วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2551

เวลาที่หายไป



วันนี้วันอาทิตย์ที่นี่ หรือเป็นเวลาเช้าวันจันทร์ที่เมืองไทย
ส่วนใหญ่แล้วผมจะนั่งเขียนบทความเอง
ไม่ได้ตัดข่าวเหมือนดังช่วงกลางสัปดาห์อย่างที่เคย

สำหรับสัปดาห์นี้ มีเรื่องแปลกหน่อย ให้ชื่อเรื่องว่า "เวลาที่หายไป"

เพราะเวลาของผม หายไปหนึ่งชั่วโมงจริง ๆ

ระหว่างที่นั่งทำงานอยู่เมื่อเวลา ตีสอง (2:00 น.) ของวันอาทิตย์ เข็มเวลาของคอมพิวเตอร์ก็เด้งไปที่ ตีสาม (3:00 น) โดยอัตโนมัติ ช่วงเวลา ตีสอง ถึง ตีสาม หายไปอย่างเรียกคืนไม่ได้ และไม่มีมาให้ผมได้ใช้เวลา

เหตุผลทำอย่างนี้ก็เพื่อจะได้ให้เห็นแสงอาทิตย์ในช่วงค่ำได้นานขึ้น
หรือที่เรียกว่าเป็น Daylight Saving นั่นเอง เนื่องจากช่วงนี้กำลังจะเข้าฤดูร้อน พระอาทิตย์จะขึ้นเช้ามาก จากตีห้าเป็นตีสี่ และจะตกราว ๆ สองทุ่ม ถ้าปรับเวลาเร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมงเราก็จะเห็นพระอาทิตย์ตอนหกโมงเช้า และเห็นพระอาทิตย์ตกราว ๆ สามทุ่ม ทำให้ในช่วงหัวค่ำก็ยังมีแสงอาทิตย์อยู่ สามารถเล่นกีฬา ทำกิจกรรม ได้มากมาย รวมทั้งประหยัดไฟฟ้าในครัวเรือนได้อีกด้วย

เสร็จแล้วเดี๋ยวพอเข้าฤดูหนาว เขาก็ปรับกลับมาเหมือนเดิมอีกที

ด้วยการทำอย่างนี้ แม้โดยส่วนตัว ผู้คนจะมีเวลาหายไป แต่สิ่งที่ได้โดยรวมคุ้มกว่ามาก ทั้งทางด้านการประหยัดไฟ ลดอาชญากรรม และ สุขภาพ (ได้รับแสงแดดมากขึ้น และออกกำลังมากขึ้น)


ผู้ที่เสนอ แนวคิดนี้ ก็คือ คุณเบญจามิน แฟรงกิน (คนที่ชักว่าวทดสอบไฟฟ้า คนที่เป็นต้นกำเนิดแนวคิดการบริหารเวลาแบบตั้งเป้าหมาย คนที่หลุมฝังศพของเขาอยู่ในเมืองบอสตั้น ฯลฯ) เขาเสนอแนวคิดนี้ในปี พ.ศ. 2327 โดยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ ทำให้เป็นเรื่องถกเถียงกันอยู่พอสมควร
ในขณะนั้น เพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่เป็นชาวนาชาวสวนไม่เห็นประโยชน์ที่จะได้รับ ซ้ำร้ายทำให้การนัดหมายของพวกเขาอาจคลาดเคลื่อน

"ระหว่างการอภิปราย​ใน​สภา​ ​มีสมาชิกคนหนึ่งที่​ไม่​เห็น​ด้วย​ ​พร้อมยกตัวอย่างว่า​ ​ตอนเปลี่ยน​จาก​เวลาถนอมแดดมา​เป็น​เวลามาตรฐาน​ (หมุนนาฬิกาถอย​ 1 ​ชม​.​ตอนตีสอง​ ​ก่อน​จะ​เข้า​หน้าหนาว) ​ถ้า​บังเอิญมีหญิงคนหนึ่งตั้งครรภ์​แฝดเกิดคลอดลูกคนแรกเวลา​ 01.58 ​น​. ​คนที่สองคลอดตามคนแรก​ 10 ​นาที​ ​แต่พอตีสอง​ ​เขา​ลดเวลา​เป็น​ตีหนึ่งตามที่กฎหมายกำ​หนด​ไว้​ ​ลูกคนที่สองก็​จะ​ถือว่า​เกิดเวลา​ 01.08 ​น​. ​กลาย​เป็น​ว่าคนน้องกลาย​เป็น​พี่​ ​อาจ​จะ​มีผลไป​ถึง​การแบ่งมรดก​ด้วย"

