วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551
[จิตใจดี สนทนา] - เวลา -
สวัสดีผู้อ่าน จิต-ใจ-ดี ทุกท่าน
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปเร็วมาก เผลอไม่ทันไรวันหนึ่ง สัปดาห์หนึ่งก็ผ่านไปอีกแล้ว
สำหรับสัปดาห์นี้ ผมเขียนบันทึกตอนคืนวันอาทิตย์ซึ่งเป็นเวลาวันจันทร์ที่เมืองไทย และตรงกับวันพระแรกหลังเทศกาลกินเจ ใครที่ตั้งใจถือศีลกินเจในช่วงสัปดาห์นี้ ก็ต้องขออนุโมทนาด้วยครับ
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมก็ง่วน ๆ อยู่กับการจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ลงตัว ผมจัดหน้าเวป blog ส่วนตัวใหม่ ที่ http://paskorn.blogspot.com ใครสนใจก็ลองเข้าไปดูได้ ส่วนใหญ่ไม่มีสาระอะไร มันเป็นเหมือนโน้ตย่อ ที่เก็บรวมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ในการทำงานของผม รวมทั้งแสดงสถานะกิจวัตรประจำวัน รูปถ่าย (ไปเรื่อย) จากมือถือ ใครที่เล่น twitter อยู่ก็สามารถติดตามได้ที่ http://www.twitter.com/paskorn เป็นบันทึกง่าย ๆ ย่อ ๆ แต่เป็นปัจจุบันที่สุด เนื่องด้วยการสื่อสารที่รวดเร็วขึ้นมากทำให้ดูเหมือนโลกแคบและเล็กลงมากขึ้นทุกที
สำหรับที่ จิต-ใจ-ดี แห่งนี้ ตอนนี้ได้มีผู้เขียนบันทึกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน คือคุณ JacKie ก็จะมาเผยแพร่ บันทึกของหลานสาว เจเจ้ ให้อย่างต่อเนื่อง ผู้อ่านสามารถอ่านภาคต่อได้ที่นี่เร็ว ๆ นี้
สัปดาห์หน้าและหนึ่งเดือนต่อจากนี้ ผมคงยุ่งมาก ๆ ถึงมากที่สุด เนื่องด้วยว่าต้องเตรียมสอบ Qualification Exam หรือเป็นการสอบวัดความรู้รวบยอดของการเรียนปริญญาเอก ก่อนที่จะเสนอหัวข้อวิจัย จะว่าไปก็หินพอสมควร แต่ก็คงต้องลองกับมันดู ที่แน่ ๆ ก็คือผมคงต้องงดเล่นและท่องเวปไปสักระยะหนึ่ง
ที่บอสตั้นใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว จากสีเขียวเป็นสีเหลืองเนื่องด้วยเพราะความหนาวเย็น ต้นไม้กำลังเริ่มจะทิ้งใบเพื่อเตรียมเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว รูปถ่ายด้านบนเป็นรูปถ่ายสนามหญ้าหลังบ้านเมื่อฤดูใบไม้ร่วงเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้แม้จะยังไม่ถึงเวลาล่วงเลยใบไม้ร่วงพรูดังเช่นในรูป แต่ก็คงอีกไม่นาน คาดว่าปีนี้คงจะหนาวมากและหนาวนานกว่าที่ผ่านมา
การอยู่เมืองนอกมีข้อดีโดยอ้อมประการหนึ่งคือ ทำให้เราได้เห็นการเปลี่ยนถ่ายของเวลา นอกจากวันคืนที่หมุนผ่าน ฤดูกาลยังมีการเปลี่ยนแปลงให้เห็นอย่างชัดเจน ทำให้ตระหนักได้ว่า
เวลาหมุนผ่านเราไปไวจริง ๆ
วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551
เสรีนี้หนึ่งเดียว (5)
หลงใหลอะไรนักหรือ
ยึดถือสิ่งใดใครนั่น
ดิ้นรนไขว่คว้าสารพัน
เสกสรรพอกเพิ่มเสริมอัตตา
ตื่นเถิดฟ้าสางสว่างแล้ว
นั่นดวงแก้วส่องทางอยู่ข้างหน้า
ตะวันธรรมทอแสงแห่งศรัทธา
ชี้มรรคาสดใสให้ชีวิต
When you down and trouble.
Remind me ...
You’ve got a friend.
ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวหลายคราวครั้ง
ผ่านทั้งรักทั้งชังหวังสลาย
ก็ยังยิ้มยังเย็นไม่เห็นตาย
ใช่โชคร้ายจะจองล้างอยู่ข้างเดียว
ขอเพียงมีกำลังขวัญเข้าฟันฝ่า
กระรอกน้อยก็หาญท้าพญาเหยี่ยว
เมื่อบาดเจ็บไร้ผู้อยู่ยาเยียว
จะเด็ดเดี่ยวเลียแผลให้แก่ตน
ก็ผ่านมาแล้วผ่านไปหลายหลายเรื่อง
ก็เปล่าเปลืองปวดใจหลายหลายหน
ก็ทนเถิดทนให้ธรรมย้ำให้ทน
เพื่อที่สุดหลุดพ้นเลิกทนทุกข์ ....^_^...**@**: -_-
ที่มา : เรื่อง ....เสรีนี้หนึ่งเดียว โดย อิสรา สำนักพิมพ์ ฟ้าอภัย. 2535.
ภาพ ...canon digital IXUS 60 ...สีตะวัน
วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551
นานาสาระ ...วันนี้คุณวัดรอบเอวเป็นรึยัง?
- มีการศึกษาพบว่า คนที่รอบเอวเกิน จะนำไปสู่โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง
- รอบเอวปกติ ในผู้หญิง ไม่ควรเกิน 80 เซนติเมตร หรือ 32 นิ้ว และ
ในผู้ชาย ไม่ควรเกิน 90 เซนติเมตร หรือ 36 นิ้ว - การวัดรอบเอว ที่ถูกต้อง
1. อยู่ในท่ายืน เท้าทั้ง 2 ห่างกัน ประมาณ 10 เซนติเมตร
2. ใช้สายวัด วัดรอบเอวโดยวัดผ่านสะดือ
3. วัดในช่วงหายใจออก (ท้องแฟบ) โดยให้สายวัดแนบลำตัว ไม่รัดแน่นและให้ระดับของสายวัดที่วัดรอบเอววางอยู่ในแนวขนานกับพื้น
คุณล่ะคะ ..มีรอบเอวเกิน รึเปล่า ?
วัดรอบเอว วัดสุขภาพ - วัดรอบเอว วัดสุขภาพเส้นรอบเอวของคนเรา นอกจากจะบ่งบอกถึงสัดส่วน โดยคะเนด้วยสายตาแล้ว ผลการศึกษายังพบว่า ปริมาณไขมันในช่องท้อง จะมีความสัมพันธ์กับ ขนาดเส้นรอบเอว และยังมีความสัมพันธ์ กับการเกิดโรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะฉะนั้น คนที่มีรอบเอวใหญ่ จะมีความเสี่ยง ในการเกิดโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมองอุดตันหรือแตก และโรคหัวใจ การที่จะรู้ว่า เรามีไขมันสะสม ในอวัยวะช่องท้องมากแค่ไหน รู้ได้จากการวัดเส้นรอบเอว สำหรับผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่า 36 นิ้ว และผู้หญิงที่มีรอบเอวมากกว่า 32 นิ้ว ถือว่า "อันตราย" แล้ว
- ควบคุมน้ำหนัก ควบคุมรอบเอว กินอาหารสมดุล ควบคุมสัดส่วนปริมาณอาหาร กลุ่มข้าวแป้ง ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง นม ผลิตภัณฑ์นม และไขมัน ให้พอเหมาะในแต่ละวัน โดยผู้หญิง ควรได้รับพลังงานวันละ 1,600 แคลอรี ส่วนผู้ชาย วันละ 2,000 แคลอรี
- กินอาหารเช้าทุกวัน เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อหลัก เพื่อกระจายปริมาณพลังงานอาหาร ให้พอเหมาะ กับความต้องการ ของร่างกาย นอกจากนั้น จะช่วยให้ร่างกายไม่หิวมาก ในช่วงบ่าย และควบคุมอาหารมื้อเย็น ให้กินได้น้อยลงได้
- กินอาหารแต่พออิ่มในแต่ละมื้อ ไม่ควรบริโภคจนอิ่มมากเกินไป
- กินอาหารธรรมชาติ ไม่แปรรูป เช่น เมล็ดธัญพืช กลุ่มข้าวแป้ง ได้แก่ ข้าวกล้อง เผือก มัน ข้าวโพด กลุ่มน้ำมัน ได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ถั่ว งา เป็นต้น เพราะมีวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารสูง
