วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2550

นกแขกเต้า กับ ชาวนา

มีนกแขกเต้าฝูงหนึ่งประมาณ ๕๐๐ ตัว อาศัยอยู่ในป่างิ้วบนยอดเขาแห่งหนึ่ง เมื่อถึงเวลาหากิน ฝูงนกแขกเต้า ต่างพากันบินไปกินข้าวสาลีในนาของชาวมคธ เมื่อกินข้าวสาลีอิ่มแล้ว ต่างก็บินกลับรังด้วยปากเปล่าๆ ทั้งนั้น

ส่วนพญานกแขกเต้าที่เป็นหัวหน้า เมื่อกินอิ่มแล้ว ยังต้องคาบข้าวสาลีอีก ๓ รวงกลับไปด้วย ชาวนาเห็นก็แปลกใจ จึงพยายามดักจับพญานกแขกเต้าให้ได้ ด้วยการสังเกตที่ยืนของพญานกนั้น แล้ววางบ่วงดักไว้

วันหนึ่งพญานกถูกจับได้ ชาวนาจึงถามพญานกว่า "นกเอ๋ย ท้องของท่านคงจะใหญ่กว่าท้องของนกอื่น เพราะเมื่อท่านกินอิ่มแล้ว ยังต้องคาบรวงข้าวกลับไป อีกวันละ ๓ รวง เป็นเพราะท่านมียุ้งฉาง หรือเป็นเพราะเรามีเวรต่อกันมาก่อน"

พญานกตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้มียุ้งฉาง และเรา ก็ไม่มีเวรต่อกัน แต่ที่คาบไป ๓ รวงนั้น รวงหนึ่งเอาไปใช้หนี้เก่า รวงหนึ่งเอาไปให้เขา และอีกรวงหนึ่งเอาไปฝังไว้"

ชาวนาได้ฟังก็เกิดความสงสัย จึงถามว่า "ท่านเอารวงข้าวไปใช้หนี้ใคร เอาไปให้ใคร และเอาไปฝังไว้ที่ไหน"

พญานกแขกเต้าจึงตอบว่า "รวงที่หนึ่งเอาไปใช้หนี้เก่า คือ เอาไปเลี้ยงดูพ่อแม่เพราะท่านแก่แล้ว และเป็นผู้มีพระคุณอย่างมาก ทั้งให้กำเนิดและเลี้ยงดูข้าพเจ้าจนเติบใหญ่ นับว่าข้าพเจ้าเป็นหนี้ท่านจึงสมควรเอาไปใช้หนี้"

"รวงที่สองเอาไปให้เขา คือ เอาไปให้ลูกน้อยทั้งหลายที่ยังเล็กอยู่ ไม่สามารถหากินเองได้ เมื่อข้าพเจ้าเลี้ยงเขาในตอนนี้ ต่อไปยามข้าพเจ้าแก่เฒ่า เขาก็จะเลี้ยงตอบแทน จัดเป็นการให้เขา"

"รวงที่สามเอาไปฝังไว้ คือ เอาไปทำบุญด้วยการให้ทาน กับนกที่แก่ชรา นกที่พิการหรือเจ็บป่วยไม่สามารถหากินได้ เท่ากับเอาไปฝังไว้ เพราะบัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า การทำบุญเป็นการฝังขุมทรัพย์ไว้"

ชาวนาฟังแล้วเกิดความเลื่อมใสว่า นกนี้เป็นนกกตัญญูต่อพ่อแม่ เป็นนกที่มีความเมตตาต่อลูกน้อย ใจบุญ มีปัญญารอบคอบ มองการณ์ไกล

พญานกได้อธิบายต่อไปว่า "ข้าวสาลีที่ข้าพเจ้ากินเข้าไปนั้น ก็เปรียบเหมือนเอาทิ้งลงไปในเหวที่ไม่รู้จักเต็ม เพราะข้าพเจ้าต้องมากินทุกวัน วันนี้กินแล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องมากินอีก กินเท่าไรก็ไม่รู้จักเต็ม จะไม่กินก็ไม่ได้เพราะถ้าท้องหิวก็เป็นทุกข์"

