วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หนุ่มบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง


หนุ่มบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง
เสี่ยงโชคเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ
ทั้งที่มิได้มีความรู้อะไรเลย

เนื่องจากได้ทราบข่าวที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่า
มีโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ
กำลังรับสมัคร นักการภารโรง ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา

จึงนั่งรถมากรุงเทพ
และเดินกางแผนที่ (ที่เพื่อนเขียนให้)
สุ่มถามชาวบ้านถึงที่ตั้งของโรงเรียนนั้น
ซึ่งกว่าจะเจอก็เหงื่อตกไปหลายปี๊บทีเดียวแหละ

เมื่อเข้าไปแจ้งความจำนงที่แผนกธุรการ
จึงมีเจ้าหน้าที่มาเรียกให้นั่ง
และยื่นใบสมัครมาให้กรอกข้อความ
นายหนุ่มนั้นก็ยิ้มแหย ๆ
ยกมือไหว้แล้วบอกอ่อย ๆ กับเจ้าหน้าที่ว่า

"...ขอโทษครับพี่
ผม...คือว่า....
ผม...อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ครับ..."


เจ้าหน้าที่ ท ี่นั่งรับสมัครอยู่นั้น
ชักสีหน้าทันที

"....อะไรกัน คิดจะมาสมัครงานที่โรงเรียน
ถึงจะตำแหน่งแค่ นักการภารโรง
ถึงจะไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษา
แต่อย่างน้อยก็น่าจะอ่านออก เขียนได้ บ้างแหละ"


หนุ่มบ้านนอกหน้าซีด
ยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ประหลก ๆ


"...ผมไม่รู้หนังสือจริง ๆ ครับ
แต่ช่วยรับผมไว้หน่อยเถิดครับพี่
ให้ผมแบกหามกวาดถูอะไรก็ได้ทุกอย่างครับ"

"งั้นก็คงจะไม่ได้หรอก. .."
เจ้าหน้าที่เก็บใบสมัคร กับปากกาที่วางไว้ให้ คืนที่อย่างไม่มีเยื่อใย


"...เรามาสมัครงานกับโรงเรียนนะ
อย่างน้อยก็ต้องมีพื้นรู้หนังสือบ้างสิ
ถ้าไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้ ก็เสียใจด้วยนะ
กลับไปเถอะ"

หนุ่มบ้านนอกก็ได้แต่เดินออกจากโรงเรียน
ที่ตั้งความหวังว่าจะได้งานทำนั้นอย่างเงื่องหงอย

และเมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ในกรุงเทพ
ก็จึงต้องจำใจ กำเงินจำนวนสุดท้าย
นั่งรถ ซมซานกลับบ้าน อย่างนกปีกหัก



แต่เมื่อกลับถึงบ้าน
จึงนึกขึ้นได้ว่า
ตนเองนั้นเพิ่งได้รับมรดก
เป็นที่ดินสวนรกร้างเท่าแมวดิ้นตาย
มาจากพ่อผู้ล่วงลับไปแล้ว

ด้วยความเจ็บใจ
จึงเกิดเป็นแรงมานะ ให้จับจอบเสียม
หักร้างถางพง ที่ดินสวนเก่าที่รกร้างนั้น
และค่อย ๆ พลิกฟื้นลงร่องผลไม้ไปทีละเล็กละน้อย
อย่างฮึดสู้ชะตาชีวิต ด้วยความอดทน. . .



อาจเป็นบุญในปางบรรพ์
ของพ่อหนุ่มคนนี้ก็ได้
ที่ปรากฎว่า หลายปีต่อมา
สวนผลไม้ที่ลงแรงไว้นั้น
ออกผลอย่างงดงาม
และสร้างผลกำไรมากทบทวีขึ้นทุกปี
กระทั่งสามารถเก็บเงินซื้อที่ดินในแปลงข้างเคียง
ขยายอาณาเขตสวนของตนเอง จนกว้างขึ้น และกว้างขึ้น. . .

หลายสิบปีต่อมา
จากความขยันขันแข็ง มานะอดทน
และประสบการณ์ที่เพิ่มพูน


บัดนี้
หนุ่มบ้านนอกคนนั้น
ก็กลายเป็นชายชรา
ที่คนทั้งเมืองรู้จักในนามของ
พ่อเลี้ยงสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด
และภูมิภาคนั้น



อยู่มาปีหนึ่ง
เมื่อเก็บเกี่ยวผลไม้มากมายมหาศาล
และชำระบัญชีเรียบร้อย
โดยฝีมือของลูกหลานที่เลี้ยงดู ให้การศึกษา
และแจกงานการให้ทำในสวนนั้นแล้ว


พ่อเลี้ยงชราก็หอบเงินเป็นฟ่อน
นั่งรถเข้ามาในตัวอำเภอ
เพื่อขอเปิดบัญชีกับธนาคารเป็นครั้งแรก

เมื่อแจ้งนาม และความจำนงกับธนาคารแล้ว
พนักงานถึงกับตื่นเต้นกันยกใหญ่
ผู้จัดการสาขาถึงกับเดินมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยทีเดียว

เมื่อพนมมือไหว้ลูกค้าใหญ่ รายใหม่ อย่างนอบน้อมแล้ว
ผู้จัดการก็แตะข้อศอก
ยื่นใบเปิดบัญชีพร้อมปากกาปลอกทอง
ให้กับพ่อเลี้ยงชราอย่างพินอบพิเทา

"ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง
ที่ได้มีโอกาสบริการพ่อเลี้ยงในครั้งนี้
รบกวนกรอกใบเปิดบัญชีด้วยครับ"

พ่อเลี้ยงชราส่ายหน้าช้าๆ
ยื่นปากกาปลอกทองคืนให้กับผู้จัดการ
พร้อมกับยิ้มให้ พลางกล่าวเนิบๆ

"พ่อหนุ่มช่วยกรอกรายการให้ลุงทีเถิด
ลุงอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้หรอก...."

