วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2551
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมา (23 ม.ค.) บริเวณถนนสายรวมวิทย์ เขตเทศบาลนครยะลา ชุมชนตลาดยามเช้า ภายในเขตเทศบาลนครยะลา จ.ยะลา พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลยาโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว พร้อมด้วยคณะสงฆ์ในพื้นที่ จ. ยะลา ออกรับบิณฑบาตประชาชนในพื้นที่เพื่อร่วมทำบุญตักบาตรและเป็นขวัญกำลังใจกับชาวจ.ยะลา โดยมีประชาชนชาวไทยพุทธในพื้นที่ร่วมทำบุญเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางการดูแลรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ทหาร-ตำรวจ และอาสาสมัครอย่างเข้มงวด โดยการปิดกั้นเส้นทางถนนดังกล่าว พร้อมตรวจค้นกลุ่มวัยรุ่นที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านเส้นทางดังกล่าวด้วย
วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2551
บุญของแบงค์ยี่สิบ
กาลครั้งหนึ่ง ในปัจจุบันกาลนี่เอง ธนบัตรแบงค์ ๑๐๐๐ ได้ถูกพิมพ์ออกมาสู่ท้องตลาด หลังจากนั้นก็ได้สถิตย์อยู่ในกระเป๋าของนักธุรกิจ ประชาชนผู้มีอันจะกินทั้งหลาย
ด้วยความภาคภูมิใจอย่างยิ่งจนอดเก็บไว้ไม่อยู่
แบ๊งค์ ๑๐๐๐ จึงพูดกับแบงค์อื่นๆออกมาว่า
" นี่พวกเธอ ดูสิ ฉันได้เดินทางไปที่ต่างๆกับบรรดาเศรษฐีทั้งหลาย ฉันไปมาแล้วทั่วโลก ทั่วทุกทวีปก็ว่าได้ "
แบงค์ ๕๐๐ จึงพูดว่า .....
" เธอนี่โชคดีจังที่ได้เดินทางไปทั่วโลก แต่ฉันก็ได้เดินทางไปตามห้างสรรพสินค้า ทั้งขึ้นเหนือล่องใต้ทั่วประเทศเหมือนกันนะ "
แล้วแบงค์ ๑๐๐๐ กับ แบงค์ ๕๐๐ ก็หันมามอง แบงค์ ๒๐ ซึ่งฟังอยู่อย่างสงบ
" แล้วเธอล่ะ แบงค์ ๒๐ เธอไปไหนมาบ้าง เล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิ "
แบงค์ ๒๐ ที่ฟังอย่างเงียบๆ เมื่อถูกขยั้นขยอให้เล่า จึงพูดขึ้น
" ฉันไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศหรือตามห้างสรรพสินค้าหรอก ส่วนใหญ่ฉันจะอยู่ตามวัด เขาทำบุญวัด อยู่ในตู้บริจาค และติดอยู่ตามต้นกฐิน ถึงฉันจะไม่ใหญ่โตอะไร แต่งานบุญทุกงานก็มีพวกฉันมากที่สุดนะจะบอกให้ "
เรื่องนี้สอนให้ รู้ว่า ...