- กินผักและผลไม้ไม่หวานให้มากพอ และครบ 5 สี คือ สีน้ำเงิน ม่วง แดง เขียว ขาว เหลืองส้ม และแดง เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่ และเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันโรค จากสารเม็ดสีในผัก ผลไม้
- กินอาหารมื้อเย็นแต่วัน เวลา สำหรับอาหารมื้อเย็น ควรห่างจากเวลานอน ไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง เพราะในช่วงเวลานอนหลับ ระบบประสาทสั่งงาน ให้ร่างกายพักผ่อน เกิดการสะสมไขมัน ในอวัยวะช่องปากมากขึ้น
- กินเป็น คือ รู้จักหลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หวานจัด และเค็มจัด อาหารในรูปไขมัน น้ำมัน มาการีน น้ำตาล แป้ง และเกลือ เช่น เค้ก คุ้กกี้ มันฝรั่งทอด โรตี และของดอง เป็นต้น
- นอกจากควบคุมการกินอาหารแล้ว การออกกำลังกาย ยังเป็นการลดไขมันหน้าท้อง ได้เป็นอย่างดี โดยควรออกกำลังกายที่ชื่นชอบ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละไม่น้อยกว่า 30 นาที หากเราสามารถลดน้ำหนักตัวได้ 5-10% ของน้ำหนักไขมัน ในช่องท้อง จะลดลงไปได้ถึง 30% แต่ทั้งนี้ ต้องอาศัยความมุ่งมั่น และตั้งใจจริง นอกจากจะต่อสุขภาพแล้ว ยังทำให้บุคลิกของเรา ดูดีขึ้นอีกด้วย
- ที่มา : จดหมายข่าว กรมอนามัย ปีที่7 ฉบับที่3
วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551
การเมือง เรื่องสองด้าน
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเที่ยง นายปรัชญา สิงโต อายุ 27 ปี สวมชุดสูทสีครีม เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีดำ ผูกเนกไทสีชมพู ควงคู่มากับ น.ส.ศิวาพร ไขศรี อายุ 27 ปี สวมชุดเจ้าสาวสีครีม เข้ามาตระเวนถ่ายภาพตามมุมต่างๆภายในทำเนียบรัฐบาลและบริเวณรอบนอก ทั้งคู่มีสีหน้ายิ้มแย้ม สร้างความชื่นชมให้กับผู้ชุมนุมที่พบเห็น ส่วนใหญ่พากันอวยพรให้ทั้งคู่มีความสุข ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร โดยคู่บ่าวสาวเปิดเผยว่า คบหากันมานานกว่า 8 ปีแล้ว ตกลงจะแต่งงานกันในเดือน พ.ย. ทั้งสองเคยมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ 3-4 ครั้ง จึงมาถ่ายรูปคู่ในทำเนียบรัฐบาลไว้เป็นที่ระลึก เพราะถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการเมืองไทย โดยปกติทำเนียบรัฐบาลไม่ได้เข้ามาง่ายๆ ผู้สื่อข่าวถามว่าเห็นด้วยกับการชุมนุมที่ยืดเยื้อของกลุ่มพันธมิตรฯหรือไม่ ว่าที่บ่าวสาวกล่าวในทำนองเดียวกันว่า หากการชุมนุมที่ยืดเยื้อแล้วมีเหตุมีผลก็สมควร แต่ถ้าไม่มีเหตุผลก็ไม่สมควร ส่วนตัวไม่ได้เห็นด้วยกับพันธมิตรฯ ทุกอย่าง มีบางแนวทางที่เห็นด้วย เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีความคิดเห็นแตกต่างกัน
ที่มา ไทยรัฐ
วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551
[จิตใจดี] สนทนา
ด้วยตั้งใจว่า จะพยายามมาเีขียนอะไรให้อ่าน มาคุยกับผู้อ่านบ้างอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
ที่เคยว่าไว้ว่าจะ post ข่าวหรือบทความทุกวันพระคงต้องเว้นไป เพราะขณะนี้จิตใจดีมีผู้เขียนใหม่ไฟแรง มาเขียนบทความให้ผู้อ่านอ่านได้เฉลี่ยแทบจะวันละบทความ ทำให้ครึกครื้นไม่เหงาดี
ข่าวสังคม
ช่วงที่ผ่านมา จะว่าเป็นข่าวดีก็ได้ เป็นข่าวร้ายก็ไม่เชิง ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการเมืองอย่างรุนแรง ข้อเสียของมันก็คือเหมือนการพัฒนาประเทศที่วิ่งมาอย่างเร็วต้องสะดุดล้ม ข้อดีของมันก็คือเป็นการเตือนใจว่าเรากำลังทำอะไรผิดพลาดหรือไม่ และการสะดุดล้มครั้งนี้คงจะเป็นเรื่องดีที่ทำให้เราได้หันมามองตัวเอง มองสังคมไทยอย่างลึกซึ้งมากขึ้น การพัฒนาต่อไปก็คงต้องคิดให้มาก จะได้กลับไปเดิน และวิ่งได้อีกครั้ง
เรื่องดี ๆ อีกเรื่องหนึ่ง คือบุคคลิกของผู้นำประเทศคนใหม่
ขอตัดข่าวมาให้อ่านดังนี้ (จาก มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับล่าสุด)
=====
ตั้งแต่วินาทีแรก ที่ "สมชาย" ได้รับเลือกเป็น "นายกรัฐมนตรี"
เขาก็สร้างความแตกต่างให้เห็นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบเคียงกับ "สมัคร สุนทรเวช" นายกรัฐมนตรีคนเดิม
"สมชาย" เดินไปหา "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ยกมือไหว้ จับมือ และพูดคุยอย่างเป็นกันเอง
จากนั้น เดินไปกราบ "บรรหาร ศิลปอาชา-พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์-เสนาะ เทียนทอง" ผู้อาวุโสทางการเมือง
ก่อนจะเดินออกมาขอบคุณผู้สนับสนุนที่อยู่หน้าสภาฯ
และภารกิจแรกของ "สมชาย" ก็คือ การไปเยี่ยมชาวบ้านที่ประสบอุทกภัยที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เมื่อนักข่าวขอให้ "แหลงใต้" ถึงคนภาคใต้
นอกจากขอบคุณตามปกติแล้ว เขายังบอกชาวใต้ทุกคนด้วยว่า การเลือกตั้งเป็นสิทธิของแต่ละคนจะตัดสินใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เลือกพรรคพลังประชาชนแล้วรัฐบาลจะทอดทิ้ง
"การที่พรรคพลังประชาชนไม่เป็นที่นิยมของคนใต้ก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่พอใจรัฐบาล ก็แสดงออกด้วยการหย่อนบัตรเลือกตั้งได้ รัฐบาลต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน พี่น้องไม่ต้องกลัว รัฐบาลจะดูแลอย่างเท่าเทียมกัน"
....คมมาก
======
โดยส่วนตัวผมไม่ได้เลือกข้าง แต่อ่านจากบทความ จินตนาการเห็นภาพการกระทำของผู้นำประเทศคนใหม่แล้วรู้สึกดีนะครับ เป็นคนมีความคิด ปฏิบัติได้ดี พิจารณาจากการตอบเรื่่องชาวใต้ เห็นได้ชัดว่าท่านคิดก่อนพูด และทำการบ้านมาดี ได้แต่หวังว่า เรื่องดี อื่น ๆ คงจะดีตามมา
ข่าวส่วนตัว
ผมได้ตั้งกลุ่มนักเรียนไทยที่ Umass Boston ก็เป็นโรงเรียนที่ผมเรียนอยู่ มีนักเรียนไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลาย ๆ คนมาต่างประเทศโดยไม่มีข้อมูล และไม่เคยต้องอยู่ห่างจากบ้านจากเมืองไทย ก็เลยสร้างช่องทางให้เขาได้คุยกัน เราช่วยหาบ้านเช่า ช่วยหาเฟอร์นิเจอร์ เตรียมพร้อมการใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกาอีกสองสามปีจนกว่าจะจบการศึกษา สัปดาห์ที่ผ่านมามีกินเลี้ยง Welcome Party ก็มารวม ๆ ได้ร่วม 20 กว่าคน ก็ดีครับ อยู่ที่ไหน ๆ ก็ไทยด้วยกัน