ผู้จัดการรับปากกาคืนมาโดยอัตโนมัติแบบงงสุดขีด
พลางค่อยๆอ้อมแอ้มถามลูกค้ารายใหญ่ (มาก ) อย่างเกรงใจสุดๆ


"... เอ่อ...ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยครับ...
...เอ่อ...ขออนุญาตเรียนถามพ่อเลี้ยงด้วยความเคารพนิดหนึ่งเถิด ครับ
คือ....พวกเราในจังหวัดนี้ก็ทราบกันดีอยู่
ถึงชื่อเสียงของพ่อเลี้ยง
ในกิจการสวนผลไม้ที่ใหญ่โตและเจริญก้าวหน้าที่สุดในภูมิภาคนี้
แต่..." ผู้จัดการ ชะงัก ด้วยความเกรงใจ

และในที่สุดก็หลุดปากถามออกมา
ด้วยความฉงนที่มิอาจเก็บไว้ได้จริงจริง

"...แต่ พ่อเลี้ยงอ่านหนังสือไม่ออก
และเขียนหนังสือไม่ได้ หรือครับ..."


"...พ่อหนุ่ม" พ่อเลี้ยงชรายิ้มให้ผู้จัดการสาขาของธนาคารอย่างใจดี

"...ถ้าลุงอ่านหนังสือออก และเขียนหนังสือได้น่ะนะ..."

แกถอนหายใจยาว

ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผู้จัดการถึงกับอึ้งไปนานเลยว่า

"...ป่านนี้ ลุงก็คงได้เป็นภารโรงไปแล้วแหละ..."

================================


คุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา
แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา
โอกาสยังมีอยู่เสมอ ขอเพียงแต่มองไปรอบๆ
ตั้งใจทำในสิ่งที่ทำได้ และทำให้เต็มความสามารถ
แล้วดอกผลจะตามมาเอง


ที่มา Fw:mail ค่ะ/Ju



What can you do with the new Windows Live? Find out

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ธรรมะในครอบครัว: จากร้อนเป็นเย็น คนอยู่เป็นสุข

ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนนะคะว่าครอบครัวบีมเป็นมายังไง

ครอบครัวบีมเป็นครอบครัวขนาดปานกลางค่ะ ก็จะมีคุณพ่อคุณแม่ น้องสาว ญาติสนิทอีกคน คุณตา คุณยาย คุณลุง คุณป้า (ในอดีตนะคะ) และเราก็มีคุณปู่คุณย่าและญาติฝ่ายนู้น แต่อยู่ห่างกันค่ะ ไม่ค่อยสนิท

พ่อกับแม่บีมเป็นครูสอนโรงเรียนเทคนิคทั้งคู่ค่ะ
คุณตาเป็นเจ้าของโรงสี (ตอนนี้คุณตาเสียแล้ว คุณแม่มาดูแลแทน)
คุณยายเป็นแม่บ้าน
คุณลุงกับคุณป้าเสียไปแล้ว

บีมจำได้นะคะ ว่าแต่ก่อนนี้ ครอบครัวบีม "ร้อนเป็นไฟ"

คือ เราจะมีมวยคู่เอก 3 คู่หลัก ๆ ค่ะ คือ ตากับยาย พ่อกับแม่ และบีมกับน้อง

ไม่รู้เป็นอะไร มีเรื่องให้ทะเลาะกันตลอดเลยค่ะ ....

จนคุณแม่กลัวบีมสุขภาพจิตเสีย พอบีมสอบติดที่เชียงใหม่ เลยให้ไปเรียนที่นั่น

จากนั้นมา กลายเป็นว่าีบีมห่างบ้านไปเลยค่ะ ...และไม่ค่อยสนิทกับคุณพ่อคุณแม่ แต่ท่านทั้งสองกับคุณตาก็มาหาตลอดนะคะ

แต่ใจบีม ไม่่ชอบบ้านตัวเองเลยค่ะ...ไม่อยากกลับบ้าน...

และัยังมีช่องว่าง มีปัญหาหลายอย่างที่เราไม่คุยกัน...เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ระหว่างพวกเรา

แต่ในวันนี้ บีมกับครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแ่ม่ที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงโดยใช้ความรัก ความเมตตา และการให้อภัย นำความเย็นกลับมาสู่ครอบครัวค่ะ

เรา่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา

มีหลายเรื่องที่เรามีปากเสียง...

แต่คุณแม่เริ่มเปลี่ยนแปลง "การจัดการ" วิกฤติค่ะ

จากใช้อารมณ์และความเอาแต่ใจ มาใช้ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัย

บีมขอบอกเลยว่า สิ่งเหล่านี้สำคัญมากสำหรับการอยู่ร่วมกันของมนุษย์

การให้อภัยนั้น เป็นทานที่ยิ่งใหญ่

และผู้ที่ได้รับอภัยทานนั้น ก็ควรที่จะรู้จักปรับปรุงตัวไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างที่ผ่านมาอีก

กระบวนการของการเีรียนรู้ เข้าใจ ให้อภัยกันและกันในครอบครัวของบีม เกิดขึ้นเพราะทุกคนค่ะ

ล่าสุดนี้ บีมได้เริ่มซึมซับและได้ใช้วิธีใหม่ในการจัดการความขัดแย้ง...