คนเราเวลาใช้จ่ายเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน จ่ายเป็นพันเป็นหมื่นไม่มีความ ประหยัด เสียดายเลย แต่เวลาทำบุญกลับ ประหยัด เหลือเกิน ทำแค่ ๒๐ บาทก็พอ
" ทำบุญ...อย่าเหนียว ซี้เลี้ยว...อดบุญ "
ที่มา Forward Mail
วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2551
ออกกำลัง พัฒนาสมอง
การเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม สำหรับภาระอันหนักอึ้งในการเรียน มิดเทอม และการสอบไฟนอล เราต้องเริ่มตั้งแต่ อาทิตย์ต้นๆ จากงานวิจัย ได้ชี้ให้เรารู้ว่าการออกกำลังกาย ส่งผลโดยตรงต่อสมรรถภาพทางสมอง ทำให้ใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออกกำลังจะส่งเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้ดีกว่าการใช้อาหาร และออกซิเจนตามธรรมชาติ โดยได้ทดลองกับหนู แล้วเห็นความแตกต่างนี้ได้ชัดระหว่างหนูที่ออกกำลัง กับหนูที่ไม่ได้ออกกำลัง
เลือดที่ถูกเพิ่มเช้าไปหมุนเวียนในสมอง จะช่วยเร่งผลิตการกำจัด ตัว toxic ทั้งหลายให้ออกไปจากสมองเรา ซึ่งพวกสารเหล่านั้น สามารถทำลายเซลล์สมองของเราได้ เราได้ศึกษาจากนักศึกษามหาวิทยาลัย ที่เป็นนักกีฬา โดยให้วิ่งอย่างน้อยสัปดาห์ละ 30 ไมลล์ เป็นเวลา 3 เดือน ปรากฏว่าเกรดเฉลี่ยของพวกเขา ดีขึ้นกว่านักศึกษา ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย ด้วยแอโรบิคใดๆเลย
อีกวิธีหนึ่งในการออกกำลังก็คือ ใช้ท่า complex movement เช่นยกน้ำหนักแบบที่ไม่ใช้สายเคเบิล การยกน้ำหนักพวกนี้ ทำให้สมองของคุณต้องทำงานร่วมกับประสาทสัมผัสอื่นๆ มีงานศึกษาจากหนู ที่นำไปฝึกการกระโดดเชือก และการเล่นบริดจ(bridges) พบว่าหนูเหล่านั้น มีการเชื่อมโยงกันระหว่างเซลล์ประสาทได้ดีขึ้น เมื่อมีการเชื่อมโยงระหว่างเซลล์ประสาทมากขึ้น ก็ส่งผลดีต่อการเรียนรู้สิ่งต่างๆสำหรับสิ่งมีชีวิตมากยิ่งขึ้น
การออกกำลังหลายๆรูปแบบ สามารถเพิ่มระดับของ neurotropic substances ที่ส่งผลโดยตรงกับการเติบโตของ เนื่อเยื่อที่เชื่อมระหว่างเซลล์ประสาททั้งหลาย ทำให้เซลล์ประสาทเหล่านั้น ดูสดใส และมีสุขภาพที่ดี เมื่อทดลองกับสัตว์แล้วก็ได้ข้อสนับสนุนทฤษฎีดังกล่าวด้วย เรายังได้รับรายงานยืนยันจากนักศึกษาหลายๆคน ที่ได้เริ่มการออกกำลังกายว่า ทำให้ผลการเรียนดีขึ้น
หลักง่ายๆก็คือ เมื่อคุณเอาใจใส่ร่างกายคุณมากเท่าไร จิตใจของคุณก็จะได้รับผลดีไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องเตรียมตัวสอบ ไฟนอล มันจะทำให้คุณเกิดทัศนคติ และวิธีคิดเป็นบวก ซึ่งเป็นผลดีต่อการเรียนของคุณ ดังนั้น จงเอาใจใส่ในการออกกำลังกาย เช่นการเพาะกาย แล้วคุณจะได้รับข้อพิสูจน์ โดยดูได้จากปริมาณความรู้ ที่คุณได้จากการเรียน และแน่นอน เกรดที่สูงขึ้นของคุณด้วย
ที่มา www.tuvuyanon.net
เวปสำหรับการเพาะกายที่ดีที่สุดของไทย :-)
วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2551
เทคนิคยีดอายุ เพียงประพฤติตนให้ได้ 4 อย่าง
นักวิทยาศาสตร์การแพทย์พบหนทางยืดอายุคนเราออกไปอีกอาจได้นานถึง 14 ปี ไม่ว่าคนนั้นจะผอมหรืออ้วน จะยากดีมีจนเท่าไรก็ตาม ชั่วแต่เพียงประพฤติปฏิบัติตนให้ได้ 4 อย่างเท่านั้น ส่วนใครที่ทำไม่ได้ ก็คงจะต้องถูกทิ้งให้ตายลงก่อน
คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และสภาวิจัยการแพทย์อังกฤษ พบหนทางจากการศึกษาวิจัยกับประชาชนในชนบทของเมืองนอร์โฟล์ค วัยระหว่าง 45-79 ปี จำนวน 2 หมื่นคน ที่ยังไม่ปรากฏว่าเป็นโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจแต่อย่างใด เมื่อเวลาระหว่าง พ.ศ. 2536-2549 โดยได้พิจารณาให้คะแนนสำหรับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุราในแต่ละสัปดาห์มากเกินไป กินผักและผลไม้อยู่ประจำวันละ 5 มื้อ และไม่นอนทอดหุ่ยอยู่เฉยๆ ออกกำลังอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมงกัน คนละอย่างละ 1 แต้ม
พวกเขาได้พบว่า บรรดาผู้ที่ได้คะแนนเต็มหมดคนละ 4 แต้ม เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้คะแนนเลย แทบจะไม่มีใครเสียชีวิตลงระหว่างช่วงเวลานั้น ทั้งยังพบด้วยว่าผู้ที่มีอายุแค่ 60 ปี ของกลุ่มที่ไม่มีคะแนนเลย กลับมาเสี่ยงกับการใกล้ตายมากเท่าๆกับผู้ที่มีอายุ 74 ปี ที่มี 4 คะแนนเต็ม
ผลการศึกษาครั้งนี้ ทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนการมีสุขภาพดี อย่างโฆษกมูลนิธิโรคหัวใจแห่งอังกฤษ กล่าวอย่างเต็มปากขึ้นว่า “มันเป็นข่าวดีและแสดงให้เห็นว่า ชั่วแต่การดำรงชีวิตอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยให้หนีห่างจากความตายจากโรคหัวใจและโรคการไหลเวียนของโลหิตพ้นได้”.
