบาดไปทั่วทุกมุมโลก

ค่านิยมในโลกปัจจุบันคือ ทำงานน้อยได้เงินมาก
ได้กำไรเร็ว จัดเป็นหลักการตลาดชั้นเลิศ

"ลงทุนลงแรงต่ำ ได้รับค่าตอบแทนสูง
ลงทุนวันนี้ ได้กำไรพรุ่งนี้ ถือว่าเก่ง
ลงทุนเช้า ได้เงินบ่าย ถือว่าเยี่ยม "

การตีเหล็กให้เป็นเครื่องมือใช้แต่ละชิ้น ต้องใช้ความร้อนสูงจัด
ผ่านการตีจนเป็นรูปเป็นร่างที่ต้องการ แล้วจึงปล่อยให้เย็นตัวลง
กลายเป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่มีค่า

"ความสบายที่ได้จากความลำบากนั้น
จึงมีคุณค่ากว่าความสบายที่เดินทางมาถึงมือง่าย ๆ "

วิลเลียม เจมส์ นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่แห่งอเมริกาในรอยต่อศตวรรษที่ 19-20
บอกว่า
" มนุษย์ส่วนใหญ่ถูกโปรแกรมให้รู้สึกเหนื่อยเมื่อถึงเวลาเหนื่อย
มนุษย์เราใช้พลังน้อยกว่าที่มีอยู่จริง "
เขาบอกว่า ...
หากคุณผลักความเหนื่อยออกไปอีกสักนิด
คุณจะได้งานมากกว่าเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ

แน่ละ ความหมายของวิลเลียม เจมส์ มิใช่ต้องการให้คนทำงานจนตายคาที่
แต่ให้ลองทดสอบดูว่า บางครั้งการยอมแพ้เกิดจากใจไม่สู้ ไม่ใช่กายไม่พร้อม

เราคงไม่ต้องขยันจนถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล
ซึ่งอาจมากเกินความพอดี แต่คำถามคือ
แค่ไหนคือความพอดี
เท่าไหร่คือความเหมาะสม

บางคนทำงานได้มากมายกว่าจะเหนื่อย
บางคนทำนิดเดียวก็ “รู้สึก” เหนื่อยแล้ว
บางคนไม่ทำอะไรเลย ก็ยังเหนื่อย

ผมไม่เคยเห็นใครที่ขยันแล้วชีวิตฉิบหาย
ตรงกันข้าม คนที่ชีวิตพังทลายส่วนใหญ่มาจากความขี้เกียจ ความเขลา และความโลภ
ไม่มีอะไรได้มาโดยไม่ต้องลงแรง

ถึงจะเอนกายนอนพัก ก็ยังต้องออกแรงเขยื้อนกาย
ถึงจะเดินถอยหลัง ก็ยังต้องออกแรง
จะยกธงขาวยอมแพ้ ก็ยังต้องออกแรงยกธง
ที่มา :หนังสือ อาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก ของ วินทร์ เลียววาริณ

บันทึกของหลานสาว: เจ๋เจ้ ตอนที่ 26



JeJe XXVI "วิธีหาตังค์เจ๋เจ้"

แจ๊ค : เจ้ มีตังค์ป่ะ ขอตังค์เติมน้ำมันหน่อยจิ

เจ๋เจ้ : มี๊ ตังค์เค้าอยู่ในกระปุกออมสิน

แจ๊ค : ถ้าตังค์ในกระปุกหมดละ

เจ๋เจ้ : เค้าก็ไปขอปะป๋าเค้า

แจ๊ค : ถ้าปะป๋าเจ้ตังค์หมดละ

เจ๋เจ้ : เค้าก็ไปเอาในเก๊ะ(ลิ้นชัก)ตังค์สิ

แจ๊ค : แล้วถ้าในเก๊ะตังค์หมดละ

เจ๋เจ้ : เค้าก็รอ เด๋วมีลูกค้าเข้ามา ในเก๊ะก็มีตังค์เองละ

:-)



-- แจ๊ค


ปล. ติดตามตอนเก่า ๆ ได้ที่นี่ ครับ (คลิ๊ก)