บีมมีปัญหากับน้อง โดยที่เค้าไม่ฟังสิ่งที่บีมแนะนำ

เราก็มีปากเสียงกันค่ะ

แต่ในที่สุด หลังจากวางโทรศัพท์ไป บีมมานั่งนึกว่า น้องโดนลดเงินเดือน ตอนนี้คงสับสน เราจะไปพูดให้เค้ายิ่งแย่ทำไมเนี่ย

และพอคุณแม่ทราบ คุณแม่ก็บอกบีมว่า น้องเครียดอยู่ ให้โทรไปหาเถอะ

ตอนแรกใจบีมมันสู้กันนะ ระหว่างอีโก้ว่าตัวเองถูก กับ เห็นใจและเข้าใจน้อง จะยอมลดตัวลงมา

และแล้วนางฟ้าในใจบีมก็ชนะค่ะ

บีมขอโทษเค้าโดยเขียนไปที่ Hi5 เพราะเค้าไม่่รับโทรศัพท์
เขียนอีเมลหา เพราะเห็นเค้าไ่ม่ตอบ Hi5

และวันต่อมา บีมก็ส่งเพลงให้กำลังใจเค้าค่ะ วิดีโอ YouTube เพลง "เธอผู้ไม่แพ้"

สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ความตึงเครียดนั้นผ่อนคลายลงค่ะ

น้องก็มาพูดดี ๆ บอกว่า เค้าเครียดค่ะ และขอโทษที่เมื่อวานเป็นแบบนั้น

เห็นมั้ยคะว่าความรัก ความเข้าใจ การให้อภัย ทำให้อะไร ๆ เย็นลง และสามารถแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์

ถ้าบีมเลือก "อีโก้" ป่านนี้บีมคงยังไม่ได้ใจน้องกลับคืนมา และช่องว่างระหว่างเราก็คงจะเกิดขึ้น

สิ่งสำคัญคือ เราควรรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และเราควรปฏิบัติอย่างไรต่อสิ่งนั้น และ ณ เวลาใด

บีมต้องขอบคุณความรักอันยิ่งใหญ่ที่แม่มอบให้บีมตลอดชีวิตที่ผ่านมา

ทำให้ีบีมเรียนรู้ที่จะรักคนอื่น ๆ ในทางสร้างสรรค์ค่ะ และให้ไปอย่างไม่หวังสิ่งตอบแทนค่ะ ^^

หากใครอ่านแล้วเกิดเรียนรู้สิ่งดีงามอันใหม่ ก็ขออนุโมทนานะคะ...

พรุ่งนี้วันพระ บีมชวนมาถือศีล 5 ล่วงหน้าค่ะ ^^

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แก้ว 1 ใบ !!

จาก Fw:mail ค่ะ By Ju@21


พูดโกหกแล้วปากเบี้ยว...ผลกรรมที่ชัดเจน

บีมมานั่งดูรูปตัวเอง แล้วนึกได้ว่าจะเขียนเรื่องนี้มานานแล้วค่ะ แต่ก็ยุ่ง ๆ อยู่กับการทำอย่างอื่นอยู่

วันนี้มีเวลามานั่งเขียนสักที

ใครที่ไม่เชื่อเรื่องเวรเรื่องกรรมก็ขอให้เริ่มเปิดใจ อ่านเรื่องที่บีมกำลังจะเล่านะคะ

มันไ่ม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ว่า กฎแห่งกรรมมีจริง ๆ

เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับปากบีมเองค่ะ

แต่ก่อนตอนที่บีมเป็นเด็ก บีมยังไม่มีปัญหาพูดแล้วปากเบี้ยวนะคะ เวลายิ้มก็ไม่เบี้ยว ไม่เอียง ไม่มีปัญหาอะไรเลย

จนกระทั่ง ตอนที่บีมมาทำงานเป็นพนักงานขายของบริษัทต่าง ๆ และตอนที่ทำขายตรงยี่ห้อหนึ่ง

บีมสังเกตว่า ตั้งแต่บีมทำงานเหล่านี้มา เวลาบีมพูด เวลาบีมยิ้ม ปากก็จะเริ่มเบี้ยวไปทางด้านหนึ่ง แต่ไม่ใช่เบี้ยวแบบเป็นโรคนะคะ แต่รู้ว่าเอียงข้าง

ตอนนั้น บีมเริ่มโกหก คือ เราจะต้องมีเล่ห์กลนิดหน่อย พูดจริงบ้าง หลอกบ้าง เพื่อให้ลูกค้าซื้อของกับเรา คือ พูดไม่จริงนั่นล่ะค่ะ

พอเริ่มทำจากเรื่องเล็ก ๆ คราวนี้ เราก็เริ่มโกหกคำโตได้

จากนั้นมา คนเชื่อถือในคำพูดบีมน้อยลงไปเรื่อย ๆ

จนกระทั่ง บีมได้มารักษาศีล 5 อย่างจริงจังตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

ซึ่งข้อหนึ่งในนั้นคือ ละเว้นจากการพูดโกหก

ผลที่เกิดขึ้นคือ

เวลาบีมพูด เวลาบีมยิ้ม ปากบีมไม่เบี้้ยวแล้วค่ะ

และมีคนเชื่อถือคำพูดเรา

นี่ล่ะค่ะ คือ กฎแห่งกรรมง่าย ๆ ที่หลาย ๆ คนอาจมองข้ามไปหรือไม่สังเกต

นี่แค่เล็ก ๆ นะคะ ไม่ได้ฆ่าใคร

ลองคิดดูสิคะว่าถ้าหากเราไปฆ่า ข่มขืน หรืออะไรที่รุนแรง ผลกรรมที่เราจะได้รับมันจะมากมายขนาดไหน

หากอ่านแล้วดวงตาเห็นธรรม เห็นทางสว่าง ก็อนุโมทนานะคะ

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เพลงขิม "อิ่มอุ่น" สำหรับวันแม่ค่ะ

(คลิกที่หัวข้อเพื่อไปดูวิดีโอได้เลยค่ะ)

เพลงนี้ทุกคนคงจะรู้จักกันดีนะคะ

เป็นเพลงที่บีมชอบและหัดร้องตั้งแต่อยู่มัธยมแล้วล่ะค่ะ...

