วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2550

เบื่อ​...​เซ็ง​...​อยู่​ทำ​ไม​ ​แค่ปรับมุมการคิด​ ​ชีวิตก็​เปลี่ยน​แล้ว






ภาวะ​เบื่อ​..​เซ็ง​ ​มัน​เป็น​กัน​ได้​หมดทุกคนแหละค่ะ​
​สุดแต่​จะ​เบื่อมาก​ ​เบื่อน้อย​
​ไม่​ว่า​จะ​เบื่องาน​ ​เบื่อเจ้านาย​ ​เบื่อสามี​ ​เบื่อภรรยา​
​เบื่อสภาพแวดล้อมประจำ​วัน​ ​เบื่อภาระ​ความ​รับผิดชอบ​
​เบื่อ​ความ​จน​ ​เบื่ออาการป่วย​ ​เบื่อสังคม​
​เบื่ออารมณ์​-​ความ​รู้สึกตัวเอง​ ​เบื่อมันซะทุกเรื่องราว​
​แม้กระทั่งเบื่อจน​ไม่​มีอณู​ความ​รื่นรมย์​แทรก​อยู่​เลยสักนิดเดียว​

​เป็น​เรื่องปกติค่ะ​

​แต่ภาวะ​แบบนี้มันนำ​มา​ซึ่ง​อาการของ​ความ​เครียดทางจิตใจ​
​ต่อ​ด้วย​ความ​ไม่​ยินดีต่อสิ่งรอบตัว​
​จะ​มองมุมไหนก็คับแคบ​ ​ตีบตัน​ ​มืดบอด​
​โลก​ทั้ง​โลก​เป็น​สีดำ​ ​ทึม​ ​ซึมเซา​ไปหมด​
​สิ่ง​นั้น​ก็​เลวร้าย​ ​สิ่งนี้ก็ย่ำ​แย่​
​คนโน้น​ไม่​ดี​ ​คนนี้ก็​ไม่​เอา​ไหน​ ​ใครๆ​ ​ก็​ไม่​ชื่นชม​

...You are what the way you think...
​คุณคิด​ยัง​ไง​ ​คุณก็​จะ​เป็น​อย่าง​นั้น​

​มัน​เป็น​เรื่องที่​เรารู้​และ​เข้า​ใจ​กัน​ดี​ ​แต่มักลืมไปเสมอ​
​ว่ามุมมอง​ความ​คิดของตัวเรา​เอง​นั้น​ ​มันบังคับรูปแบบชีวิตเรา​ได้​
​เอาง่ายๆ​ ​แค่การคิดทางลบ​ (Negative thinking)
​กับ​การคิดทางบวก​ (Positive thinking)
​เรื่องธรรมดาๆ​ ​ที่คนเรามัก​จะ​ลืมนึก​ถึง​มันไป​
​การที่​เรา​จะ​สร้างมุมมอง​ความ​คิดต่อสิ่ง​ใด​นั้น​
​เรา​เลือก​ได้​อยู่​แล้ว​ ​แต่ทำ​ไม​ไม่​เลือกคิด​
​เลือกมอง​ด้วย​มุมที่ก่อ​ให้​เกิด​ความ​รื่นรมย์​แก่ชีวิต​กัน​ล่ะ​

​มี​เรื่อง​จะ​เล่า​ให้​ฟังค่ะ​ ​เป็น​เรื่องที่​เพื่อน​ได้​ส่งต่อมา​ให้​ทางอี​เมล​
​หาต้นเรื่อง​ไม่​ได้​ว่ามา​จาก​ไหน​
​แต่ก็​ต้อง​ขอขอบคุณ​ ​คุณคนแรกที่​เล่า​เรื่องนี้ค่ะ​ ​เรื่องมี​อยู่​ว่า​