เมื่อต้นเืดือนผมพาคุณภรรยาไปแคมปิ้ง ตั้งเต้นนอนในอุทยาน (State Park) โชคดีที่ได้ที่ติดริมทะเลสาป ตกดึกเงียบวังเวงมาก ได้ยินเสียงหมาป่าหอนอยู่รอบ ๆ กลัว ๆ เหมือนกันแต่เราไม่ได้มาทำอันตรายอะไรเขาก็คงไม่มีอะไร ก็แ่ผ่เมตตาให้ หลับสบาย เป็นคืนแรกในรอบปีที่หลับลึกได้ขนาดนี้ ไม่ต้องพะวงกังวลกับเรื่องงานเหมือนที่เคย ตอนเช้า เสียงนกร้อง รอบ ๆ ตัว เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนกหัวขวานเจาะต้นไ้ม้เหมือนที่ดูการ์ตุนตอนเด็ก ๆ บรรยากาศดีมาก ๆ สดชื่น เหมือนได้ชำระจิต ชาร์จแบตเตอรี่ชีวิต ก่อนที่จะกลับมารับภาระงานเรียนให้จบอย่างที่ตั้งใจ (รูปเพิ่มเติม)
หวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงสบายดี สรรหาเรื่องดีให้ชีวิต มีำกำลังและแรงใจทำงาน อย่างมีความหวังนะครับ
แล้วคุยกันต่อ สัปดาห์หน้า ครับ
วันงดใช้รถ
ที่มา www.kapook.com
สังคมตระหนัก วันปลอดรถ
กทม.ผนึก สสส.-ชมรมจักรยานฯ เปิดงาน "คาร์ฟรีเดย์ 2008" ยิ่งใหญ่ พร้อมกันกว่า 40 จังหวัด ชี้รถ 1 ล้านคัน ขับน้อยลงแค่วันละกิโลนิดๆ คนไทยประหยัดค่าน้ำมันได้เกือบ 2 พันล้านต่อปี ลดคาร์บอนไดออกไซด์ 1 แสนตัน ข้าราชการ - ลูกจ้าง กทม. 8 หมื่นคน ประกาศ 22 กันยายน งดใช้รถส่วนตัว
ที่ สนามกีฬาศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 21 กันยายน ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย กลุ่มกรีนพีซ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงาน "วันปลอดรถ" CAR FREE DAY 2008 โดยมีศิลปินดาราจากค่ายอาร์เอสมาร่วมรณรงค์ด้วย คือ วงแบล็กวนิลา และเฟย์ ฟาง แก้ว
ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ รองผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า วันที่ 22 กันยายนของทุกปี เป็นวันลดการใช้รถยนต์ หรือ CAR FREE DAY มีประชากรกว่า 100 ล้านคน ใน 1,500 เมืองทั่วโลกร่วมกิจกรรม ในไทยดำเนินการแล้ว 5 ปี รณรงค์ลดการใช้รถ ลดการใช้พลังงาน ลดภาวะโลกร้อน ที่เป็นวิกฤติรุนแรงของโลกในขณะนี้ หากรถ 1 ล้านคันในไทย วิ่งน้อยลงเพียงวันละ 1 กิโลเมตรเศษๆ หรือ 1.3 กม. จะลดก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ได้ถึง 100,000 ต่อปี และประหยัดค่าน้ำมันได้เกือบ 2 พันล้านบาทต่อปี
"กว่าจะได้น้ำมัน 1 ลิตร ต้องใช้ซากพืช ซากสัตว์กว่า 2.5 หมื่นกิโลกรัม ใช้เวลากว่าล้านปี แต่เมื่อมาเติมรถยนต์กลับขับขี่ได้แค่ 7.10 กม. ถือเป็นต้นทุนที่สูงมาก ทั้งด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม ก๊าซพิษที่ทำลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หลายหน่วยงานจึงร่วมรณรงค์ให้เกิดการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การเดิน การใช้จักรยาน ที่มีประโยชน์โดยตรงต่อสุขภาพ และลดมลภาวะเป็นพิษอย่างยั่งยืน"
ทพ.กฤษดากล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ที่ชาวจักรยานหลายพันคนร่วมแปรขบวนเป็นรูปแผนที่ประเทศไทยความยาว 95 เมตร และธงชาติไทยยาว 30 เมตร รวมถึงขบวนจักรยานและขบวนคนเดิน จาก 6 แห่ง คือ 1.สยามพารากอน 2.ดิเอ็มโพเรียม 3.ตึกช้าง สี่แยกรัชโยธิน 4.สวนวชิรเบญทัศ (สวนรถไฟ) 5.เดอะมอลล์บางกะปิ 6.สวนลุมพินี และกิจกรรมที่จัดขึ้นพร้อมกันในอีก 40 จังหวัด แสดงให้เห็นว่าพวกเรายืนยันที่จะร่วมกันลดการใช้พลังงานในทุกรูปแบบตลอดไป และรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนไทยลดการใช้พลังงานให้มากขึ้น
นายยุทธศักดิ์ ร่มฉัตรทอง รอง ผอ.สำนักงานการจราจรและขนส่ง กทม. กล่าวว่าการรณรงค์ให้ประชาชนลดการใช้รถ ยนต์ส่วนบุคคล หันมาใช้รถขนส่งมวลชน ใช้รถจักรยาน หรือการเดิน เป็นนโยบายหลักของ กทม. เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศ และยกระดับคุณภาพอากาศให้ดีขึ้น รวมทั้งลดปัญหาการจราจรติดขัด การเกิดอุบัติเหตุ ช่วยประหยัดน้ำมัน นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนเมืองดีขึ้น ซึ่งกรุงเทพมหานครขอเป็นหน่วยงานต้นแบบในการร่วมรณรงค์ โดยวัน ที่ 22 กัยยายนนี้ ข้าราชการและลูกจ้างในสังกัดกรุงเทพมหานครกว่า 80,000 คน จะร่วมแรงร่วมใจกัน งดใช้รถส่วนบุคคลในการเดินทางไปกลับที่ทำงาน ยกเว้นกรณีจำเป็นก็ต้องเป็น Car pool ทางเดียวกัน ไปด้วยกัน ที่มีผู้โดยสารตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ภาพประกอบจาก kapook.com และทางอินเทอร์เน็ต
วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551
วิธีกินอาหารให้อร่อย
หลายคนคงคิดว่า
แค่กินอาหารจะเอาอะไรมากมาย
เอาใส่ปาก...เคี้ยงลงท้องได้ก็อร่อยแล้วล่ะ
ก็คงจะใช่ค่ะ...
แต่ว่า...หากว่าไม่ชอบ
ความอร่อยก็อันตรธานหายไปตั้งแต่คิดแล้วล่ะ แห่ะๆ^^
ฉันเป็นคนชอบกินเห็ด
(ไม่มีคนถามหรอก..แต่อยากบอกอย่างนั้นจริงๆ)^^
โดยเฉพาะตอนเด็กๆทั้งชอบกินชอบหา
แต่พอโตขึ้นมาชอบมีคนทำให้กินที่สุดเลย
ไม่ว่าจะเป็นแกงเห็ด ป่นเห็ด อ่อมเห็ด
นึ่งเห็ด ผัดเห็ด และอีกสารพัดเมนูเห็ด
จนบางทีแม่บอกว่า
มันจะกินอะไรได้แทบทุกวันแถมทุกมื้อ
ช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้
เป็นฤดูแห่งการเกิดเห็ดต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นเห็ดละโงก
เห็ดปวก(เห็ดโคน) เห็ดไค
เห็ดถ่าน เห็ดก่อ เห็ดผึ้ง
เห็ดดิน เห็ดตาโล่
ขับรถผ่านร้านค้ากลางดงทุกเช้าเย็น
เห็นเห็ดน้ำลายฟูมฟายอยากจะกิน
บางที…เห็นตอนเช้าก็แวะจิกซื้อไว้ก่อนเลย
พอถึงที่ทำงาน…แรกๆเพื่อนร่วมงานก็ออนซอนกะเรา
พอเห็นบ่อยๆ เค้าก็พากันหัวเราะว่ากินบ่อยๆไม่เบื่อเหรอ
อ้าว…ก็คนมันชอบ
ชอบกิน กินกี่ครั้งๆมันก็ยังอร่อยอ่ะ
ตอนนี้หันเห..มากินกบกินปลาตามฤดูกาล
น่าน! อย่าเพิ่งตกอกตกใจเพราะได้ยินชื่อกบนา..
