วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

พุทธศาสนา กับ ความเชื่อ

วันนี้วันพระ


เมืองไทยนั้นเป็นเมืองพุทธ
ขอน้อมนำหลักความเชื่อในพุทธศาสนา เพื่อใช้เป็นหลักยึด ก่อนการเชื่อและปฏิบัติใด ๆ


พระพุทธเจ้าจะทรงสอนให้ใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อ โดยมีหลักในการสร้างความเชื่อดังนี้


๑. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่าฟังจากเขาว่ามา
๒. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่าทำตามๆกันมา
๓. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่าผู้คนกำลังเล่าลือกันอยู่
๔. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่ามีตำราอ้างอิง
๕. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่ามีเหตุผลตรงๆมารองรับ(ตรรกะ)
๖. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่ามีเหตุผลแวดล้อมมารองรับ(ปรัชญา)
๗. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่านึกเดาเอาตามสามัญสำนึกของเราเอง
๘. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่ามันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่
๙. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่าผู้พูดผู้สอนนี้อยู่ในฐานะที่น่าเชื่อถือ
๑๐. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติเพียงเพราะว่าผู้พูดผู้สอนนี้เป็นครูอาจารย์ของเราเอง


ที่มา พุทธศาสนาระดับเริ่มต้น

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อะไร..คือชีวิต

ถ้าโลกนี้ไม่มีคนจน
คุณจะรู้ได้ไงว่าคุณรวย

ถ้าโลกนี้ไม่มีคนโง่
คุณจะรู้ได้ไงว่าคุณฉลาด

**ถ้าโลกนี้ไม่มีคนขี้เหร่
คุณจะรู้ได้ไงว่าคุณหล่อหรือสวย(มาร์คซะด้วย อิอิ)

ถ้าโลกนี้ไม่มีแม่สี(แดง นำเงิน เหลือง)
คุณจะรู้จักสีเขียว ฟ้า ม่วง ไหม

ถ้าโลกนี้ไม่มีคำว่า"แพ้"
คุณจะได้รู้จักกับคำว่า "ชนะ" ไหม

ถ้าโลกนี้ไม่มีความทุกข์
คุณจะรู้ได้ไงอะไรคือ ความสุข

ถ้าโลกนี้ไม่มี ฤดู คุณจะรู้จักไหม เม็ดฝน หิมะ
หรือ อากาศร้อน

ถ้าโลกนี้ไม่มีคำว่า "อกหัก"
คุณจะรู้จักไหมกับความรักที่แท้จริง ....

ยังมีอีกมากมาย หลายอย่าง
ที่ทำให้เราได้รู้จักความแตกต่าง

สิ่งเหล่านี้มีไว้เพื่อเตือนสติของคนว่า
อย่ามองอะไรแค่ด้านเดียว

เพราะโลกก็เหมือนกระจกที่มี สองด้านเสมอ
หรือโลกก็เหมือนกับช่วงเวลา

ที่มีมืดก็ต้องมีสว่าง

ในบางครั้งคุณอาจจะมองการกระทำของคนอื่น
ว่าโง่กว่าการกระทำของคุณเอง....

แต่คุณอาจจะเป็นคนโง่ในมุมมองของคนอื่นได้เช่นกัน

จงอย่าคิดว่าคุณเป็นคนที่เก่งกว่าใครๆ
เพราะถ้าคุณคิดนั่นหมายความว่าคุณพร้อมที่จะโง่แล้ว

บางคนที่ด้อยกว่าคุณ...มีโอกาสน้อยกว่าคุณ
ไม่ได้หมายความว่าคุณเก่งกว่าเค้า.....

...วันนี้คุณล้มก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะลุกขึ้นไม่ได้ ...
วันนี้คุณมีเงิน ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะรวยเสมอไป ...

วันนี้คุณร้องไห้ ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีวันหัวเราะ

วันนี้จะมีซักกี่คนในโลกใบนี้ที่ใช้ชีวิตไปกับความแตกต่างที่เกิดขึ้น
ได้อย่างเข้าใจและยอมรับกับสิ่งที่จะตามมาอย่างไม่มีข้อแม้

ที่มา: Fw:mail ค่ะ
--------------------------------

ปล. อยากรู้จัง..ถ้าวันนี้..ไม่มี จิต-ใจ-ดี
เราจะมีวันนี้มั๊ยน๊า.. อิอิ:P

ชุมชน จิต-ใจ-ดี หายไปไหนน๊า
คุณพี่สีตะวัน..ขอเสียงหน่อยค๊า
คุณภาสสอบเสร็จยังเอ่ย..
คุณรินอยู่เจียงใหม่หนาวไหมหนอ..

คิดถึงจ้า..:D

7 wonderful of the world

A group of student were asked to list
what they thought were the present

"Seven wonders of the World."


Though threr were some disagreements,
the following recieved the most votes:


1. Egypt's Great Pyramids
2. Taj Mahal
3. Grand Canyon
4. Panama Canal
5. Empire State Building
6. St. Peter's Basillica
7. China's Greatwall

While gathering the votes,
the teacher noted that one student
had not finished her paper yet.

So she asked the girl
if she was having trouble with her list.
The girl replied,

"Yes, a little.
I couldn't quite make up my mind
because there were so many."

The teacher said,
"Well, tell us what you have,
and maybe we can help."

The girl hesitated, then read,

"I think the Seven Wonders
of the World are:


To See

To Hear

To Touch

To Test

To Feel

To Laugh

And....

To Love"


The room was so quiet
you could have heard a pin drop.

The things we overlook as simple
and ordinary and that we take
for granted are truly wondrous!

A gentle reminder

- that the most precious things in life cannot
be built by hand or bought by man.


-------------------------------------------
-------------------------------------------

โลกเราก็ยังมีสิ่งดีๆสวยๆงามๆ
ให้คนในโลกได้ชื่นชมเนอะ..

