วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เกิดมาแล้ว...ไม่แคล้วกัน (ตามแรงกรรม)

วันนี้มีโอกาสได้แวะเข้ามาเขียนที่บ้านหลังนี้ หลังจากที่ห่างหายไปซะนานเลยค่ะ เพราะยุ่งอยู่กับการหาข้อมูลสุขภาพ และวิธีดูแลรักษาผิวเป็นสิวที่ http://bye-bye2acne.blogspot.com มาสัก 2 เดือนได้แล้ว

สิ่งที่บีมจะเขียนวันนี้ เป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นจากประสบการณ์ชีีวิตที่เพิ่มขึ้นในเรื่องของ "กรรม และ ความผูกพัน" และแน่นอนว่ามันจะเกี่ยวกับสิ่งที่มนุษย์เราเรียกว่า "ความรัก"

บีมเคยทุกข์ใจกับเรื่องรัก ๆ มามาก เพราะเป็นคนที่คาดหวังสูง เป็นพวก Perfectionism มาก่อน

อะไรก็ต้องที่หนึ่ง

คิดว่าโลกนี้จะต้องมีอะไรที่ดีที่สุด และเหมาะทีุ่สุดสำหรับเรา

และบีมก็ออกตามหาสิ่งนั้น

ไม่เคยพอใจ ไม่เคยสุขใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่

จนวันนี้ ที่ได้เรียนรู้ว่า การเกิดมาอยู่บนโลกใบนี้ คือ สิ่งที่เป็นผลกรรมที่เราทำมา

เกิดมามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร และจะได้พบเจอใคร เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดมาแล้วโดยผลกรรมในอดีตของเราแทบทั้งสิ้น

ไม่ใช่ใครอื่น แต่ตัวเราทั้งนั้นค่ะ ที่เกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ทำอะไรกับใครมาไ่ม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

สั่งสมทั้งดีชั่วมามากมาย

จิตที่วิทยาศาสตร์เรียกว่าจิตใต้สำนึกจะเป็นตัวเก็บรวบรวมข้อมูลในชีิวิตที่ผ่านมาทั้งหมด

นั่นทำให้การสะกดจิตระึลึกชาตินั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับบางคน และเป็นไปไม่ได้สำหรับบางคน

เพราะความนิ่งของจิตไม่เท่ากัน ใครจิตนิ่งมาก ก็สามารถจะดำดิ่งลงไปในอดีตได้มากเท่านั้น ใครได้ไม่มากก็ระลึกได้แค่เพียงชาตินี้ในวัยเด็ก

ที่ว่า เกิดมาแล้ว...ไม่แคล้วกัน นั้น บีมหมายถึงว่า

ในชาติที่แล้ว ๆ มา เราย่อมมีความผูกพันทางใจ ทั้งรัก เกลียด อาฆาต อิจฉา ฯลฯ อยู่ที่ว่าใจและตัวตนของเราจะปรุงแต่งไปทางใด กับใครบ้าง

สิ่งที่เรารู้สึกและประสบมา จะถูกบันทึกไว้ในจิตใต้สำนึกทั้งหมด

เหมือนเป็น portfolio ชีวิต

จิตที่ยึดติดกับอารมณ์เหล่านี้ ถ้าหากไม่เรียนรู้และรู้จักปล่อยวาง หรือให้อภัย มันจะติดตัวไปในชาติใหม่

ยกตัวอย่างว่า ใครตายด้วยจิตอาฆาต แต่ว่ามีบุคคลที่ตัวเองรักอยู่ และห่วงหาอาทรบุคคลนั้น

ในชาติใหม่ จิตที่แรงกว่าคืออาฆาต อาจจะเกิดมาเป็นงู และจะเสาะหาหรือได้ไปเกิดใกล้ ๆ กับบุคคลที่ตนรักนั้น และจะไม่ทำร้ายคนคนนั้น เป็นต้น

นี่ทำให้เราได้เห็นเรื่องมหัศจรรย์บนโลกมากมาย

แต่จริง ๆ ล้วนแล้วแต่เ็ป็นเรื่องของจิตปรุงแต่งทั้งสิ้น

นั่นหมายถึงว่า แม้เราจะไปทำให้ใครโกรธ รัก หรือเกลียด และตัวอยู่ห่างกันไป แต่ใจยึดติดอารมณ์นั้น