กบ…ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด
หากว่าเราได้อยู่ใกล้ชิดกะมันบ่อยๆ
ได้สัมผัสเสียงอ้บๆ เวลาฝนตก
โอ้…จับได้เยอะๆนี่มีเมนูให้จัดการกบนั้นเพียบ
ไม่ว่าจะต้ม จะปิ้ง จะฟักหมก
จะอ่อมใส่ผัก จะผัดกะเพรากบ
จะอะไรก็ได้ที่ไม่จับกินตัวเป็นๆ
อร่อยทั้งนั้นล่ะ ซู๊ดดดดดดดดด..ดด
เขียนเรื่องอาหารที่ชอบกิน
คนเขียนก็รู้สึกอร่อย แต่คนอ่านอาจจะพะอืดพะอม
ก็ต้องขออภัย…ค่ะ
- ศ.ดร. นายแพทย์วิทยา
นาควัชระ แนะว่า
เมื่ออยากกินอาหารให้อร่อย
จงนึกถึงความอร่อยของอาหารที่เราชอบ
จะคิดชอบหลายๆอย่างก็ได้
จนในที่สุดเราจะชอบอาหารทุกอย่าง
และรู้สึกอร่อยทุกอย่าง
โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกันเอง
หรือนำไปเปรียบเทียบกับที่คนอื่นชอบ - อย่านึกถึงความไม่อร่อย
- ไม่เปรียบเทียบ และไม่นึกว่าเป็นรสนิยมวิไลของเรา
ที่ใครๆแตะต้องวิจารณ์ไม่ได้
อาหารจะอร่อยขึ้นทุกอย่าง
แม้จะแลดูเป็นอาหารพื้นๆก็ตาม
ว่าแล้วมีใครอยากแอ้มขาโต้ย…และขาก้อยกบเอ้บไหมหนอ อิอิ:P
อยากบอกว่า…หากใครได้ลิ้มลองขากบแล้วจะติดใจ
ไม่มีวันลืม เพราะขากบเมื่อเข้าถึงเนื้อในขาวนัวนั้น
ยั่วน้ำลายไหลได้เชียวล่ะ 555..5
ปล. กบสาวปลายฝนต้นหนาวยิ่งมัน
จับขาโต้ยตุ้ยกะส้มตำ แซ่บหลายเด้อค่ะ
ปล.1 เมื่อหลายปีก่อนกบเชื่อง จับได้ง่ายๆ
แต่กบสมัยใหม่ ฉลาดค่ะ คนยังเดินไม่ถึงตัว
มันโดดลงน้ำเฉยเลย …ดีไม่ดีมันโผล่หน้า
ปั้นน้ำลายเป็นฟองยั่วให้จับอีกต่างหาก :D
บางทีกบก็น่าสงสารค่ะ
แต่จะทำไงได้…ก็มันดันอยากเกิดเป็นอาหารคนทำไมล่ะ
เอาเป็นว่าเกิดชาติหน้าหรือชาติใดก็ตามแต่ขอให้กบที่ผ่านการกินโดย
อิฉันจงไปดีๆ อย่าเกิดเป็นอาหารคนล่ะกัน แต่ว่าถ้าหากรักชีวิตกบอยู่
ก็จงเกิดมาให้อิฉันได้กินอีกเช่นเคย สาธุ๊ๆ ( ^O^)
อ้บๆๆๆ ^^
“คงมีใครบางคน
ที่เฝ้าคอยหาว่าคู่แท้
ของตัวเองนั้นอยู่ที่ไหน
ไม่ว่าจะมีคนเข้ามาในชีวิต
กี่คนก็ไม่ถูกใจสักที
เพราะคาดหวังว่า
คู่แท้ของตัวเอง
จะต้องดีเลิศทุกสิ่ง
จนบางครั้งทำให้
มองข้ามคนดีๆ
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
และกว่าจะรู้สึกตัวว่า
มีคนที่ดีคนนั้นอยู่ข้างๆ
นั้น…ก็สายไปเสียแล้ว”
ขณะที่อาจารย์กับเหล่าลูกศิษย์
กำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
บนสนามหญ้าอันกว้างใหญ่
ทันใดนั้นลูกศิษย์คนหนึ่งก็ถามขึ้นมาว่า
ลูกศิษย์ : อาจารย์ครับ ผมสงสัยว่า
เราจะหาคู่แท้ของเราเจอได้อย่างไรครับ
อาจารย์บอกผมหน่อยได้ไหมครับ
อาจารย์ : อืมมม…มันเป็นคำถามที่ยากนะ
ในขณะเดียวกันมันก็เป็นคำถามที่ง่ายเหมือนกันนะ
ลูกศิษย์ : ผมไม่เข้าใจครับ
อาจารย์ : โอเค ถ้าอย่างนั้น เธอลองมองไปทางนั้นนะ
ตรงนั้นน่ะ มีหญ้าเยอะแยะเลยใช่ไหม เธอลองเดินไปหาต้นหญ้าที่สวยที่สุด
แล้วเด็ดมาให้อาจารย์ดูสิ ต้นเดียวเท่านั้นนะ แต่เวลาเธอเดิน
เธอต้องเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวนะ ห้ามเดินถอยหลัง เข้าใจไหม
ลูกศิษย์ : ได้เลยครับ
ว่าแล้วก็วิ่งตรงไปยังสนามหญ้า
หลังจากนั้นไม่นาน…
ลูกศิษย์ : ผมกลับมาแล้วครับอาจารย์
อาจารย์ : อืม..แต่ทำไมอาจารย์ไม่เห็นต้นหญ้าสวยๆในมือเธอเลยล่ะ
ลูกศิษย์ :อ๋อ..คืออย่างนี้ครับอาจารย์ ตอนที่ผมเดินไปแล้วผมเจอต้นหญ้าสวยๆ
ผมก็คิดว่า เดี๋ยวก็คงเจอต้นที่สวยกว่านี้ ดังนั้นผมก็เลยไม่เด็ดมัน
แล้วผมก็เดินไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีมันก็สุดสนามหญ้าแล้วครับ
จะเดินกลับก็ไม่ได้ เพราะอาจารย์สั่งห้ามไว้
อาจารย์ : นั่นแหล่ะ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงล่ะ
ต้นหญ้า ก็คือ “คนที่อยู่รอบๆตัวคุณ” ต้นหญ้าที่สวยงาม ก็คือ
“คนที่คุณชอบ หรือคนที่ดึงดูดใจคุณ”
ทุ่งหญ้า ก็คือ “เวลา” เวลาที่คุณจะหาคู่แท้ของคุณ
อย่ามัวแต่เปรียบเทียบ แล้วคิดว่าคงจะมีที่ดีกว่านี้
เพราะถ้าคุณมัวแต่เปรียบเทียบ
คุณจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
อย่าลืมว่า “เวลาไม่เคยย้อนกลับ”
เรื่องราวนี้…เคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง
เมื่อหลายปีก่อน…
เป็นหนึ่งความรู้สึกที่ผู้เขียนเคยอ่าน
แล้วบันทึกเป็นความทรงจำฝากใจไว้
ให้ตัวเองคิด….เรื่อยมา
^^
เก็บไว้คิดคนเดียว…ก็ดี
หากว่าได้แบ่งกันอ่านเรื่องนี้บ้าง…คงดีกว่า
^^”
ศิลปะการปลอบใจตัวเอง
ทั้งหลายในโลก ล้วนมีศิลปะและวิธีปลอบใจตัวเองทั้งนั้น
การปลอบใจตัวเองไม่ใช่เป็นเรื่องของคนขี้แพ้
หรืออ่อนแอเลย แต่เป็นกลไกชีวิตที่ทุกคนควรมี
และฝึกให้ชำนาญ
การปลอบใจตัวเองได้นั้น เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะก้าวไปสู่
การให้กำลังใจตัวเอง และการสร้างความเชื่อมั่นตัวเองต่อไป
แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ แค่รู้จักปลอบใจตัวเองก็มีความสุขมากแล้ว
จิตใจต้องการการปลอบ
จิตใจมนุษย์มีส่วนของความอ่อนแอและแข็งแกร่ง
ปนอยู่ด้วยกัน เช่น
ผู้หญิงบางคนเป็นคนจิตใจอ่อนโยน อ่อนแอ สงสารสัตว์
ชอบทำบุญ ไม่ชอบความก้าวร้าวรุนแรง
แต่ทำไมพอรู้ว่าแฟนมีชู้จึงเอาปืนไปยิงหรือเอามีดไปฆ่าแฟนได้
นั่นก็คือ ในจิตใจของมนุษย์มีทั้งสัญชาตญาณของ
การอยากมีชีวิตอยู่ (Live Instinct) และสัญชาตญาณของการ
ทำลาย(Death Instinct )
ทั้งสองสัญชาตญาณนี้จะปะปนกันอยู่ทุกขณะ
และแสดงออกได้เสมอตามสิ่งเร้าและทัศนคติที่เปลี่ยนแปลง
จิตใจของมนุษย์จึงต้องการการปลอบ เพื่อให้เกิดสมดุล
ถ้าจิตอยู่ในส่วนที่อ่อนแอเกินไปก็ต้องการปลอบให้เข้มแข็งขึ้น
ถ้าจิตใจอยู่ในส่วนที่กร้าวกระด้างเกินไปก็ต้องการปลอบโยนให้อ่อนโยนลง
ไม่เช่นนั้น…มนุษย์จะเสียสมดุลในการดำเนินชีวิต คือ
จะมีส่วนที่อ่อนแอ – อ่อนโยนมากเกินไป หรือมีส่วนที่กร้าว
กระด้าง-โหดร้ายมากเกินไป ซึ่งไม่ดีทั้งสองอย่าง
ตอนเด็กๆก็ได้พ่อแม่ ช่วยปลอบใจ
ซึ่งก็มีทั้งถูกใจและไม่ถูกใจ
โตขึ้นมาก็มีครู อาจารย์(แห่ะๆ)
เพื่อน คนรัก(อี๊)
ซึ่งก็เช่นเดียวกัน มีทั้งปลอบได้ถูกใจและไม่ถูกใจ
บางคนปลอบใจไม่เป็น
ยิ่งเหมือนไปยุให้ก้าวร้าวหรืออ่อนแอมากขึ้น
การปลอบใจตัวเองสำคัญกว่า
การจะหาใครสักคนมาปลอบใจตัวเองนั้น
หาได้ยากมาก หรือหาไม่ได้ ก็…อย่าท้อแท้ผิดหวังไปเลย
หันมาใช้วิธีปลอบใจตัวเองดีกว่า
และฝึกไว้เสมอๆจนชำนาญ
(จะให้ดีเชี่ยวชาญพิเศษกว่า คศ. 3 เลย…อิอิ)