อยากให้คนไทย(ตามข่าวที่แสนวุ่นวายนั้น) มีสักหนึ่งอย่าง..
ที่มองดูแล้วสวยงาม สบายตาสบายใจก็พอแล้วล่ะ

ขอจงสงบสุขในเร็ววัน สาธุ๊ๆๆ :D

คุณค่า & จิตใจ

เคยสงสัยไหมว่า ...

"ทำไมคนใกล้ตัวถึงไม่น่าสนใจ?"

เคยสงสัยไหม ..
ว่าทำไม...เรามักจะไม่ได้รู้จักกับคนที่เราอยากรู้จัก

และคนที่เรารู้จัก...มักจะไม่มีใครน่าสนใจ
หรือไม่ก็ไม่ใช่สเปคเรา......

เคยได้ยินเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง...
มีผู้ใหญ่เขาเล่นกับเด็ก

ผู้ใหญ่กำเหรียญอยู่ในมือ แล้วถามเด็กว่า
อยากรู้ไหม.... ในมือของท่านมีอะไร

ถ้าอยากรู้ให้เขกพื้น 5 ที
เด็กก็เขก แต่ผู้ใหญ่ก็ยังไม่ยอมบอก

แล้วก็ถามอีกว่าอยากรู้จริง ๆ ไหม
ถ้าอยากรู้จริง ๆ ให้เขกพื้นอีก 10 ที

เด็กก็เขกอีกด้วยความอยากรู้
คราวนี้ผู้ใหญ่แบมือให้ดู ...

เด็กก็ได้พบว่า...เป็นแค่เหรียญธรรมดาเหรียญหนึ่งเท่านั้น

ต่อมาผู้ใหญ่กำมืออีก แล้วถามอีกเหมือนเดิมว่า..
อยากรู้ไหมว่า...มือท่านมีอะไร

คราวนี้เด็กไม่สนใจ ไม่อยากรู้แล้ว
จริง ๆ ก็คือเมื่อเด็กได้รู้แล้วว่าในมือผู้ใหญ่
เป็นแค่เหรียญธรรมดาเท่านั้น
ไม่มีอะไรพิเศษเลย เขาก็เลยไม่สนใจอีก...


นี่แหละ คนเราก็เป็นแบบนี้
ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา

ไขว่คว้าเพื่อให้ได้รับรู้
เมื่อเราได้รู้แล้วว่ามันคืออะไร

มันเป็น ยังไงเราก็ไม่สนใจมันอีก

ถามว่าเหรียญในมือเปลี่ยนไปไหม
ค่ามันน้อยลงไหม

เปล่าเลย ค่าของมันเท่าเดิม
ยังคงเป็น เหรียญ ๆ เดิม
ทั้งก่อนและหลังที่เราเห็น

แต่ความรู้สึกของเราต่างหากล่ะ..ที่เปลี่ยนไป
ก็เป็นเพราะความรู้สึกที่เอื้อมไม่ถึง
ไปไม่ถึงนั่นแหละ...

ที่ทำให้เราเห็นคุณค่าของ สิ่งที่อยู่ไกล
ต่อเมื่อได้สิ่งนั้นมาแล้ว

ได้รู้จักแล้ว เราก็ไม่รู้สึกเป็นพิเศษอีก...

“เพชร” ไม่ว่าจะมีคนพบหรือไม่ก็ยังเป็นเพชร
ธาตุแท้ของเพชรไม่เคยเปลี่ยน


"เหมือนเหรียญในมือ ไม่ว่าเราจะอยากดูหรือไม่
ผู้ใหญ่จะแบมือให้ดูหรือไม่
เหรียญก็ยังคงเป็นเหรียญ ๆ เดิม
และค่าของมันก็ ไม่เคยเปลี่ยนไปจากเดิมเลย"

ปล. วันนี้เก็บเหรียญ 10 บาทได้
ตอนเห็นเป็นเหรียญ 10 แต่ตอนหยิบแล้วแบขึ้นมา
อยากให้เป็นมากกว่าเหรียญ 10 บาทจัง 555..5

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

การอยู่ร่วมกันของคน...




"การอยู่รวมกันของคนหมู่มาก
ย่อมมีสิ่งที่ดีและไม่ดีปรากฏให้เห็น
มีทั้งชอบและไม่ชอบเกิดขึ้นในใจ
แต่...จะพอใจหรือไม่พอใจอย่างไร
ก็ไม่ควรจะแสดงกิริยาที่ขึ้นชื่อว่าไม่งาม ไม่สมควร
หรือไม่พอเหมาะพอควรให้คนอื่นเห็น ...
เขาจะว่าได้ ว่าไม่ได้รับการสั่งสอน
ดังนั้นจะรู้สึกอย่างไร...ก็ตาม
เมื่อเรามาร่วมอยู่ในคนหมู่มากแล้ว...
ก็ควรทำตนให้เสมอต้นเสมอเสมอปลาย
ทำตัวให้น่ารัก มีประโยชน์ต่อส่วนรวม
ความเห็นแก่ตัวจะมีมากหรือน้อย ก็ควรแสดงออกอย่างเหมาะสม

อย่าเบียดเบียนคนอื่น หรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเพราะความเห็นแก่ตัว..
.............................................................................
แม่เคยสอนว่า...เกิดเป็นคนทุกคน ย่อมมีดีอยู่ในตัวเองทั้งนั้น
ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะแสดงความดีออกมาหรือไม่เท่านั้นเอง
ดังนั้น การจะคบคนให้ดี ก็ควรมองส่วนที่ดีของเขาบ้าง
เพื่อความเป็นมิตรภาพของกันและกัน
แต่ถ้าไม่ต้องการคบกับใคร...
ก็อย่าสนใจในตัวเขา
ปล่อยเขาไปตามทางของเขา
เพราะกรรมของใครก็ของใคร "

..............................................^_^....