ที่มา ไทยรัฐ
====
ใช้เทคนิด 4 ข้อข้างตน แล้วติดตามการปฏิบัติด้วย Joe's Goals น่าจะดี
วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2551
สะกดจิต เพื่อพัฒนาการเรียน
ผู้ที่ยังไม่ได้อ่านกรุณา คลิก อ่านที่นี่ก่อน
สะกดจิตติดตลก 1
สะกดจิตติดตลก 2
ผู้เขียนได้ทดลองด้วยตนเอง แล้วคิดว่าได้ผลดีมาก
วันนี้เลยมีของฝาก อยากจะเผยแพร่เพื่อการพัฒนาการเรียนของนักเรียนนักศึกษา
เป็นเสียงสะกดจิตเพื่อพัฒนาการเรียนแบบสั้น ๆ ( 6MB)
Download คลิกที่นี่<--(หลังจากวางไฟล์ให้ download หนึ่งสัปดาห์แล้ว จะเอาออกเพื่อไม่ให้เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ท่านใดต้องการไฟล์ติดต่อขอทาง e-mail นะครับ จะจัดส่งให้) เริ่มง่าย ๆ ก่อนจะเริ่มอ่านหนังสือทบทวน เปิดหนังสือ เตรียมจะอ่าน เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม นั่งสบาย ๆ ค่อย ๆ หลับตา แล้วฟัง ใช้เวลาแค่ 7 นาที แต่คิดว่า ประสิทธิภาพในการเรียนรู้จะดีขึ้น คุ้มค่าเวลา 7 นาทีที่เสียไป สำหรับไฟล์ ที่นำมาเผยแพร่วันนี้เป็นแบบสั้น แบบเต็ม ๆ นั้น ยาวประมาณครึ่งชั่วโมง และมีรายละเอียดเยอะกว่ามาก ก็ขอแจกไว้เป็นตัวอย่าง และแนะนำการสะกดจิตเพื่อพัฒนาศักยภาพตัวเอง (คิดว่า คงไม่ละเมิตลิขสิทธิ์ของ เจ้าของ CD จนเกินไปนะครับ)
สำหรับผู้ที่ฟังแล้วสนใจอยากได้แบบเต็ม หรือ CD สะกดจิตแบบอื่น หรืออยากได้ข้อมูลเพิ่ม
ทิ้งข้อความบอกไว้นะครับ
กระบวนการทางปัญญา
๑. ฝึกสังเกต สังเกตในสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ดูผีเสื้อ หรือในการทำงาน การฝึกสังเกตจะทำให้เกิดปัญญามาก โลกทรรศน์ และวิธีคิด สติ-สมาธิ จะเข้าไปมีผลต่อการสังเกต และสิ่งที่สังเกต
๒. ฝึกบันทึก เมื่อสังเกตอะไรแล้วควรฝึกบันทึก โดยจะวาดรูปหรือ บันทึกข้อความ ถ่ายภาพ ถ่ายวีดิโอ ละเอียดมากน้อยตามวัยและ ตามสถานการณ์การบันทึกเป็นการพัฒนาปัญญา
๓. ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุม กลุ่ม เมื่อ มีการทำงานกลุ่ม เรา ไปเรียนรู้อะไรมาบันทึกอะไรมา จะนำเสนอให้เพื่อนหรือครูรู้เรื่อง ได้อย่างไร ก็ต้องฝึกการนำเสนอการนำเสนอได้ดีจึงเป็นการพัฒนา ปัญญาทั้งของผู้นำเสนอและของกลุ่ม
๔. ฝึกการฟัง ถ้ารู้จักฟังคนอื่นก็จะทำให้ฉลาดขึ้น โบราณเรียกว่า เป็นพหูสูตบางคนไม่ได้ยินคนอื่นพูด เพราะหมกมุ่นอยู่ในความคิด ของตัวเองหรือมีความฝังใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเรื่องอื่นเข้าไม่ได้ ฉันทะ สติ สมาธิ จะช่วยให้ฟังได้ดีขึ้น
๕. ฝึกปุจฉา-วิสัชนา เมื่อมีการนำเสนอและการฟังแล้ว ฝึกปุจฉา-วิสัชนา หรือถาม-ตอบ ซึ่งเป็นการฝึกใช้เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำ ให้เกิดความแจ่มแจ้งในเรื่องนั้นๆ ถ้าเราฟังครูโดยไม่ถาม-ตอบ ก็ จะไม่แจ่มแจ้ง