...​มีมหา​เศรษฐีคนหนึ่ง​ ​สุดแสน​ ​จะ​ภูมิ​ใจที่ลูกชายวัยห้าขวบของ​เขา​
​กำ​ลัง​จะ​ได้​เข้า​เรียน​ใน​โรงเรียนชื่อดัง​
​ซึ่ง​ระดับเศรษฐีอย่างพวก​เขา​เท่า​นั้น​
​จึง​จะ​มีปัญญาส่งลูกหลาน​เข้า​เรียน​ใน​โรงเรียนนี้​ได้​
​แต่​โดย​ส่วน​ตัวของ​เขา​เอง​
​ก็อยาก​จะ​สอน​ให้​ลูกชายรู้จัก​กับ​ชีวิตจริง​ใน​โลก​
​ควบคู่​ไป​กับ​การสอนทฤษฎี​ใน​โรงเรียน​

​ใน​วันหยุด​ ​เขา​จะ​ตระ​เวนพาลูก​​ชายคนเดียว​
​ไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ​
​แล้ว​วันหนึ่ง​เขา​ก็คิด​ถึง​หัวข้อการสอนเรื่อง​ ...​ความ​ยากจน​...
​เพราะ​เขา​มี​ความ​เชื่อว่า​ ​ลูกชายของ​เขา​คง​ไม่​มีวันรู้จักแน่นอน​
​เขา​จึง​พาลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง​
​และ​พัก​อยู่​กับ​ชาวนา​เป็น​เวลา​ 1 ​วัน​ 1 ​คืน​

​เมื่อกลับ​ถึง​คฤหาสน์ของ​เขา​แล้ว​ใน​วันต่อมา​
​มหา​เศรษฐีก็ทดสอบว่า​ ​ลูกชาย​ได้​อะ​ไรบ้าง​
​จาก​การไปพักแรม​กับ​ชาวนา​ผู้​ยากจน​
​ลูกชายตอบคำ​ถามของ​ผู้​เป็น​บิดาว่า​
​เขา​ขอบคุณพ่อ​เป็น​อย่าง​มากที่พา​เขา​ไปพบ​กับ​ชาวนา​
​และ​พักแรมที่นั่น​ ​ซึ่ง​ทำ​ให้​เขา​ได้​พบว่า​..

​ชาวนา​นั้น​ ​มีที่ทำ​งาน​เป็น​ท้องนาที่กว้าง​ใหญ่​
​ใน​ขณะที่พ่อมี​เพียงห้องสี่​เหลี่ยมที่ว่ากว้าง​
​แต่ก็​ยัง​น้อยกว่าห้องทำ​งานของชาวนา​
​และ​อาหารที่ชาวนากิน​นั้น​ ​สามารถ​หา​ได้​ตลอดเวลา​ ​รอบๆ​ ​บริ​เวณบ้าน​
​ไม่​ต้อง​ไปซื้อหา​ ​ใน​ขณะที่บ้านของเรามี​เพียงตู้​เย็น​เท่า​นั้น​
​ที่​เป็น​ที่​เก็บ​ใส่​อาหาร​…..

​เวลากินอาหารก็มี​เพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา​ ​พ่อ​ ​แม่​และ​ลูก​
​ใน​ขณะที่ตัวเองก็​ต้อง​นั่งกินอาหารโดด​-​เดี่ยว​
​กับ​โต๊ะอาหารที่ยาวเกือบสิบเมตร​และ​มี​เก้าอี้ว่างเปล่า​ทั้ง​สองด้าน​..
​ลูกของชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อ​เขา​
​ต้อง​กอดเอวพ่อ​ให้​แน่นๆ​ ​เพื่อ​จะ​ได้​ไม่​ตก​จาก​จักรยาน​
​ตัว​เขา​เอง​ต้อง​นั่ง​ใน​รถยนต์ที่​ใหญ่​โต​อยู่​ข้างหลังเพียงลำ​พัง​
​โดย​มีคนขับรถพา​ไปทุกที่​....