ก็เป็นเรื่องบังเอิญวุ่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการปรับเวลา


ในประเทศไทย คงไม่ได้ทำอย่างนี้ เพราะว่าเป็นประเทศติดเส้นศูนย์สูตร วันและคืนไม่ต่างกันมาก ทั้งในฤดูหนาวและฤดูร้อน แต่ผู้เขียนเคยได้ยินว่า มีแนวคิดที่จะปรับเวลาให้ตรงกับสิงคโปร์ เพื่อจะได้ ให้ตลาดหุ้นเปิดพร้อมกัน ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจ และคงเป็นเรื่องที่ได้ถกเถียงกันอีกแน่นอน


สำหรับช่วงนี้ บอสตั้น กับ ประเทศไทย เวลาจึงห่างกันแค่ 11 ชั่วโมง
(ไม่ใช่แค่กลับวันและคืน แต่เข็มเวลาเหมือนกัน ดังที่แล้วมา)

ข้อมูลจาก
wikipedia
วิชาการ.com




+++++++++++++
หลังจากมานั่งเสียดายเวลาที่หายไปแล้ว
เลยอยากจะจัดตารางเวลาให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นบ้าง

เลยหาข้อมูลเพิ่ม และได้มีโอกาสเข้าไปอ่านบทความดี ๆ ที่ blog ของ คุณบารมี
​นวนพรัตน์สกุล
ขออนุญาตตัดตอนเฉพาะเรื่อง "อีก 100 วันผมจะตาย" มาให้อ่านกัน

ใครที่ต้องการอ่านบทความเต็ม เชิญที่ http://baramee.wordpress.com/


=====
​"มีคนที่รักผมมากๆ​ ​คนหนึ่งมัก​จะ​ส่งบท​ความ​เกี่ยว​กับ​การดู​แลตัวเอง​และ​สุขภาพมา​ให้​อ่านเสมอ​ ​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​เรื่องการบริหารเวลา​ ​การ​ใส่​ใจ​ใน​สุขภาพของตัวเอง​ ​การ​ใส่​ใจคนรอบข้าง​ ​ฯลฯ​ ​เพราะ​ส่วน​ตัว​แล้ว​ผมมีปัญหาสุขภาพที่จำ​เป็น​ต้อง​พักผ่อนอย่างเพียงพอ​ ​แต่​ใน​ความ​เป็น​จริง​แล้ว​ ​ไม่​ว่า​ใครก็ควรพักผ่อนอย่างเพียงพอ​ ​มิฉะ​นั้น​แล้ว​ ​จาก​คนสุขภาพดีก็​จะ​กลาย​เป็น​คนสุขภาพแย่​ได้​ใน​ไม่​ช้า

​บท​ความ​ล่าสุดที่ผม​ได้​รับมา​ ​เป็น​บท​ความ​ของคุณสุทธิชัย​ ​หยุ่น​ ​ใน​ชื่อ​ “​กา​แฟดำ​” ​ซึ่ง​เขียนลง​ใน​นิตยสารชีวจิต​ ​ฉบับ​วันที่​ 16 ​กุมภาพันธ์​ 2550 ​ชื่อเรื่องว่า​ “​เมื่อหมอบอกว่า​ ​เขา​มีชีวิตเหลือ​ 100 ​วัน​”

เรื่องนี้​เป็น​เรื่องจริง​ใน​สหรัฐอเมริกา​ ​ที่​เกี่ยวพัน​กับ​บุคคลหนึ่ง​ซึ่ง​ประสบ​ความ​สำ​เร็จ​ใน​หน้าที่การงาน​เป็น​อย่างมาก​ ​แต่วันหนึ่งหมอก็ตรวจพบว่า​เขา​เป็น​มะ​เร็งสมองระยะสุดท้าย​ ​และ​มี​เวลา​เหลืออีกเพียง​ไม่​เกิน​ 100 ​วัน​เท่า​นั้น​ ​เขา​ก็​ต้อง​จาก​ลา​โลกนี้​ไป