เคยอ่านและดูสารคดีเกี่ยวกับคนเป็นโรคเอดส์
ในโลกที่เขาอยู่จัดตั้งโครงการช่วยคนเป็นเอดส์ด้วยกัน
บางคนออกมาจัดคอนเสริ์ตช่วยเหลือกันเอง
บางคนแรกๆก็ปิดตัวด้วยความอายและกลัวตาย
หมดกำลังใจ แต่แล้วก็เปิดเผยตัวเองกับครอบครัว
และใช้ชีวิตตามปกติ ทำงาน และช่วยปลอบใจคนอื่นไปด้วย
ปรากฏว่าเขามีชีวิตอยู่ได้ยาวนานขึ้น
จิตใจของมนุษย์นั้นสามารถปลอบใจให้เชื่องได้
ถ้าได้รับการปลอบให้เป็น ทั้งโดยตัวเองหรือจากสิ่งแวดล้อม
จากนั้น ใจจะมีพลัง อยากมีชีวิตอยู่
อยากสร้างสรรค์ ทำให้เกิดภูมิต้านทานชีวิตทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ(จิตแพทย์) เสนอแนะว่า
ถ้ารู้ว่าตัวเองกำลังอ่อนแอจนไม่อยากทำกิจกรรมประจำวันเหมือนเดิม
หรือเริ่มก้าวร้าวกับตัวเองและคนอื่น
จนคิดว่าจะอยู่ต่อไปได้ลำบาก แสดงว่าท่านต้องการปลอบใจแล้ว
ลองๆนึกถึงกิจกรรมหรือวิธีดังต่อไปนี้ดู
1. สัมผัสตัวเองแบบมิตร
2. กล่าวแบบเป็นมิตรกับตัวเอง
“ฉันเป็นเพื่อนตัวเองได้นะ”
“ฉันจะรักชีวิตของฉันให้ได้”
เมื่อสงบใจได้แล้ว…ลองกล่าวประโยคที่ว่า
“ไม่มีใครรักฉันเท่าตัวฉันหรอก”
“ไม่มีใครรักฉันเพื่อตัวฉันหรอก”
ทั้งสองประโยคนี้เป็นความจริง
ซึ่งฟังตอนแรกๆอาจจะใจหาย
แต่เมื่อกล่าวประจำบ่อยๆ จะทำให้รู้สึกว่าตัวเอง
จะต้องรักและพึ่งพาตัวเองให้ได้ จะลดความอยากได้
ความรักหรือความช่วยเหลือจากคนอื่นลง
3. ทำกิจกรรมที่ดีๆต่อไป อย่าอยู่ลำพัง
ลุกขึ้นจากที่นอนหรือเก้าอี้ ล้างมือ ล้างหน้า
หรืออาบน้ำ จิตนาการให้ความเย็นของน้ำล้างอารมณ์ที่ไม่ดีออกไป
แล้วก้าวเดินออกไปนอกบ้านเพื่อทำอะไรบางสิ่งบางอย่าง เช่นเดินเร็วๆวิ่งช้า
แล้วใช้พฤติกรรมข้อ 1,2 ไปด้วย
ถ้าจะฟังเพลงให้ฟังเพลงที่ปลอบใจ ไม่ใช่ซ้ำเติม
1. สร้างสติและปัญญา ให้มองเพื่อนมนุษย์ทุกคนทั้งที่รู้จัก
และไม่รู้จักด้วยสายตาแบบชาวพุทธ คือเชื่อว่าทุกคน
เกิดมามีกรรมที่ทำมาในอดีตติดตัวแล้วทั้งนั้น
จึงต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ และต้องมีทุกข์จากกรรมที่เคยกระทำไว้
ในอดีตทุกคน
โดยหวังว่าผลจากการทำความดี(กรรมดี) จะทำให้เราพ้นทุกข์
และมีความสุขมากขึ้นในอนาคตต่อไป
ความเชื่อที่ดีๆ จะทำให้เราลงมือทำสิ่งดีๆที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง
และผู้อื่นเสมอ เกิดความสุขร่วมกัน
2. หาวิธีลดความคาดหวังลง
ลดความต้องการลง ความทุกข์และความผิดหวังจากความคาดหวัง
ที่มากก็จะลดน้อยลง สิ่งที่เราอยากได้มากๆ มักได้แก่
อำนาจ ชื่อเสียง เงินทอง ตำแหน่ง เซ็กส์ อาหาร
ความสมบูรณ์ของรูปร่างหน้าตา ซึ่งได้มาเท่าไร
หรือมีเท่าไรก็ไม่เคยพอ
ยุคนี้มีคนต้องการความเก่งมากๆ
ความดีมากๆ ความสุขมากๆ
ถ้าใครต้องการสิ่งเหล่านี้มากเท่าใด
ก็จะยิ่งไม่ได้หรือได้มา…ก็ไม่สมใจมากเท่านั้น
ทำให้ทุกข์มากขึ้น
3. ลดอัตตาลงด้วย
ถ้าใครมีอัตตาหรืออีโก้หรือความหยิ่งในตัวเอง
ความคิดถึงตัวเองเสมอๆจะทำให้เกิดความทุกข์ได้ง่าย
ต้องพยายามลดลง
ลองทำดูเถิดโดยเฉพาะในยามทุกข์
และต้องการการปลอบใจ
โดยให้เริ่มปลอบใจตัวเองให้ได้
เราจะเกิดพลังของความอยากอยู่
และใช้ชีวิตตามปกติต่อไป
เสรีนี้หนึ่งเดียว (4)
ผ่องพรรณพราวพร่างกระจ่างใส
รุ่งโรจน์เรืองรองเต็มห้องใจ
พิสุทธิ์ใสสุกสว่างแม้กลางวัน
ทรงสิทธิ์สูงศักดิ์แด่นักฝัน
ตราตรึงซื้งสนิทนิจนิรันดร์
หวังสักวันจะก้าวล่วงสู่ดวงดาว
ฟ้าครามกับน้ำหลาก
สองฝั่งฟากสุดสายตา
ขอบน้ำจรดโค้งฟ้า
ราวจะพบบรรจบกัน
แท้จริงยิ่งห่างไกล
ยิ่งวิ่งไล่ยิ่งเหมือนฝัน
ชีวิตน้อยนิดนั้น
จึงหยุดลงที่ตรงนี้
ตรงใจใสสว่าง
หลีกหลุมพรางห่างโลกีย์
รู้จริงทุกสิ่งมี
แล้วขึ้นฝั่งพ้นวังวน
ก็เท่านี้แหละชีวิต
ป่วยการคิดให้อับเฉา
เมื่อวันนี้ยังมีเรา
ต้องย่างเท้าก้าวต่อไป
ก้าวไปไม่ลดละ
อนาคตย่อมสดใส
แม้อาจพลั้งพลาดไป
หากก้าวใหม่จะมั่นคง
........................^_^......
ที่มา : เรื่อง ....เสรีนี้หนึ่งเดียว โดย อิสรา สำนักพิมพ์ ฟ้าอภัย. 2535.
ภาพ...google..ดวงดาว สายน้ำ ธรรมชาติ
วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551
สมบัติของผู้ดี (2)
วันนี้นำเสนอ สมบัติของผู้ดีภาคห้า และภาคหก ตอนจบค่ะ เป็นกิริยาง่าย ๆ ที่เราสามารถทำให้ดีได้ในชีวิตประจำวัน ขอเชิญติดตามได้แล้วค่ะ
ภาคห้า : ผู้ดีย่อมเป็นผู้ที่มีสง่า
กายจริยา
1. ย่อมมีกิริยา อันผึ่งผาย องอาจ
2. จะยืนจะนั่งย่อมอยู่ในลำดับอันสมควร
3. ย่อมไม่เป็นผู้สะทกสะท้านงกเงิ่น หยุด ๆ ยั้ง ๆ
วจีจริยา
1. ย่อมพูดจาฉะฉาน ชัดถ้อยความ ไม่อุบอิบ อ้อมแอ้ม
มโนจริยา
1. ย่อมมีความรู้จักงาม รู้จักดี
2. ย่อมมีอัชฌาศัยอันกว้างขวาง เข้าไหนเข้าได้
3. ย่อมมีอัชฌาศัยเป็นนักเลง ใครจะพูดหรือเล่นอันใดก็เข้าใจและต่อติด
4. ย่อมมีความเข้าใจ ว่องไว ไหวพริบ รู้เท่าถึงการณ์
5. ย่อมมีใจอันองอาจ กล้าหาญ
ภาคหก : ผู้ดีย่อมปฏิบัติการงานดี
กายจริยา
1. ย่อมทำการอยู่ในระเบียบแบบแผน
2. ย่อมไม่ถ่วงเวลาให้ผู้อื่นคอย
3. ย่อมไม่ละเลยที่จะตอบจดหมาย
4. ย่อมทำการแต่ต่อหน้า
วจีจริยา
1. พูดสิ่งใดย่อมให้เป็นที่เชื่อถือได้
2. ย่อมไม่รับวาจาคล่อง ๆ โดยมิได้เห็นว่าการจะเป็นได้หรือไม่
มโนจริยา
1. ย่อมเป็นผู้รักษาความสัตย์ในเวลา
2. ย่อมไม่เป็นผู้เกียจคร้าน
3. ย่อมไม่เข้าใจว่า ผู้ดีทำอะไรด้วยตนไม่ได้
4. ย่อมไม่เพลิดเพลินจนละเลยให้การเสีย
5. ย่อมเป็นผู้รักษาความเป็นระเบียบ
6. ย่อมเป็นผู้อยู่ในบังคับบัญชา เมื่ออยู่ในหน้าที่
ที่มา : เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี. แบบเรียนจรรยา ‘สมบัติของผู้ดี’ พิมพ์ครั้งที่ 17 . พระนคร : ไทยวัฒนาพานิช 2492. หน้า 8-9
บันทึกของหลานสาว : เจ๋เจ้ IV,V,VI
Jeje IV
วันนี้แม่พาเจ๋เจ้ไปเที่ยวหาน้องแป้งที่บ้านลุง
เจ๋เจ้ : น้องแป้งอยู่ป่าว
อากิ๋ม : น้องแป้งไม่อยู่ ไปสมัครเรียนโรงเรียนจ๊ะ
เจ๋เจ้ : แม่ กลับเหอะ น้องแป้งไม่อยู่ ไปซื้อก๋วยเตี๋ยว
แม่ & อากิ๋ม :D :D :D
Jeje V
ทุกครั้งที่เจอฝรั่งเดินผ่านหน้าบ้าน
เจ๋เจ้ : GOOD MORNINGGGG
ฝรั่ง : (หันมายิ้ม) :D
คนในบ้าน : เฮ้อ เมื่อไหร่เจ๋เจ้มันจะพูด Good Afternoon, Good Evening ได้สักทีวะ (อ้ายอาย)
Jeje VI
ณ วันตรุษจีน
พาเจ๋เจ้ไปไหว้บรรพบุรุษ ของ(กิน)ไหว้เต็มโต๊ะไปหมด
เจ๋เจ้ (บ่นพรึมพรำๆ): เสียดายจัง อา(เหล่า)ม่าจะกินหมดเหร้อ..