๖. ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคำถาม เวลาเรียนรู้อะไรไปแล้ว เรา ต้องสามารถตั้งคำถามได้ว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นเกิดจากอะไร อะไรมีประโยชน์ ทำอย่างไรจะสำเร็จประโยชน์อันนั้น และมีการ ฝึกการตั้งคำถาม ถ้ากลุ่มช่วยกันคิดคำถามที่มีคุณค่าและมีความ สำคัญ ก็จะอยากได้คำตอบ
๗. ฝึกการค้นหาคำตอบ เมื่อมีคำถามแล้วก็ควรไปค้นหาคำตอบ จากหนังสือ จากตำรา จากอินเตอร์เน็ต หรือไปคุยกับคนเฒ่าคน แก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคำถาม การค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ สำคัญจะสนุกและทำให้ได้ความรู้มาก ต่างจากการท่องหนังสือ โดยไม่มีคำถาม บางคำถามเมื่อค้นหาคำตอบทุกวิถีทางจนหมด แล้วก็ไม่พบ แต่ถามยังอยู่ และมีความสำคัญ ต้องหาคำตอบต่อ ไปด้วยการวิจัย
๘. การวิจัย การวิจัยเพื่อหาคำตอบเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เรียนรู้ทุกระดับการวิจัยจะทำให้ค้นพบความรู้ใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิด ความภูมิใจ สนุก และมีประโยชน์มาก
๙. เชื่อมโยงบูรณาการ ให้เห็นความเป็นทั้งหมดและเห็นตัวเอง ธรรมชาติของสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยง เมื่อเรียนรู้อะไรมาอย่าให้ความ รู้นั้นแยกเป็นส่วน ๆ แต่ควรจะเชื่อมโยงเป็นบูรณาการให้เห็นความเป็น ทั้งหมดในความเป็นทั้งหมดจะมีความงาม และมีมิติอื่นผุดบังเกิด ออกมาเหนือความเป็นส่วน ๆ และในความเป็นทั้งหมดนั้นมองให้ เห็นตัวเอง เกิดการรู้ตัวเองตามความเป็นจริง ว่าสัมพันธ์กับความ เป็นทั้งหมดอย่างไร จริยธรรมอยู่ที่ตรงนี้ คือการเรียนรู้ตัวเองตาม ความเป็นจริง ว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร
ดังนั้น ไม่ว่าการเรียนรู้อะไร ๆ ก็มีมิติทางจริยธรรมอยู่ในนั้นเสมอ มิติทางจริยธรรมอยู่ในความเป็นทั้งหมดนั่นเอง ต่างจากการเอา จริยธรรมไปเป็นวิชา ๆ หนึ่งแบบแยกส่วน แล้วก็ไม่ค่อยได้ผล ในการบูรณาการความรู้ที่เรียนรู้มาให้รู้ความเป็นทั้งหมด และเห็นตัวเองนี้ จะนำไปสู่อิสรภาพและความสุขอันล้นเหลือ เพราะ หลุดพ้นจากความบีบคั้นของความไม่รู้ การไตร่ตรองนี้จะโยงกลับไป สู่วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ที่ว่าเพื่อลดตัวกู-ของกู และเพื่อการ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ อันจะช่วยกำกับให้การแสวงหาความรู้เป็นไป เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว มิใช่เป็นไปเพื่อความกำเริบแห่งอหังการ มมังการ และเพื่อรบกวนการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ
๑๐. ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการ ถึงกระบวนการเรียนรู้และความรู้ ใหม่ที่ได้มาการเรียบเรียงทางวิชาการเป็นการเรียบเรียงความคิดให้ประณีต ขึ้น ทำให้ค้นคว้าหาหลักฐานที่มาที่อ้างอิงของความรู้ให้ถี่ถ้วนแม่นยำขึ้น การเรียบเรียงทางวิชากรจึงเป็นการพัฒนาปัญญาของตนเองอย่างสำคัญ และเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้อื่นในวงกว้างออกไป
ที่มา www.budpage.com
วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551
++ ทำไมพระพุทธศาสนาจึงสอนให้หา "หนทางดับทุกข์" แทนที่จะแสวงหา "หนทางแห่งความสุข" ++
++ ทำไมพระพุทธศาสนาจึงสอนให้หา "หนทางดับทุกข์" แทนที่จะแสวงหา "หนทางแห่งความสุข" ++
แค่นึกสงสัย
ตามหัวข้อกระทู้คับ..
จากคุณ : homeless - [ 3 ม.ค. 51 19:34:42 ]
..........
================
เรียน จขกท.
เหตุผลก็คือ
พระพุทธศาสนาสอนว่า
ทุกชิวิตที่เกิดมาในโลกนี้
ล้วนแต่มีความทุกข์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ไม่มีชีวิตใดเลยที่เกิดมามีความสุขที่แท้จริง
ทำนองเดียวกัยศาสนาคริสต์
ที่สอนว่าคนที่เกิดมาในโลกนี้
ล้วนแต่มีบาปติดตัวมาเหมือนกันหมด
ศาสนาพุทธจึงสอนเรื่องวิธีการดับทุกข์
ส่วนศาสนาคริสต์สอนวิธีการล้างบาป
ส่วนรายละเอียดนั้น มีมากกว่านี้
ถ้าท่านสนใจก็กรุณาไปศึกษาหาอ่านเพิ่มเติมเองต่อไป
ขอให้ท่านโชคดี
และขอให้ทุก ๆ ท่านเจริญในธรรม
จากคุณ : kongsilp2000 - [ 3 ม.ค. 51 22:10:48 ]
===========
พระพุทธศาสนาสอนว่า
ทุกชิวิตที่เกิดมาในโลกนี้
ล้วนแต่มีความทุกข์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ไม่มีชีวิตใดเลยที่เกิดมามีความสุขที่แท้จริง
"เราจึงควรแสวงหาทางดับทุกข์" นั่นแล
จากคุณ : ดอกคูณที่จากไป - [ 3 ม.ค. 51 23:40:12 ]
===========
-------------------------------------------------------
ขออนุญาตทักท้วงคุณ kongsilp นิดนะครับ
ศาสนาคริสต์สอนให้ หลีกเลี่ยงบาป และหลีกเลี่ยงโอกาสทำบาป ครับ
ไม่ใช่สอนวิธีการล้างบาป
การล้างบาปเป็นพิธีการเข้าสู่ศาสนาครับ ตามความเชื่อที่ว่ามนุษย์มี "บาปกำเนิด"
ส่วนการอภัยบาปเป็นพระพรสำหรับผู้ที่สำนึกตนแล้วว่าได้ทำผิดไป
จากคุณ : เศียรนาคา - [ 4 ม.ค. 51 09:21:38 ]
===========
จาก pantip.com
รูปประกอบ จาก คุณดอกคูณที่จากไป
วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2551
วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551
New Year's Resolutions
หลายคนก็ตั้งใจและวางแผนจะทำอะไรให้สำเร็จ
หรืออาจจะตั้งใจเลิกนิสัยบางอย่างในปีนี้
ภาษาอังกฤษ เขาเรียกว่า Resolution ครับ
สำหรับการตั้งเป้าหมาย (Resolution) นี้ มีหลักการอยู่ เรียกว่า S.M.A.R.T.