​ชาย​ผู้​นี้ชื่อ​ ยูจีน​ ​โอเคลลี่ ​อายุ​เพียง​ 53 ​ปี​เท่า​นั้น​ ​มีครอบครัวที่อบอุ่น​ ​ลูกสาวเพิ่งเรียนชั้นมัธยม​ ​แต่​เขา​แทบ​ไม่​เคย​ใช้​เวลา​กับ​ครอบครัวเลย​ ​ไม่​ได้​ทานข้าวเย็น​กับ​ภรรยา​ ​ไม่​เคยไปร่วมงานโรงเรียนของลูก​ ​เพียง​เพราะ​ให้​ได้​ตำ​แหน่งที่สูงขึ้น​และ​ราย​ได้​เพิ่มขึ้น​ ​ภาย​ใต้​คำ​พูดที่สวยหรูที่ว่า​ “​ก็​เพราะ​รักครอบครัว​”

​เมื่อ​ ยูจีน ​รู้​เช่นนี้​ ​จึง​ปรับกระบวนชีวิตของ​เขา​ใหม่​ทั้ง​หมด​ ​เพื่อ​ให้​เวลา​ 100 ​วันที่​เหลือ​อยู่​ถูก​ใช้​ไปอย่างคุ้มค่า​ ​แม้มันดู​เหมือน​จะ​สายเกินไปก็ตาม​ ​เขา​ถึง​ขั้นเขียนหนังสือเล่มหนึ่งก่อนตายที่ชื่อว่า​ “Chasing Daylight” ​เพื่อหวัง​ให้​เป็น​ประ​โยชน์​แก่คนที่ทุ่มเท​กับ​การสร้างเนื้อสร้างตัว​และ​ราย​ได้​เพื่อครอบครัว​ ​และ​มุ่งหวัง​กับ​สิ่งที่​จะ​เกิดขึ้น​ใน​อนาคต​ ​ให้​ตระหนัก​ถึง​สิ่งที่​เป็น​อยู่​ใน​ปัจจุบันบ้าง

​และ​สิ่งที่​ ยูจีน ​ค้น​พบก่อนตายก็คือคำ​ว่า​ “​ปัจจุบัน​” ​เพราะ​ที่ผ่านมาชีวิตของ​เขา​มี​แต่อดีต​และ​อนาคต​ ​แต่​ไม่​เคย​อยู่​กับ​ปัจจุบันเลย​ ​ไม่​เคย​ใช้​ชีวิต​กับ​สิ่งที่มี​อยู่​ตรงหน้า​เลย​ ​อย่างไรก็ตาม​ ​ก่อนตาย​ ยูจีน ​ก็​ได้​ใช้​เวลา​กับ​ครอบครัวอย่างเต็มที่​ ​เขียนจดหมายบอกลา​เพื่อนทุกคน​ ​พร้อม​ทั้ง​ขอบคุณที่​เป็น​เพื่อนอันแสนดี​ใน​เวลาที่​เขา​มีชีวิต​อยู่​ ​ฯลฯ

​ผมอ่านบท​ความ​นี้จบ​ ​ความ​รู้สึกเดิมๆ​ ​ก็กลับมาอีกครั้ง​ ​เพราะ​นี่​ไม่​ใช่​ครั้งแรกที่​ได้​รับบท​ความ​แนวนี้​จาก​คนที่รักผมมา​เสมอ​ ​เป็น​บท​ความ​ที่ดึง​ความ​สนใจของผม​ให้​กลับมา​ใส่​ใจ​ใน​ตัวเองบ้าง​ ​เพราะ​การ​ใส่​ใจ​ใน​ตัวเองย่อมหมาย​ถึง​การ​ใส่​ใจ​ใน​คนรอบข้างที่​ใกล้​ชิดเรา​เช่น​กัน"

นั่นก็คือ​ “​ครอบครัว​”

====

พบกันใหม่ สัปดาห์หน้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น