***********^_^..................^_^****************
นานแสนนานมาแล้ว
ถนนสู่หัวใจเธอ
ยังคงทอดเหยียดยาว โค้งคด
ราวกับจะไม่มีวันสูญสลาย

ค่ำคืนที่ทารุณ
ลมกระโชก ฝนกระหน่ำ
ผ่านไปคืนแล้วคืนเล่า
แต่แม้ฉันจะร้องไห้
จนน้ำตาเนืองนองเท่าหยาดฝน
ฉันก็ยังคงถูกทอดทิ้งไว้ที่นี่
อย่างไม่รู้หนทาง

หลายครั้งนักที่ฉันรู้สึกเดียวดาย
หลายครั้งนักที่ฉันร้องไห้
แต่จะอย่างไร
เธอก็ไม่เคยรับรู้เลย
ว่ากี่ครั้ง กี่หน
ที่ฉันพยายามผ่านพ้น ถนนสายนี้

แต่ทุกครั้ง
ความพยายามเหล่านั้น
หวลกลับมาหาฉัน
ถนนเหยียดยาวโค้งคด
ตรงที่เธอปล่อยให้ฉันเฝ้ารอ
มานานแสนนาน

อย่าให้ฉันคอยต่อไปอีกเลย
นำทางฉัน
สู่หัวใจของเธอสักทีเถิด

*********** ^o^ ************

The long and Winding Road

The long and winding road.
The lead to your door.
Will never disappear,
I’ve seen that road before.
It always leads me here,
Lead me to your.

The wild and windy night.
That the rain wash away
Has left me full of tears.
Crying for the day,
Why leave me standing here,
Let me know the way.

Many times I’ve been alone.
And many times I’ve cried,
Anyway you’ll never know
The many ways I’ve tried.

But still they lead me back.
To the long winding road.
You left me standing here,
A long long time ago,
Don’t leave (keep) me waiting here.
Lead me to your door.

.....................................*v*..........


มีเพลงมาฝาก ลองฟังดูนะคะ........เผื่อจะโดนใจบ้าง.!!!!

http://www.educatepark.com/english/e_song_pages/imagine.php?id=145&sf=imagine.ram


ของฝากร้อน ๆ จ้า....(ฮ่า ฮ่า ฮ่า ..ปากหัวเราะ ...หัวใจยุกยิก ..อิ อิ)

นั่งตรง ๆ (ขำ ๆ ) http://hmaungudsw.net/showdetail.asp?boardid=271

ความใฝ่ฝันของผู้ชาย http://hmaungudsw.net/showdetail.asp?boardid=272

คำสาปของเจ้าหญิง http://hmaungudsw.net/showdetail.asp?boardid=270


ที่มา : เก็บตก จากไดอารี่ 2531 . / เก็บตกเวปสสอ. เมือง
ภาพ : สีตะวัน...โคมไฟประดับตรุษจีนปีที่แล้ว ที่ศาลปู่-ย่า อุดรฯ

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

18 คำตอบ ที่ทำให้คุณรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง‏

"18 คำตอบ ..

ที่ทำให้คุณรู้สึก...

ไม่มีเรี่ยวแรง .."


เวลาที่เราอ่อนเพลีย เรามักโทษความเครียดและการนอนน้อย
แต่ยังมีสิ่งผิดปกติอื่นๆ อีกที่สามารถสูบพลังจนหมดตัวคุณได้

โชคดีที่เรามีวิธีเรียกพลังใจและกายกลับคืนมา...

1. ใช้โทรศัพท์มากเกินไป
คุณจะเสียน้ำในร่างกายไปทางปากขณะพูด
ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า 'phone-fatigue'

ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพนักงานตามศูนย์บริการลูกค้า
อาการขาดน้ำทำให้เลือดแข็งตัวและลดปริมาณออกซิเจน
ในระบบที่เป็นตัวให้พลังงาน

ดังนั้น ถ้าคุณใช้โทรศัพท์นาน ควรดื่มน้ำมากๆ ระหว่างคุย

2. ความดันเลือดต่ำ
ความดันเลือดต่ำคือสาเหตุใหญ่ที่คุณหมดแรง
แพทย์ยังไม่รู้ว่าทำไม แต่เป็นไปได้ว่ามันทำให้เลือดส่งไปยังสมองไม่เต็มที่

ซึ่งอาจทำให้อ่อนเพลีย อาการที่พบได้บ่อยที่สุดในคนที่มีความดันเลือดต่ำ
คือ รู้สึกหน้ามืดเวลาลุกขึ้นปุปปับ หรือเวลายืนนานๆ
ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์

3. เล่นเน็ตดึกเกินไป
ฮอร์โมนเมลาโทนินจะกระตุ้นให้เรานอนหลับ
แต่แสงจากจอคอมพิวเตอร์ อาจทำให้เราหลับยาก
โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังดูสิ่งที่สนใจอยู่

ซึ่งทำให้คุณมักนอนดึก และมีเวลานอนหลับน้อยลง
ให้คุณทำอย่างอื่นที่ผ่อนคลายกว่า เช่น
อ่านหนังสือแล้วดูสิว่าคุณจะตื่นตัวมากกว่าเดิมในวันใหม่หรือเปล่า

4. กินอาหารไม่เต็มที่
การเฝ้ารออาหารจะเพิ่มปริมาณน้ำย่อย
และทำให้เราดูดซับสารอาหารได้มากขึ้น

ที่มันเกี่ยวกับอาการอ่อนเพลียก็เพราะการขาดธาตุเหล็ก
คือหนึ่งในสาเหตุของความอ่อนเพลียที่พบมากในผู้หญิง

ดังน ั้นไม่ว่าอะไรที่เพิ่มระดับสารอาหารให้คุณ
ก็จะเพิ่มพลังใจและกายให้ด้วย

5. ไม่ออกกำลัง
นักวิจัยพบว่าคนที่ออกกำลังอย่างน้อย 20 นาที
แม้จะแค่อาทิตย์ละครั้งก็จะรู้สึกอ่อนเพลียน้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังเลย
ประมาณ ! 30%

ถ้าเ ห็นว่าออกกำลังเป็นเรื่องยากเกินไป
ให้คุณกินผักและผลไม้เพิ่มคนที่กินผักผลไม้อย่างน้อย 4-5 จานต่อวัน
จะออกกำลังได้อย่างสบายๆ