อันประกอบไปด้วย
1) Specific. (ชัดเจน)บอกแค่ว่าจะ จะทำให้หุ่นดี ไม่มีผลครับ ต้องบอกว่า จะ ลดน้ำหนักลงไป 5 กก
ชี้ชัด ๆ ไปเลยว่าจะทำอะไร
2) Measurable. (วัดได้) อย่างเช่นถ้าบอกว่าจะ สร้างหรือรักษาความสัมพันธ์ดี ๆ กับเพื่อนเก่า ก็ควรตั้งไปเลยว่า จะส่งการ์ดวันเกิดและการ์ดอวยพรให้เพื่อนเก่าเสมอ
3) Achievable. (เป็นสิ่งที่ทำได้) เช่น บอกว่าจะเป็นผู้บริหารที่ดีที่สุด แต่ความจริงแล้วไม่มีอะไรดีที่สุดหรอกครับ เขียนเป็นสิ่งที่วัดได้จะดีกว่า เช่น จะเพิ่มยอดขาย ลดการลาออกของลูกน้อง กี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่ากันไป
4) Realistic. (ไม่ไกลเกินความเป็นจริง) เช่น บอกว่า จะหัดเล่นสกีให้ได้ แต่บ้านอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่มีหิมะ อันนี้ก็ไกลความเป็นจริงไปหน่อย
5) Timely. (เงื่อนไขเวลา) เนื่องจากเรากำลังตั้ง New Year Resolution เป้าหมายก็ควรจะทำให้สำเร็จได้ภายในหนึ่งปีนะครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายแบบ S.M.A.R.T นี้หาอ่านได้จาก
Use S.M.A.R.T. goals to launch management by objectives plan Republic Article
หลังจากที่่ได้ตั้ง Resolution เรียบร้อยแล้ว
ก็ควรได้มีการติดตามผลตลอดทั้งปี
เครื่องมือง่าย ๆ อันหนึ่ง ที่ทำให้ได้รู้ประสิทธิผล ของการตั้งเป้าหมายของตนเอง
เป็น Web App. ตัวหนึ่ง ชื่อ Joe' Goals
เพียงเข้าไปที่ http://www.joesgoals.com
กรอกข้อมูลสมัครสมาชิก แล้วก็สร้าง เป้าหมาย (goals) ซึ่งก็สามารถสร้างได้ทั้งสิ่งที่อยากทำ และสิ่งที่ไม่อยากทำ เช่นในตัวอย่าง Exercise ออกกำลัง เป็นสิ่งที่อยากทำ ส่วน Eat out กินข้าวนอกบ้านเป็นสิ่งที่ไม่อยากทำ
Joe's Goals ก็จะสร้างตารางให้ผู้ใช้ได้กรอก ว่าได้ทำกิจกรรมใดไปบ้างในหนึ่งวัน ตารางแนวนอนก็จะเป็นเป้าหมายที่เราได้สร้างไว้ ส่วนตารางในแนวตั้งก็จะเป็นวันอาทิตย์ถึงเสาร์
วันไหนที่เราได้ทำตามเป้าหมายที่ตั้งไ้ว้ ก็ให้คะแนนตัวเอง หนึ่งเดือนผ่านไป ก็มานั่งดูได้ว่า ได้ทำตามเป้าหมายไว้ มากน้อยเพียงใด
ลองเล่นดูครับ ผมสมัครเรียบร้อยแล้ว แล้วจะเอาคะแนนมาอวด
ข้อมูลเพิ่มเติม เรื่อง Resolution จาก lifehacker.com
วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551
วันพระ ปีใหม่ 2551
ปฏิทินวันพระ 2551 บน Google calendar ได้ถูก update แล้วนะครับ
สำหรับท่านผู้อ่านที่ใช้ GCal หรือ Google Calendar ในการจดบันทึกนัดหมายสามารถรวม ปฏิทินวันพระเข้ากับปฏิทินส่วนตัวของท่าน โดยกด ปุ่มด้านข้างใน web http://jit-jai-d.blogspot.com
สำหรับผู้ที่ ไม่ได้ใช้ปฏิทินของ Google สามารถ download ปฏิทินวันพระ 2551
ฉบับของกรมศาสนา ได้ ที่นี่
สวัสดีปีใหม่ 2551
ขอให้ทุกคนมีความสุขครับ