^ ^
วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551
เสรีนี้หนึ่งเดียว (3)
แต่อิสระย่อมสูงส่ง
นกน้อยในกรอบกรง
ฤารู้ค่าฟ้าเสรี
คิดถึงนะคิดถึง
ทั้งซาบซึ้งคุณความดี
แต่งานยังมากมี
มิอาจล้มอุดมการณ์
ขอฝึกให้กล้าแกร่ง
ทั้งเรี่ยวแรงและวิญญาณ
แปรรักเป็นแรงงาน
ช่วยสร้างหวังกำลังใจ
จะเพาะเมล็ดพันธุ์
หว่านรักนั้นกระจายไกล
มอบแด่ผู้ยากไร้
และฝูงชนในแผ่นดิน
จงโผผินบินฝ่าสู่ฟ้ากว้าง
แม้อ้างว้างเหว่ว้าก็อย่าถอย
เรียนรู้ ฝึกฝน อดทน คอย
อุปสรรคมากน้อยค่อยสร่างซา
ที่โค้งรุ้งทาบแสงตะวันฉาย
คือจุดหมายปลายทางเห็นข้างหน้า
ด้วยดวงใจ ด้วยปีกแกร่งแรงศรัทธา
จะฟันฝ่าสู่เสรีแห่งชีวิต
ที่มา : เรื่อง ....เสรีนี้หนึ่งเดียว โดย อิสรา สำนักพิมพ์ ฟ้าอภัย. 2535.
ภาพ ...canon digital IXUS 60 ...สีตะวัน
สมบัติของผู้ดี
เมื่อวันก่อนได้ดูข่าวบันเทิง ทางทีวี มีข่าวว่าจะมีการทำการ์ตูนแอมิเนชั่น เรื่องสมบัติของผู้ดี ออกอากาศเป็นตอน ๆ (ขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการ) ซึ่งตรงกับความตั้งใจพอดีว่าจะนำเสนอเรื่องสมบัติของผู้ดี ของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ที่จดบันทึกไว้ในไดอารี่ เมื่อปี 2531 ครั้งแรกเกรงว่าจะเก่าเกินไป แต่เมื่อเห็นมีคนคิดทำเป็นการ์ตูนแอมิเนชั่นนำเสนอ จึงมั่นใจที่จะนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง มีทั้งหมดหลายภาค แต่ที่บันทึกไว้ จะเป็นภาคที่สามารถเข้าใจง่ายและนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน หรือนำไปสั่งสอนลูกหลานและเตือนตัวเองได้ (ในบางครั้ง) คิดว่าจะมีประโยชน์บ้างนะคะ
สมบัติของผู้ดี
ภาคสอง : ผู้ดี ย่อมไม่ทำอุจาดลามก
1. ย่อมใช้เสื้อผ้า เครื่องแต่งตัวอันสะอาด และแต่งโดยเรียบร้อยเสมอ
2. ย่อมไม่แต่งตัวในที่แจ้ง
3. ย่อมไม่จิ้ม ควัก ล้วง แคะ แกะ เการ่างกายในที่ชุมชน
4. ย่อมไม่กระทำการที่ควรจะทำในที่ลับ ในที่แจ้ง
5. ย่อมไม่หาว เรอ ให้ปรากฏในที่ชุมชน
6. ย่อมไม่จามโดยสียงอันดัง และโดยไม่ป้องกำบัง
7. ย่อมไม่บ้วนขาก ด้วยเสียงอันดัง หรือให้เปรอะเปื้อนให้เป็นที่รังเกียจ
8. ย่อมไม่ลุกลนเลอะเทอะ มูมมามในการบริโภค
9. ย่อมไม่ถูกต้อง หรือหยิบยื่นสิ่งที่ผู้อื่นจะบริโภคด้วยมือตน
10. ย่อมไม่ล่วงล้ำข้ามหยิบของบริโภคผ่านหน้าผู้อื่น ซึ่งควรขอโทษและขอให้เขาส่งได้
11. ย่อมไม่ละลาบละล้วงเอาของผู้อื่นมาใช้ในการบริโภค เช่น ถ้วยน้ำ และผ้าเช็ดมือ
12. ย่อมไม่เอาเครื่องใช้ของตน เช่น ช้อน ส้อม ไปล้วงตักสิ่งบริโภคซึ่งเป็นของกลาง
13. ย่อมระวัง ไม่พูดจาตรงหน้าผู้อื่นให้ใกล้ชิดเหลือเกิน
วจีจริยา
1. ย่อมไม่กล่าวถึงสิ่งโสโครกพึงรังเกียจ ในท่ามกลางประชุมชน
2. ย่อมไม่กล่าวถึงสิ่งควรปิดบัง ในท่ามกลางประชุมชน
มโนจริยา
1. ย่อมพึงใจที่จะรักษาความสะอาด
ภาคสาม : ผู้ดีย่อมมีสัมมาคารวะ
1. ย่อมนั่งด้วยกิริยาอันสุภาพ เฉพาะหน้าผู้ใหญ่
2. ย่อมไม่ขึ้นหน้าผ่านผู้ใหญ่
3. ย่อมไม่หันหลังให้ผู้ใหญ่
4. ย่อมแหวกที่หรือให้ที่นั่งอันสมควรแก่ผู้ใหญ่หรือสตรี
5. ย่อมไม่ทัดหรือคาบบุหรี่ คาบกล้อง และสูบให้ควันไปรมผู้อื่น
6. ย่อมเปิดหมวกเมื่อเข้าชายคาบ้านผู้อื่น
7. ย่อมเปิดหมวกในที่เคารพ เช่น โบสถ์ วิหาร ไม่ว่าแห่งศาสนาใด
8. ผู้น้อยย่อมเคารพผู้ใหญ่ก่อน
9. ผู้ชายย่อมเคารพผู้หญิงก่อน
10. ผู้ลาย่อมเป็นผู้เคารพก่อน
11. ผู้เห็นก่อนโดยมากย่อมเคารพก่อน
12. แม้ผู้ใดเคารพก่อน ต้องตอบเขาทุกคนไม่เฉยเสีย
วจีจริยา
1. ย่อมไม่พูดจาล้อเลียน หลอกลวงผู้ใหญ่
2. ย่อมไม่กล่าวร้ายถึงญาติมิตรที่รักใคร่นับถือของผู้ฟังแก่ผู้ฟัง
3. ย่อมไม่กล่าววาจาอันติเตียนสิ่งเคารพหรือที่เคารพของผู้อื่นแก่ตัวเขา
4. เมื่อจะขอทำล่วงเกินแก่ผู้ใด ต้องขออนุญาตตัวเขาก่อน
5. เมื่อตนทำพลาดพลั้งสิ่งใดแก่บุคคลใด ควรออกวาจาขอโทษเสมอ
6. เมื่อผู้ใดได้แสดงคุณต่อตนอย่างไร ควรออกวาจาขอบคุณเขาเสมอ
มโนจริยา
1. ย่อมเคารพ ยำเกรง บิดา-มารดา และอาจารย์
2. ย่อมนับถือ นอบน้อมต่อผู้ใหญ่
3. ย่อมมีความอ่อนหวานแก่ผู้น้อย
วันนี้ขอนำเสนอ สองภาคเบา ๆ ก่อนนะคะ พบกันใหม่ คราวหน้า ...สวัสดีค่ะ
ที่มา : เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี. แบบเรียนจรรยา ‘สมบัติของผู้ดี’ พิมพ์ครั้งที่ 17 . พระนคร : ไทยวัฒนาพานิช 2492. หน้า 8-9
เก็บตกจากไดอารี่ 2531
วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551
วิธีคลายปัญหา..(ความโกรธ)^^
"ควรทำอย่างไร???"