6. อิทธิพลของเดือนเกิด
ถ้าคุณเกิ ดเดือนธันวาคม หรือมกราคม
จะอ่อนเพลียในช่วงเย็นมากกว่าคนที่เกิดเดือนมิถุนายน
หรือกรกฎาคมที่จะขี้เซาในยามเช้า

นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การสัมผัสของแสงแดดยามเช้าประมาณ15 นาที
จะทำให้คนประเภทหลังตาสว่าง
ส่วนกาแฟยามบ่ายจะเพิ่มพลังให้กับคนประเภทแรก

7. กรามแข็ง
คุณสามารถใส่นิ้ว 3 นิ้วเรียงเป็นแนวตั้งเข้าปากพร้อมกันหรือเปล่า
ถ้าไม่ได้ คุณคงมีปัญหาที่เรียกว่าโรค TMJ (temporomandi bular joint)

แพทย์บอกว่ามันคือความไม่สมดุลระหว่างกล้ามเนื้อใกล้กราม
และตำแหน่งของฟัน

อาการทั่วไปคืออ่อนเพลียและปวดหัว
ปวดคอ หรือไหล่ ควรปรึกษาทันตแพทย์

8. ธรณีหน้าต่างสกปรก
จากการวิจัยพบว่า 88% ของบ้านทั่วไปจะมีราขึ้นตามหน้าต่าง
และการแพ้เชื้อราเหล่านี้เองคือสาเหตุหนึ่งของความอ่อนเพลีย
ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดและตรวจดูผ้าม่านอาบน้ำของคุณด้วยว่ามีราหรือเปล่า


9. ไม่ได้เอาผ้าห่มไปผึ่งแดด
ระดับความขึ้นสูงทำให้ไรฝุ่นเติบโตได้ดี
มันอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบตามหลอดลมในปอด

ทำให้หายใจติดขัดและนอนหลับไม่สนิท
และเป็นสาเหตุของความอ่อนเพลียใน วันต่อมา
นำผ้าห่มผึ่งแดดเป็นประจำ เมื่อความชื้นหมดไป ก็ไม่มีไรฝุ่น

10. เชื่องช้า งุ่มงาม
ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้น
เมื่อคุณงุ่มง่าม เพราะปริมาณกลูโคสเข้าสู่สมองน้อยลง
คุณเลยอ่อนเพลีย การผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด
ทำได้โดยเหวี่ยงแขนไปหน้าและหลัง สลับทีละแขน

11. อยู่ใกล้คนมองโลกในแง่ร้าย
คนที่มองทุกอย่างในแง่ร้ายจะฉุดพลังคุณหดหายไปด้วย

เพื่อลดอิทธิพลของพวกเขา
ให้จินตนาการว่าคุณกำลังใส่เสื้อคลุมสีดำเวลาคุยกัน
ก็จะยับยั้งไม่ให้คุณดูดพลังแง่ลบจากพวกเขาได้

12. อยู่ใกล้เครื่องใช้ ไฟฟ้ามากเกินไป
ขั้วบวกที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์
หรือเครื่องปรับอากาศอาจกระตุ้นให้เกิดฮอร์โมน

ที่ทำให้เราอ่อนเพลียและซึมเศร้า
ให้เสียบปลั๊กตัวแปลงขั้วไฟฟ้า
เพิ่ม ระดับของขั้วลบที่เสริมพลังในอากาศ

13. ลืมดื่มกาแฟตอนเช้า
ถ้าคุณไม่ได้ดื่มกาแฟยามเช้า
พลังกายและใจอาจตกวูบในวันนี้

จากงานวิจัยพบว่า ผู้ร่วมวิจัย 50% มีอาการอ่อนเพลีย
ถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟถ้วยแรกของวัน
ซึ่งมีถึง 13% ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

14. บ้านรก
ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยบอกว่ากองสิ่งของรกเกะกะ
จะทำให้สถานที่นั้นขาดพลังและกระตุ้นให้คุณขาดพลังไปด้วย

คุณไม่ต้องถึงกับเก็บทุกอย่างในทันที
แค่สะสางพื้นที่อาทิตย์ละครั้งก็ใช้ได้

15. ร่างกายมีปัญหา
แม้ว่าการเจ็บหน้าอกคือสัญญาณหลักๆ
บอกถึงอาการโรคหัวใจ แต่สำหรับเพศหญิง สัญญาณนั้นอาจเป็นความอ่ อนเพลีย

ซึ่งมีมากถึง 70% ที่อ่อนเ พลียภายในเดือนนั้น
ก่อนหัวใจกำเริบ สัญญาณอื่นๆอาจรวมถึงการนอนไม่หลับ
หายใจขาดห้วง อาหารไม่ย่อยและความเครียด 43% ของผู้หญิง

ไม่มีอาการเจ็บหน้าอกเลย แม้โรคหัวใจจะกำเริบก็ตาม
พบผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนเป็นโรคหัวใจน้อยมาก

แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ดี ควรตรวจร่างกาย
โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สูบบุหรี่
ความดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอลสูง เป็นเบาหวาน
หรือคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

16. กลั้นหาว
การหาวเป็นวิธีธรรมชาติที่ร่างกายของเรากระตุ้นให้เราตื่น
นักจิตวิทยาบอกว่าการเคลื่อนไหวของกรามจะบีบหลอดเลือดบนใบหน้า

ซึ่งส่งเลือดไปยังสมอง การกลั้นหาวจึงเป็นการยับยั้งกระบวนการนี้
และทำให้คุณยิ่งง่วงนอนมากขี้น

17. ใช้ชีวิตตามตาร าง
ตารางกิจกรรมที่เตือนคุณทุกอย่างว่าต้องทำอะไรบ้าง
คือตัวดูดพลังชั้นดี นักวิจัยพบว่าคนที่คิดว่าเขาทำอะไรไปได้มากแค่ไหน
มักจะอ่อนเพลียง่ายกว่าคนที่ทำสิ่งที่ต้องทำไปเรื่อยๆ