​ชาวนามี​แสงดาว​ ​แสงจันทร์​เป็น​โคมไฟส่องสว่าง​อยู่​ตลอดเวลา​
​ใน​ตอน​ ​กลางคืน​ ​โดย​ไม่​ขาดแคลน​
​แต่​เขา​มี​เพียงแสง​จาก​โคมไฟที่​ต้อง​ซื้อหามา​ด้วย​เงิน​..
​ชาวนามีรั้วบ้าน​เป็น​แม่น้ำ​ ​ภู​เขา​ ​ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา​
​แต่​เขา​เองกลับมี​เพียงแค่กำ​แพงอิฐบล็อกที่คลุมพื้นที่​ไม่​กี่​ไร่​…..

​ลูกชาวนามี​เพื่อนเล่นมากมาย​ ​เป็น​จิ้งหรีด​ ​หิ่งห้อยนับร้อยนับพันตัว​
​แต่​เขา​เองกลับ​ไม่​มี​ใคร​เป็น​เพื่อนเลย​…
​เขา​ขอขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำ​ให้​เขา​รู้คำ​ตอบว่า​
...​จริงๆ​ ​แล้ว​...​เรายากจนกว่าชาวนามาก​...

​เป็น​ไงคะ​...​คุณแอบยิ้ม​ใน​ใจบ้าง​หรือ​ยัง​ ?

​ความ​รู้สึกนึกคิดของเรา​เอง​นั้น​ ​มา​จาก​แก้วตาดวงใจของเรา​เอง​
​ที่​จะ​เลือกมอง​ ​เลือกรู้สึก​ด้วย​มุมไหน​ ​เรา​เลือก​ได้​ ​อยู่​แล้ว​นี่นา​

​กลับมาที่อาการเบื่อโลกของเรา​ ​กัน​ต่อ​
​เมื่อรู้สึกตัวว่า​เป็น​โรคเบื่อ​เข้า​แล้ว​
​ให้​รีบจัดการ​กับ​ตัวเองทันที​
​ปรับ​ ​หมุน​ ​หันมองสิ่งที่​อยู่​ตรงหน้า​ด้วย​องศาที่ต่างออกไป​
​พยายามมองหา​ใน​ส่วน​ดี​ ​คือ​ ​ให้​มอง​ใน​ทางบวกนั่นเอง​
​แล้ว​ความ​รื่นรมย์มันก็​จะ​มา​
​เอา​กัน​ง่ายๆ​ ​ก็คือ​ ​ถ้า​รู้สึกตัวว่าจ่อมจมอมเศร้า​เมื่อไหร่​แล้ว​ล่ะก็​
​ให้​รีบสะบัด​ความ​คิด​ ​พลิกมุมมองของคุณทันที​
​อนุญาต​ให้​ตวาดตัวเอง​ได้​ว่า​ ...​ทำ​ไม​ ​ถึง​ได้​มองโลก​ใน​แง่ร้ายจังนะ​...
​แล้ว​มุมมอง​ ​ก็​จะ​ทำ​การเริ่มหมุน​ ​จูนหาคลื่นทางบวกทันที​โดย​อัตโนมัติ​
​เรา​จะ​มองเห็น​ถึง​ความ​เป็น​ไป​ได้​ ​ใน​ความ​เป็น​ไป​ไม่​ได้​เหล่า​นั้น​

​ยามมีปัญหาที่คิดว่า​ ​หนักหนาสุดๆ​ ​ให้​ลองนึก​ถึง​วันที่ผ่านมา​
​ที่​เรา​ได้​เคยผ่านเรื่องหนักหนามา​แล้ว​ไม่​รู้​ ​กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง​
​ที่ตอน​นั้น​คิดว่า​ ​ครั้งนี้มันแย่ที่สุด​แล้ว​
​แต่​เมื่อเวลาผ่านไป​ ​เรื่องที่ว่าหนักหนา​เป็น​ที่สุด​นั้น​
​ก็​เป็น​แค่อุปสรรคธรรมดาๆ​ ​ที่​เราก็ผ่านมา​ได้​
​มา​เจอเรื่อง​ใหม่​ที่​เป็น​ทุกข์​ใหญ่​กว่า​
​เรื่องเมื่อวัน​นั้น​ก็ขี้ปะติ๋วไปเลย​
​แล้ว​เรื่อง​ใน​วันนี้มันก็คง​จะ​ผ่านไป​ได้​อีกแน่นอน​