ปล. ไม่ใช้แสตนอิน ไม่ใช้เอฟเฟค
ไม่ใช้สลิง จริงทุกประการ ภาพนี้เพื่อนส่งมาให้ค่ะ :D
เพื่อให้วันนี้เป็นวันสดใส วันดีๆ
อ่านข้อความแล้วดูภาพประกอบเพื่อให้หายโกรธค่ะ
อิอิ..^^
วิธีสลัดเรื่องไร้สาระ..ออกจากใจ
"วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ"
Don't Sweat the Small Stuff
บทความที่นำมาเสนอจากหนังสือเรื่อง
Don't Sweat the Small Stuff
แต่งโดย : Richard Carlson
"ผู้แต่งเชื่อว่านิสัยเกิดจากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า
นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติและเกิดขึ้นบ่อยครั้งเสียจนเราไม่รู้สึก
ว่าเป็นสิ่งผิดปกติหรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข
แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต
ทำให้เราหมดกำลังใจ
และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย..."
1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที
ในช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน
เครียด อึดอัด มึนงง
เศร้าสลดหดหู่ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ
เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง
มองไม่เห็นทางออก
หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม
วิธีแก้ หยุดคิด ทำใจให้สบาย
ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจงึ ค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา
แก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อน
ปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันที
ก็ให้ค่อย ๆ
แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามี
กำลังใจมากขึ้น
ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน
และ
ความต่อเนื่องเป็นธรรมดา
จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา
คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น(Worst
case scenario)
แล้วทำ ใจยอมรับให้ได้
เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ
และในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้
จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป
2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด
ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลยบุคคลที่มีความคิดประเภทนี้จะมีจิตใจคับแคบ
ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่น
เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
นิดหนึ่งก็ไม่ได้นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้
ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด
สุขภาพเสื่อมโทรมโรคภัยรุมเร้าเพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้ รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง
ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง
ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง
พูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย
เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง
3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ
ทุกอย่างมีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของ
ตัวเอง
คนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง งานส่วนใหญ่มักจะ
ไม่มีสาระ ไม่สำคัญ
ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะ
ไม่ว่าง
กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความระมัดระวังทำให้ไม่รู้ตัวว่าตน
กำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่ เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ
น้อย
ๆ งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ
เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบ
สร้างผลงานมากขึ้นเพื่อชดเชยความผิด
แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจร
อุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุดวิธีแก้ เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตถามตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำ
กำลังพูด
และกำลังคิดอยู่นี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น
มีสติปัญญามากขึ้น
และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสีย เช่น
การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ
ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่า
ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก
ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า
ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา
อย่าสำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณ
สติ) สัก 15 นาที เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า
เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด (แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริตเพราะมี
มรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่แล้ว)
4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอดเวลา
ความคิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking)
ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลัง ชีวิต
ทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว การ
กระทำ คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรงวิธีแก้ ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ
เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้อง
สนใจ ไม่ต้องคิดต่อ
ให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที ให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่
ไม่เกิดเองตามธรรมชาติจะต้องสร้างขึ้นมาทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อม
กับความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา
ความอาฆาตพยาบาท
ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น
ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด
เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด
หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้
เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น
พยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น
มีความเครียดเป็นอาจิณ
วิธีแก้ เอาใจเขามาใส่ใจเรา
เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพูดหรือทำเช่นนั้น
และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น
ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น
การมีความคิดที่ขัดแย้งกัน
ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น
รับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อ ไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่องพิจารณาอารมณ์ของ
ตนเองว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่ง
อัตตาตัวกูของกู
6. คิดเอาชนะผู้อื่น
การโต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้องเป็นการสิ้นเปลือง
พลังงานโดยใช้เหตุ และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว
วิธีแก้ พูดเท่าที่จำเป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์
รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา
พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ
หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น
การทวงบุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ
เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเล
สงสัย
จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน
วิธีแก้ ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้ในที่นี้คือตัวเรานั่นเอง
ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน
ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้รับ คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่า
ช่วยเพราะเป็นญาติเรา หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับ
ไม่หวังผลตอบแทน
8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
การคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสน
เต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน
วิธีแก้ รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่
ทำแล้วเกิดผลอะไร
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ
เกลียด รำคาญและไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ทุกคน
แต่เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจเราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมาทางสี
หน้า แววตา น้ำเสียง และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหลาย นั้นในแง่
บวกเช่น คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงานให้เป็นระเบียบ
มากขึ้น หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่
จำเป็น เพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก
เป็นต้น
9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
การคิดน้อยใจในชะตากรรมของตัวเองเช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่
สวย เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น
การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจตัวเองแล้วยังทำให้ชีวิตจมปลักไม่
ก้าวหนา ไปไหน เพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งเดิม ๆ
วิธีแก้ จงพอใจในสิ่งที่ตนมี
และอย่าคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น
ระลึกและจดจำในสิ่งดี ๆ
ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง
รู้จักและยอมรับตนเองทั้งจุดเด่นและจุดด้อย
พัฒนาและใช้จุดเด่นของเราให้เป็นประโยชน์และปรับปรุงจุดด้อยหรือหาสิ่งอื่นมา
ทดแทน เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต
ลืมอดีตที่ขมขื่นเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คิดในแง่บวก
และพยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา
10. นิสัยมองโลกในแง่ร้ายและคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว
การคิดเช่นนี้จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดในแง่ลบให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ
มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ปัญหาเล็ก ๆ
ก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จิตใจคับแคบ
หาความสุขไม่ได้เพราะจะคอยจับผิดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้ คิดถึงประสบการณ์ดี ๆ
ที่เราได้รับจากคนรอบข้างเช่น
คิดถึงบุคคลที่มีบุญคุณหรือมีน้ำใจกับเรา
เป็นต้นพยายามมองโลกในแง่บวก
อย่าปล่อยให้จิตมันคิดเอง
11. คิดว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด
แก้เท่าไรก็ไม่หมดเสียที
การคิดเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วรังแต่จะเป็นตัวบ่อนทำลายกำลังใจ
ของเราเองเสียอีก
วิธีแก้ ให้มองปัญหาเสมือนด่านทดสอบความอดทน ตัวฝึกฝนทักษะในการ
แก้ปัญหา และเป็นแหล่งปัญญาที่หาไม่ได้จากในหนังสือ
มองปัญหาในแง่บวกว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่ความหายนะ
จะเกิดขึ้นก็ได้ ปัญหาทำให้เราเห็นข้อบกพร่องที่เราอาจจะมองข้ามไป
มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ อันไหนพอแก้ได้ก็ทำไป
ก่อน คิดในแง่บวกและตั้งจิตว่าจะประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา
12. คิดว่าเราเก่งกว่าผู้อื่น
ฉลาดกว่าผู้อื่น หรือร่ำรวยกว่าผู้อื่น
ความคิดเช่นนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสโอหัง
อวดดี ถือตัว มองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกดูแคลน วาจาจะรุนแรงและสามหาว
บุคคลรอบข้างจะรังเกียจ หมั่นไส้ และอิจฉาริษยา
ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว
วิธีแก้ ระมัดระวังคาํพูด ความคิด
และการกระทำ
ต้องมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หัดมองตัวเอง
เลิกเปรียบเทียบกับผู้อื่น
อยากวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
13. การด่าทอ เหน็บแนม
ประชดประชัน และวิพากษ์วิจารณ์
เป็นอกุศลวาจาที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น
ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้น
ความคิดเหล่านี้ยังเป็นที่มาของความโกรธ ความเกลียด
และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมนุษย์อีกด้วย
วิธีแก้ คิดก่อนพูดและไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิด
ถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์นิ่งเสียจะดีกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา
ในโลกนี้ไม่มีใครชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ตัวเราเอง
ที่มา : Fw:mail
ราคาเต็มของความรัก
หลังจากเช็ดมือ กับผ้ากันเปื้อนแล้วเธอก็ก้มลงอ่าน กระดาษที่ลูกชายยื่นให้ …
- ค่าตัดหญ้า 5.00 บาท
- ค่าทำความสะอาดห้องผมอาทิตย์นี้ 1.00 บาท
- ค่าซื้อของของให้แม่ 2.50 บาท
- ค่าดูแลน้องชาย 2.50 บาท
- ค่าเอาขยะไปทิ้ง 1.00 บาท
- ค่าได้คะแนนดี 5.00 บาท
- ค่ากวาดสนาม 2.00 บาท
- รวมค้างชำระ 19.00 บาท
เมื่อคุณแม่อ่านเสร็จแล้วก็หยิบปากกาขึ้น
มาพลิกกระดาษไปด้านหลังแล้วเขียนว่า
- เก้าเดือนที่แม่อุ้มท้อง …. ไม่คิดเงิน
- เวลาที่แม่พยาบาลลูก และสวดมนต์ให้ลูก… ไม่คิดเงิน
- ค่าที่ลูกทำให้แม่ต้องเสียน้ำตา.. ไม่คิดเงิน
- ของเล่น อาหาร เสื้อผ้าพาเที่ยว...ไม่คิดเงิน
- แม้แต่เช็ดน้ำมูกให้ ….. ไม่คิดเงินหรอกจ้ะลูก
เมื่อรวมทั้งหมดเป็นราคาเต็มของความรัก …… ไม่คิดเงินเหมือนกัน
เมื่อเด็กชายได้อ่านสิ่งที่คุณแม่เขียนไว้
น้ำตาหยดโตก็ไหลออกมา
เขาสบตากับแม่แล้วจึงพูดว่า
" แม่ครับผมรักแม่จริงๆ นะครับ"
แล้วเขาก็เอาปากกาเขียนหนังสือตัวโตว่า...