ชาวนาฟังแล้วจึงกล่าวว่า "พญานกผู้มีปัญญา ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่า ท่านเป็นนกที่โลภมาก เพราะนกตัวอื่นเขาหากินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่คาบอะไรไป ส่วนท่านบินมาหากินแล้ว ก็ยังคาบรวงข้าวกลับไปอีก แต่พอฟังท่านแล้ว จึงรู้ว่าท่านไม่ได้คาบไปเพราะความโลภ แต่คาบไปเพราะความดี คือเอาไปเลี้ยงพ่อแม่ เอาไปเลี้ยงลูกน้อย และเอาไปทำบุญ ท่านทำดีจริงๆ"

ชาวนามีจิตเลื่อมใสในคุณธรรมของพญานกมาก จึงแก้เครื่องผูกออกจากเท้าพญานก ปล่อยให้เป็นอิสระ แล้วมอบนาข้าวสาลีให้

พญานกรับนาข้าวสาลีไว้เพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งกะคะเนแล้วว่าเพียงพอแก่บริวาร จากนั้นจึงให้โอวาท แก่ชาวนาว่า "ขอให้ท่านเป็นผู้ไม่ประมาท หมั่นสั่งสมกุศลด้วยการทำทานและเลี้ยงดูพ่อแม่ผู้แก่เฒ่าด้วยเถิด"

ชาวนาได้คติจากข้อปฏิบัติของพญานก จึงตั้งใจทำบุญกุศลตั้งแต่นั้นมาจนตลอดชีวิต

นกแขกเต้าผู้มีปัญญา รู้ว่าควรบริหารจัดการทรัพย์สินอย่างไร จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งต่อตนเอง ต่อครอบครัว และต่อสังคม
นับเป็นการใช้ทรัพย์อย่างชาญฉลาด ที่ยิ่งใช้ก็ยิ่งมีความสุขความเจริญ สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ สุขทั้งในปัจจุบัน และอนาคต


หมายเหตุ จาก หนังสือ สันโดษ...เคล็ดลับของความสุข ของ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

3 ความคิดเห็น:

  1. ข้าน้อย...เลื่อมใสในกุศลปัญญา
    ของพญานกยิ่งนัก

    ขอคารวะในความกตัญญู
    ความเมตตา..และใจบุญค่ะ

    จะว่าไปพญานกกินแค่เม็ดข้าวเซลล์สมองทำไมฉลาดล้ำลึก คมความคิดยิ่งนักเนาะ

    ถ้าเทียบเท่าน่าจะเป็นผู้นำ ผู้ปกครอง
    หากว่าสะสมกุศลกรรมดีดั่งเม็ดข้าว3รวงนั้น
    สังคม ณ ปัจจุบันคงสงบสุข
    เป็นสุขๆโดยถ้วนหน้าล่ะ

    มนุษย์หรือคนแท้ๆบางคน..อาจต้องอายพญานกนะเนี่ยะ^^"

    ว่าแต่คุณPC มีแรงบันดาบใจอันใดหนอ
    จึงจุดประกาย case นี้ให้บังเกิดแก่คนอ่านเล่า:D

    (คือว่า...คนอ่านมีความรู้สึกว่าตัวเองก็จิตใจดีแบบพญานกด้วยแหล่ะ) แห่ะๆ:D

    ตอบลบ
  2. เอ่อ..พิมพ์ผิดอ่ะ^^"
    ผิดเป็นครู..นี่ดีจริงหนอ

    จากบันดาบ--->บันดาล ..ค่ะ แห่ะๆ:D

    ตอบลบ
  3. เอ๋...ถ้ามึงเป็นนกแขกเต้า มึงจะคาบข้าวสาลีกลับทีละกี่รวงว่ะ?

    3 or 4?

    หุหุ

    ตอบลบ