ส่วนขิมเนี่ย เคยโดนคุณครูจับไปเล่นตั้งแต่ตอน ป.2 ถึง ป.4 ค่ะ แล้วคุณครูก็ย้ายไปชัยนาท...เศร้าเลย

และก็ตกหลุมรักขิมมาก ๆ เสียงมันเพราะมาก ๆ ค่ะ มันทำให้เรามีสมาธิด้วยนะคะ...

ตั้งแต่นั้น ก็บอกคุณแม่ว่า อยากได้ขิมมาตลอด

แต่ว่ายังไม่เคยได้สมใจเลยค่ะ ^^

แต่ตอนนี้ ได้น้องขิมมาแล้ว ก็ฝึกเล่นใหม่ เพราะการเล่นขิมมันยากตรงที่มือซ้าย และก็การรัว...

บีมก็ยังต้องฝึกอีกเยอะเลยล่ะค่ะ ... ถ้าเล่นได้โปร ๆ มันก็จะเพราะมาก ๆ เลย ^^

ลองฟังกันดูนะคะ

เสื้อผ้าอาจจะดูเหมือนชุดกีฬาไปนิดนึง ก็เปิดฟังแต่เีสียงก็พอค่ะ อะอะ ^^ และอีกอย่างไม่มีใครถ่ายวิดีโอให้ เลยต้องลุกเปิดปิดกล้องเอง ต้องขออภัยในความไม่รื่นด้วยนะคะ

ขอให้รักแม่ให้มาก ๆ ค่ะ

แล้วโชคดีทุกอย่างจะเป็นของเรา...^^ (รักด้วยความบริสุทธิ์นะคะ)


กอดอันอบอุ่น....ของคนไร้คู่

"เรียนรู้ที่จะแบ่งปัน..."







คุณจะหาแฟน (หรือคนรัก) อีกสักกี่คนก็ได้
แต่คุณจะมีแม่แค่คนเดียวเท่านั้นในโลกใบนี้

เพราะฉะนั้น รักแม่ให้มาก ๆ นะคะ

ความกตัญญูรู้คุณ จะทำให้ท่านประสบแต่ความสุขความเจริญ
ทำมาหากินรุ่งเรืองไม่รู้หมดค่ะ รักษาสุขภาพด้วยค่ะ
:D

จาก Fw:mail จ้ะ ขอให้ทุกคนมีความสุขกะวันแม่นะคะ
รักแท้ที่ไหน ก็แพ้รักของแม่จ๊ะ :D

-- @Noowieng --

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

รหัสเวลา 1 2 3 4 5 6 7 8 9 เกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิต


เวลา 12 นาฬิกา 34 นาที 56 วินาที วันที่ 7 เดือน สิงหาคม (เดือน 8) ปี 2009
นั้นสามารถนำมาเรียงต่อกันได้เป็น

1 2 3 4 5 6 7 8 9

เลขสวย ระหัสเวลานี้เกิดขึ้นครั้งเดียวนะครับ

น่าสนใจดี
เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในช่วงวินาทีนั้น
อย่างไรก็ดี ขอให้มีจิตใจดี ทุกเวลา ครับ


รูปประกอบ จาก Internet
ข้อมูล จาก FW-Mail
posted by pC

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เกมวัดดวง คุณเป็นพนักงานที่มีทัศนคติที่ดีต่อองค์กรหรือไม่ (เล่นขำ ๆ)

เนื้อหา จาก FW-Mail

เร็วๆนี้องค์กรของผมเพื่อจัดกิจกรรมเพื่อสร้างแรงจูงใจ เพื่อต่อสู้ฟันฝ่าเพื่อเอาชนะปัญหาเศรษฐกิจไม่ดี ผมซึ่งอยู่ฝ่ายพัฒนาองค์กรก็เลยคิดเกมสนุกๆแบบเกมวัดดวงมาเล่นกัน ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งในหลายๆกิจกรรมในวันนั้น แต่เป็นเกมจาก OD ทั้งทีต้องไม่ธรรมดา ต้องสอดแทรกแนวคิดในการเป็นพนักงานที่ดี ทั้งด้านทัศนคติ ความเชื่อ และความรักองค์กร เกมนี้เน้นด้านทัศนคติที่ดีในการเป็นพนักงานที่องค์กรต้องการ ลองทำนะครับ เพียงแค่ ๗ ข้อเอง
เริ่มข้อแรก
พนักงานยังไม่โดนหลอกครับ เพราะยังง่าย


เอ้า...เลือกคับ 1 หรือ 2

ถ้าคุณเลือกข้อ ๒
ตกรอบแรกเลยครับ
เพราะองค์กรต้องการคนรักดี-หามจั่ว ไม่ต้องการคนรักชั่ว-หามเสา
เอา ไปต่อกันครับ .................
..........................................................




เลือกข้อไหน ครับ ?



ถ้าคุณเลือก ข้อ ๑ คุณตกรอบ


เพราะว่า คุณเป็นคนที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ไม่ช่วยองค์กรและยังทำลายองค์กรอีกด้วย แบบนี้ตกรอบ องค์กรไม่ต้องการแล้วองค์กรต้องการคนแบบใดครับ ต้องแบบข้อ ๒ ขยัน "ขันแข็ง"ครับ


ดูภาพต่อมาแล้วเลือกครับ ................

..........................................................



..........................................................