18. หมอนเก่าเกินไป
ถ้าหมอนของคุณยวบยาบไม่แข็งพอ
จะทำให้ลำคอของคุณไม่ได้ระนาบเดียวกับลำตัว

ซึ่งไม่เพียงทำให้กล้ามเนื้อตึงตัวซึ่งทำให้คุณนอนไม่หลับแล้ว
ยังไปกีดขวางระบบการหายใจเวลาคุณหลับด้วย

ถ้าหมอนของคุณอ่อนนิ่มจนโอบรอบแขนคุณได้
ก็ถึงเวลาซื้อใบใหม่แล้ว

ที่มา: จาก Fw:mail ค่ะ

"ลมพัดแรง อากาศหนาว
ขับยวดยานพาหนะก็ระวังด้วยนะคะ

หนาวนี้ขอให้ทุกคนทุกท่านแห่งจิตใจดี อุ่นกาย
อุ่นใจโดยถ้วนหน้าจ้า :D"

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ปากหัวเราะ:P

วันก่อนอ่าหัวเราะบำบัดจากพี่สีตะวัน
ทำให้นึกถึงกิจกรรมในชั้นเรียน
แต่คิดนอกชั้นเรียนได้ค่ะ

หลายสัปดาห์แล้วล่ะ
ได้มีโอกาสสอนเด็กในวิชาที่ว่าด้วย
การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรียกกำลังสอง
โดยวิธีทำเป็นกำลังสองสมบูรณ์
(หากว่า..งง ให้งงไว้ก่อนนะคะ
ห้ามถามค่ะ..เพราะถามแล้วอิฉันก็จะไม่ตอบค่ะ
หยิ่งค่ะ... 555...5)

ปกติก็จะมีการให้คะแนนในแต่ละกิจกรรม
เช่น ตอบเร็ว ถูกต้องให้ + 10
เขียนไม่สวยไม่สะอาด ติด - 5 -10 บ้าง
แล้วแต่ความเข้มของความสกปรก

พูดมาก ไม่ฟังติดลบตะพึดตะพือ
ถามแล้วถามอีกซ้ำคำถามเดิม
โดยไม่ฟังว่าเพื่อนถามยัง
ก็จะติดลบตะพึดตะพือ...
(บนความใจดี..ต้องแฝงความเข้มเข้าไว้ด้วยค่ะ อิอิ)

เด็กๆห้องนี้ให้ความร่วมมือดีมากถึงมากที่สุด
ประมาณว่า..ใครเข้าชั้นหลังครูเพียงก้าวเดียว
ถือว่ามาสาย..ติด-5 ไว้ก่อน
ตอบคำถามหักล้างกันได้

แต่หารู้ไม่ว่าตั้งเกณฑ์ไว้แล้ว
เราต้องทำเป็นตัวอย่างด้วยนะ

อ่ะ..นอกเรื่องไปยาว(เคยตัว..นึกว่าสอนค่ะ อิอิ)

มีอยู่วันหนึ่ง..เอานิสัยคุยทางเน็ตไปใช้
ในสมุดงานเด็กค่ะ

ใช้อย่างไรเหรอคะ
ก็ไปคอมเมนต์งานเด็กค่ะ

แต่ตอนลงท้ายเป็นแบบนี้ค่ะ
"555...5!"

พอเข้าชั้นเรียน
เด็กชอบเปิดสมุดว่า...ครูจะคอมเมนต์ว่าไง
จะให้ A+ B+ หรือคะแนนอย่างไร
เพื่อที่จะเอาไปอวดกัน

แต่อั้ยเจ้าเด็กชายคนหนึ่ง
มันเกิดอาการสงสัยในคะแนนค่ะ

"ครูครับผมได้ -5 หรือ +5 ครับ ทำไมมันหลายตัวจัง"

"ไหน....งานชิ้นนี้ครูให้ A B นี่คะ
-5+5 บ่มี๊..."

เด็กขึ้นเสียงค่ะ
"ครูบ่เชื่อผม..มาเบิ่งตี้ล่ะ"

"ไหนเอามาดู..."

พอเราดูเรานอกจากถึงบางอ้อแล้ว
เรายังขำแบบจำเลยตลอดชีวิตค่ะ

"บ้าแล้ว...ครูหัวเราะตั๊วนั่น"
"ครูบ้าจริงๆแหล่ะหัวเราะเป็นตัวเลข"

น่านมัน..รีบตอบค่ะ

"เธอไม่รู้ว่าครูสอนวิชาอะไร"
"คณิตครับ"
"อือ..ครูคณิตเค้าก็หัวเราะแบบนี้แหล่ะ"

555...5555

"โอ้ยครูนั่น...ชอบพูดอะไรให้ผมงงเรื่อยเลย
ครูแปลกกว่าทุกครูเนาะ ผมล่ะงึด"555...5

มันหัวเราะเลียนแบบและบอกว่า
"ผมก็เป็นลูกศิษย์ครูครับ"

แหม...มีเอาคืน

เหตุการณ์นี้เกิดกะเด็ก ม. 2 ค่ะ
เลยพาลให้นึกถึงเมื่อคราวสอนเด็กม.3
เหมือนกัน

ล่าสุด...สอนเด็ก ม. 2
แต่ไม่ใช่ห้องนี้ค่ะ
สอนเรื่องทฤษฏีบทพิธากอรัส

บังเอิญไปสอนเรื่องหน้าจั่วของบ้าน
ว่ามีอะไรบ้าง...