​เมื่อ​ใด​ที่​เริ่มหดหู่​ ​ซึมเศร้า​ ​วิตก​-​กังวล​ ​ซังกะตาย​
​กระสับกระส่าย​ ​หายใจ​-​กระ​แทกกระทั้น​ ​กอดเข่า​ ​เท้าคาง​
​ให้​รีบสะบัด​ความ​คิดเหล่า​นั้น​ไป​ไกลๆ​ ​แล้ว​เตือน​ให้​ตัวเองคิด​
​โดย​การหันมอง​ด้วย​มุม​ใหม่​ใน​ทางบวกแทน​ ​เช่น​

​เมื่อถูกเจ้านายต่อว่า​ ​ตำ​หนิมา​แทนที่​จะ​โมโห​ ​ซึมเศร้า​
​โกรธ​ ​เกลียด​ ​ก็​ให้​คิดเสียว่า​ ​นี่​เป็น​ข้อควรระวัง​ใน​การทำ​งานครั้งต่อไป​
​ที่​จะ​ไม่​ให้​เกิดการบกพร่อง​ซ้ำ​อีก​

​เงิน​ไม่​พอจ่าย​ ​คิด​ใหม่​ว่า​ ​นี่คือ​ ​ข้อควรประจักษ์​ถึง​การที่ว่า​
​เรา​ไม่​ได้​มีการวางแผนการ​ใช้​จ่ายเงิน​
​ควรอย่างยิ่งที่​เรา​จะ​ทำ​การ​ใช้​จ่ายเงิน​ให้​รอบคอบมากขึ้นกว่า​เดิม​

​เบื่องาน​ ​ก็พึงคิดว่า​ ​ดี​แค่​ไหน​แล้ว​ที่​เรามีงานทำ​
​ซึ่ง​ยัง​มีอีกหลายคนที่กำ​ลังกากบาทตามกรอบโฆษณา​
​ประกาศรับสมัครงานตามหน้าหนังสือพิมพ์​อยู่​
​หรือ​บางคนก็​ยัง​ถือซองเอกสารย่ำ​ต๊อกๆ​ ​ไปเร่สมัครงาน​

​ทะ​เลาะ​กับ​แฟน​ ​ก็มองเสีย​ใหม่​ว่า​
​นี่คือ​ ​สัญญาณเตือนที่​จะ​ต้อง​หยุดนิ่งมองปัญหาที่​เกิดขึ้น​
​ว่าควร​จะ​หาทางแก้​ด้วย​วิธี​ไหน​ ​ดีกว่า​จะ​มา​เอาชนะ​กัน​เอง​

​รำ​คาญคน​ใน​ครอบครัวจู้จี้จุกจิก​ให้​มอง​ใน​มุมที่ว่า​
​นั่นคือ​ ​ความ​ห่วงใย​จาก​คนที่​เขา​รักเราจริง​

​เจ็บป่วย​เล็ก​น้อย​ ​ให้​คิด​ใหม่​ซะว่า​
​ดี​แค่​ไหน​แล้ว​ที่​เรา​ไม่​เป็น​อะ​ไรไปมากกว่านี้​
​แล้ว​มองว่านั่นคือ​ ​สัญญาณเตือน​ไม่​ให้​เราประมาท​ใน​การดู​แลสุขภาพ​

​ลูกหลาน​ไม่​ได้​ดั่งใจ​ ​คิดอีกทีว่า​ ​เราควร​จะ​เข้า​ใจ​เขา​
​ไม่​ใช่​ให้​คนเกิดทีหลังเรา​ ​รู้จักโลกเพียง​ไม่​กี่ปี​ ​มา​เข้า​ใจ​ใน​ตัวเรา​