ถ้าคุณเลือก ข้อ๑
คุณเข้ารอบครับ เพราะสภาวการณ์เช่นนี้ เราต้องทำงาน"ตัวเป็นเกลียว"ครับ ไม่ใช่แบบข้อ ๒ ถึงแม้จะน่ารัก แต่ไม่ดีเลยครับ เพราะ ขี้เกียจ "ตัวเป็นขน"





ข้อนี้เริ่มยากครับ
ลองคิดดูดีดี มีเวลาครับ
หนึ่ง ...
สอง ........
สาม ...................
เลือกครับ

ถ้าเลือก ๑ คุณ เข้ารอบ เพราะ คุณทำอะไร ก็"เข้าท่า" สำหรับคนที่เลือก ๒ "ไม่เข้าท่ายังลอยเรืออยู่กลางทะเล" ตกรอบครับ เราต้องการคนที่ทำอะไรดูเข้าท่า ทั้งช่วยองค์กรขยายตลาด ประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น บริการลูกค้าให้ดีครับ
..........................................................



ข้อต่อมาเป็นเรื่องผลไม้ครับ

ใช่ครับ "ท้อ"



เอ๊ แล้วมันท้อเหมือนกัน จะเลือกอย่างไร



ถ้าคุณเลือก ข้อ ๒ แสดงว่าคุณเป็นคน"ย่อท้อ" เพราะท้อมันถูกย่อให้เล็กลง เราต้องการคนที่ทำงานไม่ย่อท้อ ข้อ ๑ เข้ารอบ


ตอนนี้ พนักงานที่ร่วมเล่ยเกือบ ๘๐๐ คน เหลือไม่ถึง ๑๐ คนครับ เพราะโดนหลอก แต่สนุกๆ ไม่ถือสา ระหว่างเฉลย ผมก็บรรยายตามที่เขียนครับ พนักงานก็ค่อยๆซึมซับไปครับ เป็นการเรียนรู้แบบหนึ่งครับ เอา ข้อต่อไปครับ ......
...........................................................








ครับ ลูกไหน
ถ้าคุณ
เลือก 2 "ไม่เอา (ลูก)ไหน" คุณตกรอบครับ


เพราะตอนนี้ คนไม่เอาไหน ไม่เป็นที่ต้องการครับ

..........................................................




สุดท้ายข้อชิงชนะเลิศ
ถ้าคุณเลือก
2 ไข่ คุณแพ้ครับ
เพราะที่ถูกต้องคือ คุณต้อง "เอาถ่าน"ครับ คนไม่เอาถ่าน องค์กรไม่อยากได้ครับ จากการทำกิจกรรมนี้ พนักงานสนุก ได้ข้อคิด และ ร่วมแรงร่วมใจเป็นคนที่มีทัศนคติ บุคลิก และค่านิยมแบบที่องค์กรต้องการครับไม่ต้องตกใจถ้าตอบผิดมาก เพราะสิ่งที่ต้องการให้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ ค่านิยมของการเป็นพนักงาน หรือเป็นผู้ประกอบการที่ดีครับ ลองนำไปทดสอบกับคนในองค์กรนะครับ



===

ทีมงาน จิตใจดี ขออภัย ไม่ได้แจ้งแหล่งข้อมูลหลักของบทความนี้ เนื่องจากหาไม่เจอบนอินเตอร์เน็ต


ถ้าเจ้าของบทความผ่านมา กรุณาแจ้งแหล่งที่มาด้วย ทีมงานจะแก้ไข และอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง
ขอบคุณมากที่เผยแพร่บทความดี ๆ

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แนะนำหนังสือ คู่มือพุทธบริษัท โดยท่านพุทธทาสภิกขุ


:จาก http://weread.in.th/69 via @pruet

----
หนังสือคู่มือพุทธบริษัทเป็นหนังสือที่รวมคำสอนของท่านพุทธทาสห้าเรื่อง จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ โดยทั้งห้าเรื่องเป็นเรื่องที่สำคัญต่อพุทธบริษัททั้งนั้น เช่น หลักการตัดสินปัญหาชีวิต หรือหลักการมองสิ่งต่าง ๆ ในด้านใน สำหรับหนังสือที่แจกนี้ ต้นฉบับมาจากสำนักพิมพ์สุขภาพใจ และผมได้เอามาตัดขอบออก เพื่อให้ตัวหนังสือใหญ่ อ่านง่ายในเครื่องอ่านอีบุ๊คนะครับ ขนาดแฟ้มอาจจะใหญ่หน่อย แต่ว่าคุ้มค่ากรรอคอยแน่ครับ

ชื่อหนังสือ: คู่มือพุทธบริษัท โดยท่านพุทธทาสภิกขุ
รูปแบบ: PDF
จำนวนหน้า: 211
ดาวน์โหลด: ในรูปแบบ PDF

by pruet

-----

สมาชิกชุมชนจิตใจดี สามารถดาวน์โหลดได้ที่หน้าไฟล์ใน google group นะครับ

ภาพประกอบ จากอินเตอร์เน็ต

pC

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ข้าวต้มมัดคุณย่า...