มีอยู่ส่วนประกอบหนึ่งคือ
"ดั้ง" ดั้งจะตั้งฉากกับขื่อ

เราเลยมีคำถามแผลงๆไปว่า
"นักเรียนคะ นักเรียนคิดว่าดั้งคนเราจะตั้งฉากกะอะไร"
เด็กตอบเป็นเสียงเดียวว่า

"ตั้งฉากกะปาก"

ถูกหรือผิด...ชุมนุมจิต-ใจ-ดี
ช่วยไปต่อ..ยอดความคิดกันต่อนะคะ อิอิ

แต่ดั๊นมีอั้ยคนหนึ่งสงสัยเหมือนกันถามครูว่า
ครูครับครูมีดั้งไหมครับ(มันก็รู้ว่าเราขาดแคลนดั้ง)

แต่เด็กก็คือเด็กค่ะ
เราเลยตอบแบบมั่นใจว่า

"ครูมีดั้งค่ะ..แต่ดั้งครูหลบใน"

555555555555....5555
(เสียงหัวเราะนี้ไม่อยากบอกว่าเด็กหัวเราะค่ะ)

อั้ยเราก็แอบภูมิใจที่ตอบชนะเด็กอีกแย้ววววววววว
เย้ๆๆๆๆ

ครูไผ๋หว๊า..ฉลาดแกมโกงจัง อิอิ
ไม่เชื่อลอง LinK ไปอ่านเรื่องนี้สิคะ แห่ะๆ


จากทั้งสองเหตุการณ์
เด็กเลยได้การบ้านต่างวิชาไปทำกันใหญ่เลย
1 ข้อ ครูวิชาต่อไปนี้(8 กลุ่มสาระการเรียนรู้) น่าจะหัวเราะอย่างไร
งานนี้มันไปถามครูภาษาอังกฤษ
โดนท่านทั้งขำทั้งว่ามาค่ะ

(จ๋ม...555)

นางสาวใจดี :P

เหตุเกิด : ณ หน้าตู้ ATM (Automated teller machine)
หน้าร้านซุปเปอร์มาร์ท แห่งหนึ่ง...

เวลา : เช้าวันจันทร์..เวลาสักประมาณ 7 โมงเศษๆได้
--------------------------------------------------

วันนั้นเราไม่มีตังค์ติดตัวเลยสักบาท
เพราะมันอยู่ในกระเป๋าตังค์ค่ะ แห่ะๆ
และถึงมีบ้างในกระเป๋าตังค์ก็คงไม่พอจ่าย
สำหรับรายการในวันนี้...

ก่อนถึงที่ทำงาน เลยแวะกดเอาซะหน่อย
ก่อนหันหน้าเข้าตู้...มองแล้วว่าไม่มีใคร

ตู้ว่าง....เรากดได้สบายๆ

แต่ว่า.. ขณะที่เรากดอยู่นั้น
มีความรู้สึกว่า...มีอะไรสักอย่าง
มาสัมผัสกับกาย...

มันเป็นแรงดึงดูด
เหมือนมีอะไรมาจ้องมองเราอยู่ด้านหลัง

ความรู้สึกตอนนั้นบอกว่า
"เดี๋ยวกดเสร็จก่อนล่ะกัน...คงไม่มีอะไร"

พอรับตังค์รับบิลเสร็จ
ก็ยังมีความรู้สึกว่า...แรงดึงดูดนั้น
มันอยู่ใกล้ๆตัวเข้ามาทุกที

เอ๊ะ...เหมือนมีคนจ้องดูรหัสนะ
คิดได้...จึงหันมองด้านซ้ายมือ

ไม่เจอใครค่ะ....เพราะอยู่ด้านขวา แห่ะๆ

จึงมองอีกทีเจอป้าคนหนึ่งเค้าแอบ...ไม่ใช่สิ
ตั้งใจเลยล่ะจ้องมองเราอยู่...

ป้าคนนี้แปลกจัง
จ้องเราแล้วไม่พอ...
ยังเอ่ยคำ....

แสดงถึงความดีใจอย่างล้นหลามว่า
"ดีใจแฮง...มีคนส่อยกดเงินให้แหล่ว.."

อั้ยเราก็ยืนมอง นิ่งแกมยิ้มเล็กน้อย
ไม่พูดอะไร....เพราะยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้

จะมีให้กดให้ก็เฉพาะคนที่ทำงาน
ที่เค้ามีตังค์เก็บเยอะแต่กดใช้ไม่เป็น
ทีอั้ยเรามีไม่เยอะ...ไง๋กดได้กดดีจัง ^^"

มองหน้าป้าเค้าเหมือนจะดีใจยังไม่เสร็จ
ย้ำคำพูดเชิงขอร้อง..ว่า

"ส่อยกดให้แหน่ค่ะ แล้วก็บอกรหัสผ่าน XXXX" ตามหลัง

อ้าวๆๆๆ... ป้าไง๋ใจดีบอกรหัสผ่านคนอื่นแบบนั้น

อั้ยเรา..ก็มัวแต่งงอยู่
จึงพูดออกมาได้แค่คำว่า "คะ"
(หนูคะ...เพราะหนูงงป้าต่างหาก)

แต่ป้าเค้าคงคิดว่าเราไม่ได้ยิน
จึงยำอีกว่า "ส่อยกดเงินให้ป้าแหน่ค่ะ
และตามด้วยรหัสผ่าน XXXX"

555.....55555


ที่หัวเราะ..ไม่ใช่ขำป้าเค้านะ
แต่ขำตรงที่เค้าอ่านรหัสผ่านค่ะ

เค้าอ่านแบบนี้ล่ะ..
สมมุติว่า(จริง) รหัสผ่าน 5204
ป้าบอกอย่างมั่นใจเลยค่ะ

"ห้าพันสองร้อยสี่"

55...55555

เล่นเอาครูสอนคณิตศาสตร์งงไปอีกรอบค่ะ

ตอนนั้นยังขำป้าเค้าไม่หายเลย
ทั้งชวนคุยทั้งยิ้มไปด้วย...