"จ่ายหมดแล้ว... แม่จ่ายหมด แล้ว แต่ลูกยังทอนให้ไม่หมด"
แห่ะๆ หนูก็ยังทอนให้แม่ไม่หมดเหมือนกันจ๊ะ
แล้วคุณล่ะคะ...??
วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551
นานา..สาระ เรื่องของความรัก
ช่วงนี้ หลายคนคงอยากปล่อยสมองให้ว่างเปล่า ไม่ต้องคิดอะไรมาก วันนี้จึงมีความรักมาฝากค่ะ ...ความ..รัก.. ความรัก คืออะไร ...แหะ !! ร้องเป็นเพลงก็ได้นะคะ
...รัก 16 แบบ ของมนุษย์
1. รักตนเอง
2. รักธรรมชาติ
3. รักหน้าที่
4. รักระหว่างเพศ
5. รักร่วมเพศ
6. รักรูป
7. รักคุณธรรม
8. รักอุดมคติ
9. รักบุพการี
10. รักสรรพสัตว์
11. รักบุตร
12. รักเพื่อน
13. รักชาติ
14 รักลูกน้อง
15. รักมนุษย์ชาติ
16. รักเมืองไทย
ข้อใดบ้าง? ที่คุณไม่มี ...
@ ทฤษฎีของความรัก
เลขคณิต : ความรักเหมือนทศนิยมไม่รู้จบ
ภาษาอังกฤษ : Love is like Oxygen.
วิทยาศาสตร์ : ความรักย่อมมีการทดลอง
เศรษฐศาสตร์ : รักแล้วต้องประหยัด น้ำแข็งเปล่า 1 หลอด 2
ภูมิศาสตร์ : ความรักมักมาพร้อมกับลมหนาว
การศึกษา : ความรักต้องมีการเรียนรู้
เรขาคณิต : ถ้าเส้นขนานของทิฐิ ตัดด้วยเส้นตรงแห่งอารมณ์ มุมแย้งที่ได้รับ เท่ากับความเสียใจเสมอ
ศิลปะ : ความรักคือความงาม
ภาษาไทย : ความรักรวดเร็วปานกามนิต
รัฐศาสตร์ : ครองรักยากกว่าครองเมือง
แม่เหล็ก : ดูดกันเมื่อรัก ผลักกันเมื่อหน่าย
ทันตศาสตร์ : ปวดฟันยังน้อยกว่าปวดรัก
แพทยศาสตร์ : ความรักเป็นทั้งหมอและยมทูต
พุทธศาสตร์ : ความรักคือความทุกข์
โภชนาการ : คนขาดความรัก อาการหนักว่าขาดอาหาร
ตรีโกณมิติ : เมื่อมุมใดมุมหนึ่งของการสบตา ความรักมักจะเป็นด้านที่ยาวที่สุด ของ สามเหลี่ยมมุมฉาก
วิศวกรรมศาสตร์ : รักมั่นคงต้องเทคอนกรีตเสริมเหล็ก
หน้าที่พลเมือง : ความรักไม่ต้องเสียภาษี
สุขศึกษา : ความรักเป็นยาแอสไพรินขนานเอก
ไฟฟ้า : ถ้าศักดาแห่งความรักมีค่าสูง แม้ฉนวนหนาก็มิอาจขวางกั้นได้
....โดนใจข้อไหนบ้างไหมคะ .......อยากให้ทุกคนมีความรักให้แก่กันและกันค่ะ
ในช่วง วัยเด็ก แรกเกิด ถึง 1 ปี (Infant peroid) เป็นช่วงสำคัญของชีวิต เด็กควรจะได้รับการเลี้ยงดู เอาใจใส่ อย่างใกล้ชิดจากพ่อแม่ ผู้ปกครองในทุกด้าน ต้องได้รับความรัก ความอบอุ่น ได้รับการตอบสนองทุกครั้งเมื่อร้องไห้ เพราะไม่เช่นนั้น เมื่อโตขึ้น เขาอาจจะมีพฤติกรรมเช่นนี้
1. ถือตัวเองเป็นใหญ่ ( ego centric)
2. มีความหวาดระแวง
3. มองโลกในแง่ร้าย
4. ชอบก้าวร้าวรุกรานคนอื่น
5. ขาดความเอื้อเฟื้อ
6. ขาดความเมตตา
วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551
จิตใจดี ครบรอบหนึ่งปี
สวัสดี สมาชิกจิตใจดี และผู้ที่เข้าชม Web ทุกท่านครับ
http://jit-jai-d.blogspot.com แห่งนี้ได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สาระ และบทความ มาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มแล้ว (ตั้งแ่ต่เดือน สค 2007)
ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เสมือนเป็นการเริ่มต้น จากประกายความคิดที่ว่า เราน่าจะมีสื่อ หรือช่องทาง (channel) สักที่ ที่รวบรวมเฉพาะข่าวดี ข้อมูลคนดี สาระดี ๆ เพื่อให้ผู้อ่านได้รับแต่สิ่งดี ๆ ผมเชื่อว่า คนเราถ้าได้รับข้อมูลดี ๆ ก็คิดดี ทำดี เป็นคนดี และสังคมจะดี ตามลำดับ
และนี่เองที่เป็นที่มา ของ http://jit-jai-d.blogspot.com
เราได้เริ่มสร้าง ชุมชนจิตใจดี ชุมชนเล็กๆ ที่แลกเปลี่ยนข้อมูลดี ๆ ให้แก่กัน ด้วยการให้สมาชิกสมัครรับข่าว สารทางอีเมลล์โดยตรง ทำให้สมาชิกไม่ต้องเข้ามาดูที่จิตใจดีเป็นประจำ ซึ่งผลปรากฎว่า เรามีสมาชิกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ย จะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นหนึ่งคนทุก ๆ สัปดาห์ ก็น่ายินดีครับ
ในขณะเดียวกัน เราก็มีผู้ที่อยากแบ่งปันข้อมูลดี ๆ ให้เพื่อน ๆ ปัจจุบันที่จิตใจดี มีผู้เขียนร่วมถึง 5 ท่าน ก็แวะมาแบ่งปันข้อมูลได้หลากหลายดี และที่สำคัญคือทำให้จิตใจดีแห่งนี้ไม่เหงา
และขอแนะนำผู้เขียนใหม่ สองท่าน (+ครึ่ง) ที่จิตใจดี นี้นะครับ
สองท่านเป็นผู้เขียนหน้าใหม่ไฟแรง ทำให้ จิตใจดี มีสีสรรค์และมีบทความ สาระที่หลากหลายดีมาก ๆ เลย ทั้งรูปภาพ ข้อคิด และการนำเสนอ น่าสนใจและน่าติดตามมาก ๆ
ส่วนอีก (+ครึ่ง) นั้นเป็น คุณ Jk แม้ไม่ได้มาเขียนที่นี่เป็นประำจำ แต่ส่งต้นฉบับ บันทึกของหลานสาว: เจ๋เจ้ มาให้ ซึ่งมีมากกว่า 20 ตอน ผมก็จะทยอยให้ผู้อ่านได้ติดตาม พัฒนาการของน้องเจ๋เจ้ และโลกของเ็ด็ก ๆ ให้ผู้อ่านได้อ่านไปอมยิ้มไป
สำหรับผู้อ่านท่านอื่นที่อยากเป็นผู้เขียนลงจิตใจดีบ้าง ก็ส่งอีเมลล์มาหาผมได้เลยนะครับ ทั้งสมัครเป็นผู้เขียนประจำ หรืออยากส่งเรื่องราว บทความ ข่าวสารมาให้เป็นครั้งคราวก็ได้
เราเปิดกว้างเสมอสำหรับผู้ที่ต้องการเผยแพร่ข่าวสาร และบทความดีๆ
เรื่องสุดท้าย ถ้าผู้อ่านสังเกตด้านซ้ายมือของ จิตใจดี จะเห็นว่าเรามีโฆษณาจาก Google ซึ่ง จะให้ค่าโฆษณาเมื่อมีคนคลิ๊กที่ลิงก์ต่าง ๆ และจะส่งเงินมาให้เมื่อยอดครบ $100 ขณะนี้รวมยอดแล้วได้ประมาณ $16 (เพราะได้ คลิ๊กละ 10 cents) ก็ค่อย ๆ ทยอยสะสมไป เมื่อครบได้รับเงิน $100 ผมก็จะนำเงินส่วนนี้ไปทำบุญ ก็ถือได้ว่านอกจากได้รับข้อมูลดี ๆ แล้ว ยังได้ทำบุญด้วย ก็ขออนุโมทนาด้วย หรือถ้าผู้ใดต้องการบริจาคสมทบทุนก็คลิ๊กตรง donation ได้โดยตรง
ขอขอบคุณทุกท่านนะครับ
pC
* รูปถ่ายจาก White Lake State Park โดย pC ด้วย Panasonic DMC-FZ20
ที่ผมเพิ่งไปตั้งเต้นท์นอนมา สงบ เงียบ และเป็นสุขดีครับ แล้วจะหาเวลามาเล่าให้ฟัง