ถ้าหากนาน ๆ ไป ทั้งคู่ยังคงยึดติดอารมณ์นั้น ในที่สุดเค้าจะมาเจอกันอีก

แต่ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้อภัย หรือละความรู้ึสึกนั้นไป ก็อาจจะไม่ต้องมาเจอกันอีก แต่แรงอาฆาตที่เป็นพลังงานส่งจากอีกฝ่ายนั้น ก็จะคอยเป็นพลังขัดขวางไม่ให้อีกคนทำอะไรสำเร็จ

แต่ถ้าหากทั้งคู่ ให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่ยึดติดอารมณ์นั้น ทั้งคู่จะเป็นอิสระจากกัน และช่วยทำให้เข้าใกล้จุดนิพพานมากขึ้นไป

ดังนั้น เป็นเหตุผลว่า ทำไมเราจึงมาเจอเจ้านายแบบนี้ แฟนแบบนี้ พ่อแม่แบบนี้

ถ้าเจอคนดี ๆ ก็ไม่ต้องไปยินดี เพราะนี่คือผลจากการที่เราเชื่อมบุญและสร้างความดีร่วมกันมาในอดีต จึงทำให้เกิดมาด้วยจิตผูกพันเพื่อช่วยเหลือกัน

ถ้าหากเจอคนไม่ดี ก็ไม่ต้องยินร้าย เพราะนี่คือผลจากการที่เราสร้างสิ่งไม่ดีให้แก่กันและเกิดจิตพยาบาท แล้วต้องมาเจอกันอีก

ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า "การให้อภัยคือทานสูงสุด"

เพราะจะช่วยให้แต่ละคน แต่ละดวงวิญญาณค่อย ๆ หลุดพ้นจากสังสารวัฎได้เร็วขึ้น ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

และข้อคิดสำคัญของคนที่ทุกข์ใจกับความรักก็คือ

ไม่ว่าใครก็ตามที่เราได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วย ขอให้สร้างกรรมใหม่ที่ดี เชื่อมบุญแก่กัน หากจะเลิกรากัน ก็ขอให้ไม่มีจิตอาฆาตพยาบาทต่อกัน หากจะเลิกรากันก็ขอให้ไปด้วยความเข้าใจ เห็นใจ ให้อภัย ไม่ยึดติดในอารมณ์ใด ๆ แก่กัน

เพราะถ้าไม่มาเจอกันอีกในชาตินี้ ก็ต้องเจอกันอีกในชาติต่อไป

หรือ ความเจ็บปวดนั้นก็อาจจะสาปแช่งไม่ให้อีกคนสมหวังในความรัก ทั้งที่ไม่ได้มาเจอกันอีก

ในกรณีของบีม

แฟนคนปัจจุบันนี้ ตอนแรกบีมขอเลิกกับเค้าหลายครั้งมากค่ะ และบีมก็มีคนอื่น ๆ เข้ามาในชีวิตมากมาย และเราต่างก็เกิดปัญหากันหมด

บีมกับแฟนก็ทะเลาะกัน ไม่ไว้ใจกัน
คนที่เข้ามาก็ทุกข์ใจ อยากจะได้เราไป

คือ มีแต่กองทุกข์ทั้งนั้น

ปีนี้ บีมคิดได้...

ถ้าคิดจะมีคู่ คนเดียวก็พอ นั่นคือข้อแรก
ข้อที่สอง คือ ทำมันให้ดีที่สุด อย่าให้ได้จองเวรตอนจากกัน

และในตอนนี้ บีมทำใหม่...
บีมไม่ได้คุยกับใครอื่นอีกเลย เพื่อสร้างความไว้วางใจ
บีมทำบุญร่วมกันกับเค้า
บีมทำดีกับเค้าด้วยความจริงใจ
บีมไม่คาดหวังอะไรจากเค้า