ป้าเค้าก็เขินๆนะ

ขณะนั้นเราก็รีบๆอยู่เหมือนกัน
เพราะ 7 โมงกว่า ถือว่าสายแล้ว
ไปสายเดี๋ยวได้ตอกเวลาคนสุดท้าย
เสียประวัติคนทำงานหมด อิอิ :P

อ้อ..ลืมบอกไปว่าขณะที่ป้าบอกรหัสนั้น
เค้ายื่นบัตร ATM ให้เราเลย

เฮ้อ...ป้าไว้ใจคนง่ายไปจังเลย
เอ๊ะ...หรือว่าจะเป็นที่หน้าตาใจดีอย่างเรา
ใครเค้าไม่กลัวน๊า...อิอิ
(ใครจะอ๊วก..ให้ดูก่อนว่าทานอะไร
ที่ราคาแพงลงท้องป่าว อ๊วกออกมาจะคุ้มป่าว
เพราะงั้นโปรดเก็บอาหารดีๆไว้ให้มันออก
ตามธรรมชาติดีกว่าน๊า แห่ะๆ)

อั้ยเรา...หน้าก็งงอยู่หรอก
แต่มือดันไม่งง..รับไว้เฉยเลย

เอ้า...รับมา
ไม่กด...ก็จะทำร้ายความไว้ใจป้าเค้าซะงั้น

เราก็สอดบัตรให้..แล้วบอกป้าว่า
ให้ป้ารหัสเอง...

ป้าทำท่ากลัวตู้ค่ะท่านผู้อ่าน555...5
ทั้งงงทั้งขำแต่เช้าเลยเนอะ
ถึงโรงเรียนเราจะเจออะไรแปลกๆอีกไหมเนี๊ยะ

"กดโลดค่ะ..ป้ากดบ่เป็น"
น่าน..ป้าเล่นมีเหตุผลเข้าข้างตัวเองอีก

ขืนมัวให้ป้าเรียนรู้ด้วยตนเอง
เป็นอันว่าเราไปสายสมใจคนไปสายกว่าแหง๋เลยค่ะ


"เอ้าป้าบอกรหัสหนูอีกทีสิคะ"

(ป้าเว้าลาวอิสาน เรางงดันฟาดไทยปร๋อ)

ป้าคงถูกไม่รู้หลักการอ่านบัตรเลข ATM
ก็ยังยืนยันหลักการอ่านดังเคย

"ห้าพันสองร้อยสี่"

แหม...ป้าหนูงงป้าจริงๆ
แต่ป้าบอกถูกคนแล้วล่ะ
หนูเคยสอนเด็กวิชานี้มาก่อน
หนูกดตามป้าบอกได้...

ตอนป้าบอก...ก็พยายามนึกนะว่ามันมีตัวเลขอะไรบ้าง
กลัวกดผิดเหมือนกัน

แต่เซียนกดซะอย่าง
มีหรือจะพลาด..55...5

ถ้าพลาดตังค์ไม่ออก ชัวร์

อ้อ....ป้าไม้รู้ด้วยนะว่าในบัตรมีตังค์เท่าไหร่
แต่เปิดออก...มี 5 พันกว่าบาท

เราเลยถามว่าเอาหมดป่าวคะป้า
ป้าเค้าบอกว่า

"เอาเบิ้ดเลยหล้า"

แหม...เอาหมดชัดจังค่ะ

ตอนรับตังค์ไป
ป้าดีใจใหญ่เลยค่ะ
เปรยเป็นเสียงซึ้งๆว่า..

"มีเงินซื้อนมให้หลานแหล้วล่ะ"
"แหม่(แม่)มันส่งเงินมาให้ค่านมลูก"
"ขอบใจหลายๆเด้อนาง"

เรา...ก็พลอยดีใจไปกะป้าค่ะ
"บ่เป็นหยังค่ะป้า"

"เก็บตังค์ไว้ในเป๋าดีดีล่ะ
ดีใจด้วยนะคะป้า หลานกี่ขวบล่ะ
ยังดื่มนมป๋องอยู่เหรอ
แม่เค้าไปทำงานกรุงเทพสิ

แล้วจะซื่อนมร้านไหนล่ะ
หนูช่วยได้บ๋อ.."

ป้าตอบไปหลายอย่าง
แต่เขียนอิสานยากค่ะ
ของดเอาออกอากาศ แห่ะๆ

แต่ป้าก็ขอบคุณเราจนอยากลอยไปทำงานล่ะ อิอิ:P

ด้วยความเป็นครูเข้าสิง
อาการอยากสอนคนมันแรง
เลยบอกป้าว่า..

"ป้าคะ..คราวหน้าคราวหลัง
ป้าห้ามเลยนะ..ห้ามยื่นบัตร ATM
และบอกรหัสผ่านใครเค้าง่ายๆล่ะ

เดี๋ยวพวกมิจฉาชีพกดตังค์ป้าหมดนะ"

ป้าบอกว่า..ลูกบอกว่า
ไปตู้เลย..เดี๋ยวให้คนที่ไปกดกดให้ก็ได้...

ง่า....หนูเป็นบุคคลที่ป้าทดลองใช้งานแล้วเหรอเนี๊ยะ
แต่ก็ดีใจค่ะที่ได้ช่วยป้าเค้า

จากเหตุการณ์วันนี้เราก็มานั่งคิดว่า..
ยังมีคนที่เชื่อใจใครง่ายๆอย่างนี้ด้วยเหรอ

นับว่าเป็นความโชคดีของป้าที่ไม่ให้พวกมิจฉาชีพกดให้
ไม่งั้นคงเสร็จโจร (เงินถึงจะน้อย...แต่มันก็ยังคือเงินอยู่ดี)

และก็นอกจากความใจดี ใจงามของเรา
(รอบสองอ๊วกได้ค่ะ กลั้นไว้นานเดี๋ยวบูด 555...5)

แล้ว...วันจันทร์เราใส่ชุดข้าราชการนี่นา
มิน่าล่ะ....ป้าถึงไว้ใจเราขนาดนั้น เห่อะๆ :D

เป็นข้าราชการมันก็ดีแบบนี้นี่เอง
มีใครอยากใช้ข้าราชการคนนี้กดตังค์เพิ่มอีกไหมคะ
ขันอาสาค่ะ อิอิ :P

ใช่หรอก....การแต่งการสุภาพ บุคลิกท่าทางดี
น่าเชื่อถือ...แม้นเค้าไม่รู้ ไม่รู้จัก
เค้าก็กล้าที่จะไว้ใจให้ช่วยเหลือค่ะ

แต่ ณ ปัจจุบันการแต่งกายและหน้าตาคนเรา
มันเชื่อถือและไว้ใจกันยาก
ต้องคบกันนานๆ ค่อยให้ไปสัก 50 % แห่ะๆ
สำหรับเรา...ไว้ใจได้ค่ะ เชื่อย่างนั้นจริงๆนะ
ไม่เชื่อให้กดให้สิ....:P

หลังจากเสร็จภารกิจตรงหน้าตู้ ATM
ก็มุ่งหน่าสู่ที่ทำงานทันที

อ่า....