ข้าวต้มมัดคุณย่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ...เมื่อวานนี้เอง

น้องโมโม...นักเรียนป. 2 ยกมือบอกคุณครูทันที เมื่อคุณครูถามว่าผู้ปกครองใครทำขนมเป็นบ้าง... “ คุณย่าหนูทำขนมข้าวต้มมัดอร่อยมากค่ะ”

วันหนึ่งคุณครูก็โทรมาที่บ้านขอสายคุณย่าน้องโมโม ...และแจ้งความจำนงว่าต้องการให้คุณย่ามาสาธิตการทำข้าวต้มมัดให้เด็ก ๆ ที่โรงเรียนดู เพื่อให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้วิธีการทำขนมข้าวต้มมัด คุณย่าคงตอบรับคุณครูไปแล้ว แต่ต่อหน้าลูก ๆ หลาน ๆ กลับบ่นว่า “จะฮื้ออีแม่ไป สาธิต ไปอู๊ อาหยังต่อหน้าคนนัก ๆ แม่บ่ะย๊ะ ดอกเด้อ !....สำเนียงเหนือปนลาวของแม่จะออกห้วน ๆ แล้วหันหน้าไปดุโม โม “ละอ่อนมูนี่วุ่นวาย”...น้องโมโมก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ น้องมุกพี่สาวน้องโมโม และคุณพ่อ ช่วยกันจดรายละเอียดวิธีการทำข้าวต้มมัดเพื่อพิมพ์ไปแจกเด็ก ๆ

ปกติเวลาหลังเลิกงานถ้าไม่ได้อยู่เวรดิฉันก็จะไปที่บ้านแม่ (คุณย่าน้องโมโม) ทุกวัน ดูแลเรื่องอาหารการกินบ้างในบางวัน หรือไปกินข้าวเย็นถ้าแม่ทำกับข้าวอร่อย ๆ ไว้รอ เช่น แกงแคไก่ ตำมะเขือยาว แกงส้มปลานิล ซึ่งเป็นอาหารทางเหนือที่แม่ชอบทำ ดิฉันและน้อง ๆ ก็ชอบกิน ช่วงหลัง ๆ ที่แม่ไม่ค่อยสบาย ลูก ๆ ก็ห้ามไม่ให้ทำอะไรมาก แต่ห้ามเถ๊อะ...เดี๋ยวก็ได้กินอีกละ ...ทั้งขนมหรืออาหารต่าง ๆ ที่ลูกชอบก็ยังได้กินอยู่เสมอ ๆ แม้จะนาน ๆ ครั้ง แต่แม่ก็คงมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ...

ข้าวต้มมัด เป็นขนมที่แม่ชอบทำให้กินบ่อย ๆ เพราะที่บ้านมีวัตถุดิบ ทั้งกล้วยน้ำว้า ใบตอง และข้าวเหนียว ส่วนถั่วลิสง และไม้ตอกก็ซื้อเพิ่ม ไปชมบรรยาการการทำข้าวต้มมัดกันค่ะ....


ต้นกล้วยน้ำว้าข้างบ้านที่แม่ (คุณย่าของมุกกะโมโม) ปลูกไว้
หน้าบ้านมีต้นแค ชะอม ต้นพริก ข้าวโพด ที่เพื่อนบ้านชอบมาเด็ดไปกินได้ แม่ไม่หวงค่ะ


เมื่อถึงวันที่ต้องไปสาธิต...การทำข้าวต้มมัด ดิฉันจึงรับอาสาไปส่งแม่และหลาน ๆ ที่โรงเรียน แม่ให้น้านางเพื่อนบ้านที่สนิทกันเหมือนญาติไปเป็นเพื่อน ขากลับแม่บอกว่าจะนั่งสามล้อเครื่องกลับเอง เพราะลูก ๆ ทุกคนต่างก็ต้องไปทำงาน ระยะนี้ดิฉันต้อง ออกปฏิบัติงานอนามัยโรงเรียนตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนเด็ก

ช่วงนี้มีฝนตกทุกวัน เช้านี้ก็เช่นกัน มีฝนตกปรอย ๆ ตก ๆ หยุด ๆ




ทีมงานของคุณย่า...


น้องมุก คอยเดินจูงแขนคุณย่าระหว่างเดินไปตึกเรียน


ห้องเรียนชั้นป. 2 อยู่บนอาคารชั้น 3 ด้านหลังโรงเรียน คุณย่าจึงต้องเดินไกลสักเล็กน้อย ตอนกลับก็คงจะลำบากถ้าปล่อยให้ผู้เฒ่าทั้งสองเดินออกมาหน้าโรงเรียน โบกสามล้อเครื่องนั่งกลับบ้าน อีกทั้งฝนยังตกปรอย ๆ ลงมาเรื่อย ๆ
ดิฉันจึงคิดว่าจะต้องรอรับแม่กลับบ้านด้วย เพราะในหนังสือเชิญบอกว่าการสาธิตเวลา 8.00 - 9.00 น. คิดแล้วก็โทรศัพท์ขออนุญาตหัวหน้าว่าจะเข้าไปทำงานสายสักเล็กน้อยนะคะ..


ถึงห้องเรียนคุณย่านั่งพักเหนื่อย..


คุณครูประจำชั้นจัดกลุ่มนักเรียน

น้องมุกอ่านวิธีทำข้าวต้มมัด ..หลังจากนั้นคุณย่าสาธิตการห่อข้าวต้มมัด

ข้าวต้มมัดที่สุกแล้ว...ตัดใส่จานโรยด้วยมะพร้าวอ่อน แก่ แล้วแต่ชอบค่ะ

วิธีทำข้าวต้มมัดสูตรคุณย่า

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

ส่วนประกอบวัตถุดิบ
1. หม้อขนาดใหญ่สำหรับต้ม
2. ข้าวสาร (ข้าวเหนียว)
3. เตาถ่าน
4. เมล็ดถั่วลิสงดิบ
5. ถ่าน/ฟืน
6. กล้วยน้ำว้าสุก
7. มีดปลอกผลไม้
8. มะพร้าวอ่อน แก่ แล้วแต่ชอบ
9. ภาชนะสำหรับผสม/ใส่วัตถุดิบ
10. เกลือ
11. ที่ขูดมะพร้าว
12. ใบตอง
13. ไม้ตอก
14. น้ำตาล
15.น้ำเปล่า