​เพื่อน​ไม่​มี​เวลา​ให้​ ​ก็คิดมองว่า​ ​เขา​ก็​ต้อง​มีภาระ​
​มีปัญหาของตัวเอง​ให้​รับผิดชอบมากพอ​แล้ว​
​และ​นี่​เป็น​โอกาสดีที่​เรา​จะ​ได้​มี​เวลา​เป็น​ของตัวเอง​
​มีอิสระทาง​ความ​คิด​ ​ฝึก​ความ​เข้มแข็ง​ใน​การ​ใช้​ชีวิต​ด้วย​ตัวเองตามลำ​พัง​

​เมื่อทำ​เรื่องผิดพลาด​ ​แทนที่​จะ​มานั่งรู้สึกผิด​
​แล้ว​เศร้าหมอง​ ​จ่อมจม​กับ​ทุกข์​
​ให้​มองเสียว่า​ ​เรา​ได้​บทเรียนที่มีค่ายิ่ง​
​ที่​จะ​ทำ​ให้​เราจดจำ​และ​ไม่​ทำ​พลาดอีก​ใน​คราวต่อไป​

​มาคิดทางบวก​กัน​เข้า​ไว้​เถอะค่ะ​
​อะ​ไรที่คิดว่า​ ​เป็น​ไป​ไม่​ได้​ ​มันก็ดู​เหมือน​จะ​เป็น​ไป​ได้​
​ถ้า​มา​เลือกมอง​ ​เลือกคิด​ใน​ทางที่ดี​

​ถึง​แม้ว่าบางคนอาจ​จะ​ลังเล​อยู่​ว่า​
​การมองโลก​ใน​แง่ดี​กับ​อี​เดียต​ ​ห่าง​กัน​ไม่​ถึง​เส้นขนแมวก็ตาม​
​แต่การคิดทางบวกก็นำ​ความ​สุขมา​ให้​เรา​ได้​มากกว่า​
​เพราะ​ว่า​ ...​จิต​เป็น​นาย​ ​กาย​เป็น​บ่าว​...
​มุมของการคิด​จะ​กำ​หนดตามรูปแบบ​ความ​คิด​
​ส่งต่อคุณสมบัติ​ใน​ตัวของบุคคล​
​เพียงแค่​เราปรับเปลี่ยนมุมแห่งการคิด​
​สภาพจิตใจเราก็​เปลี่ยน​ด้วย​
​จะ​สุข​จะ​ทุกข์​นั้น​อยู่​ที่​ใจ​
​เป็น​เรื่องที่​เรารู้ๆ​ ​กัน​ดี​อยู่​
​แล้ว​ทำ​ไม​จะ​ ​ต้อง​ปล่อย​ให้​ตัวเอง​เป็น​คน​ไม่​มี​ความ​สุข​ด้วย​ล่ะ​

​เศร้า​เพราะ​ความ​เบื่อเมื่อไหร่​
​ให้​ใช้​วิธี​เปลี่ยนมุมการคิดดีกว่า​...
​เพราะ​เมื่อเปลี่ยนอะ​ไร​ไม่​ได้​แล้ว​
​ก็ควรปรับดวงตา​ ​ดวงใจของตัวเรา​เองแทน​
​จะ​บันดาล​ความ​รื่นรมย์​ ​เสกสรร​ความ​สุข​
​ละลาย​ความ​ทุกข์​ ​ความ​เครียด​ ​ความ​เศร้า​
​ความ​เหงา​ ​ความ​เบื่อแค่​ไหน​...​เราก็​เลือก​ได้​ค่ะ​


จะ​มานั่งเบื่อ​...​เซ็ง​...​อยู่​ทำ​ไม​ ​แค่ปรับมุมการคิด​ ​ชีวิตก็​เปลี่ยน​แล้ว​
........ ​เสมานารี​

​นิตยสารคู่สร้างคู่สม​
​ปีที่​ 28 ​ฉบับ​ที่​ 568
​ประจำ​เดือน​ ​มิถุนายน​ ​ทศ​ 1 2550

(ข้อความดี ๆ คัดมาจาก พลังจิต.com)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น