และตอนนี้เราต่างก็ไม่ทุกข์ใจ

บีมถือว่า คู่บีมกับเค้านี้แรงดึงดูดมันแรงมาก ๆ เพราะตัดกันไม่ขาด
เราเคยพยายามหลายครั้ง แต่ไม่ไปจากกัน ทั้งที่ตอนนั้นอยู่ด้วยกันก็ทรมาน

บีมเลยคิดว่า อืม...เราคงเคยทำอะไรเค้าไว้ และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องชดใช้และสร้างกรรมใหม่ต่อกันในทางที่ดี

เราอย่าไปคิดว่า การชดใช้กรรม มันไม่ดีนะคะ

บีมอยากให้ลองมองใหม่

ลองนึกดูว่า...แค่ในชาิตินี้ เรายังมีศัตรู คนรัก คนชังตั้งมากมายตั้งแต่เราเกิดมา

ถ้าหากคนไหนที่เราขอโทษ แล้วเค้ายกโทษให้ ทั้งสองฝ่ายก็สบายใจ
หรือ ถ้าหากไปขอโทษ แล้วเค้าไม่ยอม จนกว่าเราจะทำอันนั้นอันนี้ให้ สุดท้ายพอเห็นเราตั้งใจว่ามาขอโทษ เค้าก็ยกโทษให้ แล้วขาดกรรม ขาดจิตผูกพันจากกันไป

นี่เป็นสิ่งที่เราเห็นในชาตินี้

ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับการขออโหสิกรรมนั่นล่ะค่ะ ที่เราต้องตั้งใจจริงที่จะขอ ทำความดี ทำซ้ำ ๆ ทำสมาธิสวดมนต์ด้วยความรู้จริงว่าทำเพื่ออะไร ตั้งใจจะขอขมาเค้า

แต่ถ้าหากเค้าให้เราต้องทำอะไรก่อน หรือเค้าอยากเห็นเราเป็นนั่นเป็นนี่ ทรมานก่อน นั่นก็คือ การใช้กรรมอีกอันให้หมดไปค่ะ จงยินดีเถอะ ถ้ามันเกิดขึ้น และตอนที่เราทรมาน ก็ขอให้นึกถึงสิ่งที่เราเคยทำในอดีต ว่าเราเคยไปทำอะไรให้ใครเจ็บแบบที่เราเจ็บตอนนี้มั้ย แล้วก็อุทิศบุญให้เค้าสม่ำเสมอ จนกว่าเราจะหายทรมาน

สิ่งสำคัญคือ อย่าพร่ำบ่นเวลามีความทุกข์ค่ะ
ขอให้คิดว่า เรากำัลังใช้หนี้ให้เค้าอยู่ ถ้าหากหมดแล้ว หรือเราตั้งใจขอโทษเค้าแล้ว แล้วเค้ายกโทษให้ ผลลัพธ์คือ เป็นอิสระจากกัน

ดังนั้น การชดใช้กรรมเป็นสิ่งที่ดีค่ะ

และคนที่มีปัญหาในความรัก ให้ลองทบทวนความคิดของตัวดูใหม่
ไม่ว่าจะเจอใครก็ตาม ขอให้ทำดีกับเค้า แม้ว่าเค้าจะร้ายกับเราแค่ไหนก็ตาม

ทำดีด้วยใจบริสุทธิ์จนกว่าเค้าจะยอมให้อภัยเรา (จริง ๆ เค้าก็คือเจ้ากรรมนายเวรเราที่มีตัวตนนี่ล่ะค่ะ)
เชื่อมบุญกันใหม่ ถ้าเชื่อมติด ก็จะกลายมาเป็นกัลยาณมิตรกันต่อไป กรรมเก่าก็ใช้หมดสิ้นแล้ว

และตอนนี้บีมก็มีความสุขกับชีวิตคู่ของบีมดีค่ะ เลิกคาดหวัง และทำมันให้ดีที่สุด
เชื่อมบุญใหม่...

หวังว่าเพื่อน ๆ คงได้ข้อคิดไปไม่มากก็น้อยนะคะ :-) คิดแบบนี้แล้วใจสบายค่ะ เบา โปร่ง โล่ง ดี

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณครับ

    เป็นการ search ข้อมูล ที่ทำให้ผมได้รับธรรมทานที่ดี

    ขอบคุณครับ

    ตอบลบ