ขั้นตอนจัดเตรียมวัตถุดิบ
1. นำข้าวสารไปล้างขัดในน้ำให้ขาวสะอาด โดยใช้มือทั้งสองถูไปมา เสร็จแล้วแช่ในน้ำประมาณ 30 นาที เพื่อให้ข้าวฟองตัว
เวลานำไปต้มจะได้ข้าวที่เหนียวนุ่ม หลังจากนั้นนำขึ้นตั้งพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2. ล้างเมล็ดถั่วลิสงให้สะอาดแล้วนำไปผสมกับข้าวสารที่เตียมไว้ ใส่เกลือผสมลงไปเล็กน้อย

3. นำกล้วยน้ำว้ามาปลอกเปลือก เสร็จแล้วใช้มีดผ่าครึ่งตามทางยาวใส่ภาชนะไว้
4. ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดใบตอง แล้วฉีกให้มีความกว้างประมาณ 20 ซ.ม.
5. นำตอกไปแช่น้ำให้อ่อนตัว เมื่อเวลามัดจะได้ไม่แตกหัก
6. นำมะพร้าวห้าวมาขูดเอาเนื้อ โดยขูดเบา ๆ มือ จะได้ชิ้นบาง ๆ เสร็จแล้วใส่ภาชนะไว้
ขั้นตอนวิธีทำ
1. นำใบตองที่เตรียมไว้ 2 ใบวางซ้อนกันบนฝ่ามือซ้าย โดยให้ด้านที่ผิวมันอยู่ด้านล่าง
2. ตักข้าวสารที่ผสมกับเมล็ดถั่วประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ วางบนใบตองตรงกลาง แล้วเกลี่ยเล็กน้อย
3. นำกล้วยฝ่าครึ่งที่เตรียมไว้วางลงตรงกลางข้าวสาร กดลงเล็กน้อย แล้วนำข้าวรอบ ๆ กล้วยกลบทับด้านบนกล้วยอีกครั้ง
4. พับใบตองด้าวหัวแม่มือทับข้าวและกล้วยไปทางด้านนิ้วก้อย แล้วพับกลับคืน โดยให้พับเก็บขอบใบตองให้แน่นและดูสวยงาม
5. จับกลีบใบตองส่วนบนให้สวยงามและพับเข้าด้านใน กลับใบตองส่วนล่างขึ้นบนจับกลีบแล้วพับทับกับส่วนแรก วางทับไว้

6. ทำตามข้อ 1-5 แล้วนำข้าวที่ห่อไว้ 2 ชิ้นมาประกบกัน ใช้ไม้ตอกที่เตรียมไว้รัดปลายทั้งสองด้านให้แน่น และดูสวยงาม
7. นำข้าวต้มที่มัดเรียบร้อยแล้วเรียงใส่หม้อจนเกือบเต็มเสร็จแล้วใช้เกลือโรยเล็กน้อย
8. ใช้เศษใบตองที่เหลือปิดทับด้านบนให้สนิก เสร็จแล้วเติมน้ำจนท่วมใบตอง
9. ยกหม้อตั้งบนเตาถ่านที่ก่อไฟไว้แล้ว โดยต้มประมาณ 1 ช.ม. จนข้าวต้มมัดสุกจนทั่ว ตักพักไว้บนภาชนะ
10. แกะใบตองออก แล้วหั่นข้าวต้มเป็นชิ้นพอคำใส่จานโรยด้วยมะพร้าวที่ขูดไว้ ตักน้ำตาลไว้ข้างจานเล็กน้อยสำหรับคนชอบหวาน

โดย นางจันทร์ดี มโนสัมฤทธิ์ [ คุณย่าของ ด.ญ.ชนิสรา มโนสัมฤทธิ์ (โมโม) ป.2/3



คุณครูให้เด็ก ๆ ฝึกตัดใบตอง และใช้เศษใบตองใส่ห่อเป็นข้าวต้มมัด


เด็ก ๆ โชว์ผลงานห่อข้าวต้มมัด



น้องโมโม และเพื่อนกล่าวขอบคุณคุณย่า
จากนั้นคุณย่าก็แจกข้าวต้มมัดให้เด็ก ๆ ได้ชิมคนละ 1 กลีบ

พรุ่งนี้เป็นวันแม่


ขอพระองค์ทรงพระเจริญ




ขอเชิญร่วมสดุดีพระคุณแม่ในวันแม่ด้วยกันค่ะ

พรุ่งนี้อย่าลืมไปกราบแม่นะคะ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขทุกวันค่ะ..

สีตะวัน
11 สิงหาคม 2552
21.50 น.
ฝนตก..กลับบ้านล่ะ...บ้าย บาย

FW: .ใกล้ถึงวันแม่แล้วมีนิทานดีๆ มาฝาก อ่านแล้วให้รักแม่ทุกๆวันนะจ๊ะ

กาลครั้งนึง . .
มีเด็กชายคนนึงถือกำเนิดขึ้นมาด้วยความรักความผูกพัน ของพ่อกับแม่
เมื่อเวลาผ่านไป . .
เด็กชายเติบโตขึ้น และก็ชอบเล่นซนตามประสาเด็กผู้ชาย
เขามักจะออกมาวิ่งเล่นซุกซนอยู่รอบๆต้นไม้ใหญ่ในสวนหลังบ้านเป็นประจำ
นานวันเข้า . .
เด็กชายรู้สึกผูกพันกับต้นไม้ต้นนี้มาก เพราะว่าต้นไม้ที่ให้ร่มเงาร่มรื่น อากาศที่ชื่นเย็น
ต้นไม้ก็ไม่เคยคิดท้อถอยในการปกป้องให้ร่มเงา
มันยังคงให้ความร่มเย็น รวมทั้งยอมเป็นที่ปีนป่ายแก่เด็กชายเสมอมา
และทุกครั้งที่มีปัญหาเกิดขึ้น เด็กชายน้อยคนนี้ก็มักจะมายังต้นไม้นี้เสมอ
จวบจนกระทั่ง . .
เด็กชายน้อยคนนี้ โตเป็นหนุ่ม ร่างกายแข็งแรง และพร้อมที่จะมีคู่ชีวิต
เช่นเคย เขานอนเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ต้นเดิม แล้วเขาก็เอ่ยพึมพำกับต้นได้ว่า :
"ข้าต้องการจะสู่ขอสาวสวยคนนึงมาแต่งงานด้วย เพียงแต่ต้องการเงินซักก้อนหนึ่งเป็นค่าสินสอด"
เมื่อต้นไม้ได้ยินดังนั้น ก็อนุญาตเด็กน้อยว่า :
"เจ้าก็เอาผลไม้ จากต้นของข้านี้ไปขาย แล้วเจ้าก็จะมีเงิน เพื่อนำไปขอสาวตามที่เจ้าต้องการ"
เด็กชายรู้สึกดีใจมาก ลงมือเก็บผลไม้ที่มีอยู่เต็มต้น นำไปขาย ได้เงินมามากมาย
และในที่สุด เขาก็ได้แต่งงานอย่างสุขสมหวังในบ้านหลังเล็กๆ
เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียจนลืมคิดถึงต้นไม้ และไม่เคยกลับไปนอนเล่นต้นไม้อีกเลย
ต่อมา . .
เด็กชายน้อยได้ให้กำเนิดทายาทเพิ่มขึ้นมา บ้านหลังเล็กที่เคยอยู่ก็ต้องต่อเติมให้ใหญ่ขึ้น
เขาระลึกถึงต้นไม้ได้อีกครั้ง และก็อีกครั้ง ที่ต้นไม้ต้องใจอ่อน :
"ข้าอนุญาตให้เจ้าตัดรอนกิ่งก้านสาขาของข้า เอาไปสร้างบ้านหลังใหญ่ให้กับครอบครัวของของเจ้าได้"
ในที่สุดเขาก็มีบ้านหลังใหญ่ และก็ใช้ชีวิตเพลิดเพลินในบ้านหลังนั้น โดยทิ้งให้ต้นไม้ใหญ่อยู่เพียงลำพัง
เวลาผ่านไปนานมาก . .
จนทายาทของเด็กชายน้อยเติบโต ต่างคนต่างพากันแยกไปมีครอบครัวของตัวเองไปจนหมดสิ้น
ความรู้สึกเหงาจับใจเกิดขึ้นกับเด็กชายน้อยที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุ
เขาเคยฝันไว้ว่าเมื่อถึงเวลานี้ เขาจะวางมือจากทุกอย่าง และออกไปหาความสนุกสนานให้ชีวิตบั้นปลาย
ตอนนี้ เขาต้องการเรือซักลำ เพื่อออกเดินทางท่องเที่ยว
เขากลับไปหาต้นไม้ และต้นไม้ก็เข้าใจถึงความปรารถนาของเด็กชายน้อย จึงเอ่ยอนุญาต
เด็กชายน้อยดีใจ รีบตัดเอาลำต้นของต้นไม้ ไปสร้างเป็นเรือ
เพื่อนำไปแสวงหาความสุข หาประสบการณ์ให้กับชีวิต
เด็กชายน้อยก็ล่องเรือท่องเที่ยวไป จนเพลินและลืมเลือนต้นไม้อีกตามเคย
ปล่อยให้ต้นไม้ต่อสู้กับลมแรง ฝน และธรรมชาติที่แสนโหดร้าย อย่างโดดเดี่ยวเงียบเหงาเดียวดาย
สุดท้าย . .
เรือของเด็กชายน้อยที่ใช้มานาน ก็ถึงเวลาต้องแตกสลายลง
จึงระลึกได้ และกลับไปหาต้นไม้อีกตามเคย
แต่คราวนี้สภาพของต้นไม้ทรุดโทรม น่าเวทนายิ่งนัก
เด็กชายน้อยมองต้นไม้อย่างรู้สึกสำนึกผิด
ตอนนี้สภาพของเด็กชายน้อยเองก็ไม่ต่างจากต้นไม้
ผมของเขาเริ่มมีสีขาว ฟันก็เริ่มหลุดร่วงไปทีละซี่ หู ตา ก็เริ่มจะฝ้าฟาง และกำลังป่วยเป็นโรค !
เขาอยากจะนอนเล่นเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ไม่มีโอกาสนั้นสำหรับเขาอีกแล้ว
เพราะต้นไม้ไม่มีร่มเงา ลำต้นก็ถูกตัด เหลือเพียงตอ และราก
น้ำตาหยาดสุดท้ายจากต้นไม้หลั่งไหลออกมา เสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้น กับเด็กชายน้อยว่า :
"เราไม่มีอะไรจะให้เจ้าอีกแล้ว มีแต่รากที่กำลังจะเน่า ผุพังลง ไปในไม่ช้านี้
เจ้าจงรีบเอารากของข้าไปต้มเป็นยาสมุนไพร แล้วดื่มรักษาอาการเจ็บป่วยของเจ้าเถิด"
สิ้นเสียงนั้น เด็กชายก็สะอื้นไห้ทันที
เขาเพิ่งสำนึกและเล็งเห็นว่า ใครที่อยู่เคียงคู่เขามาตลอด ในยามที่มีปัญหา
เขาเริ่มรู้สึกผิด และรู้สึกเสียดายเวลา ที่ผ่านไป ซึ่งไม่อาจจะหวนกลับคืนมาได้
เขาพยายามนำรากของต้นไม้นั้น มาเพาะปลูกในพื้นดินอุดมสมบูรณ์ หวังจะคืนชีพให้มัน
แต่ในที่สุดแล้ว ต้นไม้ก็ตายจากไปด้วย ความอับเฉา