ใครอ่ะ...มายืนเต้นโหยงๆดีใจโบกไม้โบกมือนะ

"ครูค๋า...า...า...าม...า ให้หนูไปนำแหน่"
"หนูตกรถ" (ตกรถ...คือไปไม่ทันรถประจำทาง)

พ่อเด็กเดินมาส่งลูกตัวเองขึ้นรถเรา
ก่อนจากไป

"ขอบคุณหลายครับอาจารย์"
"บ่เป็นหยังค่ะ"

ลูกสาวใครกันน๊า...ช่างใจดีใจงามอย่างนี้
มีใครอยากรับไปเป็นลูกสาวเพิ่มไหมคะ อิอิ ;D

ปล. การได้ช่วยเหลือคนแบบนี้มันก็ทำให้จิตใจรู้สึกดีเนอะ
วันนั้นทั้งวันทำงานไปด้วย ยิ้มไปด้วยเหมือนบ้าเลยเรา
ใครเอาอะไรมาให้ช่วย...ช่วยหม๊ดดดดดดดดด..

ใจดีเกินไปป่าวเรา แห่ะๆ

เอาล่ะ..อ่านมาถึงตรงนี้
ชมนุมจิต-ใจ-ดี
เห็นด้วยกะนางสาวใจดีไหมคะ
ว่า...การมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น
นอกจากคนที่เราช่วยดีใจแล้ว
ตัวเราเองก็รู้สึกอิ่มเอมใจเหมือนกัน..

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ป๋าเวณียี่เป็ง

ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะตั้งชื่อเรื่องว่าอะไรดี จริงจริงอยากจะตั้งชื่อว่า ยี่เป็งกับสายน้ำปิง แต่พอดีมีโอกาสผ่านไปที่หน้าวัด วัดหนึ่ง มีป้ายติดไว้ว่า "ป๋าเวณีัยี่เป็ง" ก็เลยคิดว่าเอาชื่อนี้ท่าจะดี สื่อถึงความเป็นล้านนาได้ดีทีเดียว อาจจะมีหลายคนสงสัย ป๋าเวณียี่เป็ง นี่คืออะไร จริงจริงก็คืองานลอยกระทงตามภาษากลางนั่นเอง ตรงกับวันเพ็ญเดือนยี่ แล้วทางเหนือเขาทำอะไรในวันลอยกระทงบ้าง

อยากจะขอยกตัวอย่างตามที่ผู้เขียนพบเห็นเองในเชียงใหม่นะคะ อันแรกที่เห็นก็จะเป็นการเอาต้นกล้วยและดอกไม้ต่างๆ มาทำเป็นซุ้มประตูหน้าบ้าน ตอนค่ำๆก็เอากระถางเทียนเล็กๆ มาจุดเรียงไว้หน้าบ้าน อันนี้ไม่ทราบแน่ชัดว่าด้วยเหตุผลอะไรค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ.... พอตอนกลางคืนก็จะปล่อยโคมลอยกัน เห็นสามีบอกว่าทำเพื่อปล่อยเคราะห์ คงเหมือนกับการลอยกระทงที่คนภาคกลางทำๆกันหนะคะ แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะปล่อยโคมกันอย่างเดียวนะคะ พวกเขาก็ลอยกระทงด้วยค่ะ
สำหรับผู้เขียนเองยี่เป็งปีนี้ วันลอยกระทงไปเดินแุถวสะพานนครพิงค์ พอดีเขามีขบวนพาเรดสำหรับผู้ที่ประกวดกระทงกัน เห็นกระทงหลากหลายรูปแบบสวยแปลกตาดีค่ะ โคมที่มาปล่อยกันก็มีหลายร้อยดวงทีเดียว แต่ละอันก็มีสีสันแตกต่างกันออกไป เช่นมีการห้อยประทัด พอปล่อยไปบนฟ้า ก็จะมีไฟเป็นหางยาวลงมา เป็นที่สะดุดตาโดดเด่นกว่าโคมดวงอื่น แต่วันนั้นผู้เขียนไม่ได้ลอยกระทงสักใบเลยค่ะ แต่ว่าปล่อยโคมไปถึงสี่อันที่เดียวก็สนุกดีค่ะ วันนั้นผู้เขียนกับสามีก็ "ม๊วนอกม๊วนใจ" ไปตามตามกันทีเดียวค่ะ

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

หัวเราะบำบัด




สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ ในชุมชน จิต-ใจ-ดี ที่รักทุกท่าน



เริ่มต้น ขอโชว์รูปคนหล่อก่อนนะคะ .. ฮา

วันนี้มีเรื่องราวของการดูแลสุขภาพให้ยืนยาวมาฝากค่ะ
เป็นสิ่งที่เราทำได้เองง่าย ๆ ไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ตามแนวทางของการพึ่งตนเอง ....อิ อิ อิ

การหัวเราะ ฟังดูแล้วไม่ยากเลยใช่ไหม?





******.......^o^........^_^ .... ^ V ^ ......^o^.......^_^ ..........************






ถ้างั้น... ลองฝึกเลยค่ะ แล้วจะรู้สึกว่า..โล่งสบายทีเดียว ..ฮ่า ฮ่า ฮ่า ..

.............................................................................................^_^ ....



หัวเราะบำบัด เป็นการฝึกร่างกาย โดยสั่งอวัยวะให้หัวเราะ


แนวคิดของการหัวเราะบำบัด อิงตามหลักของศาสตร์ตะวันออกที่มองทุกอย่างเป็นองค์รวม โดยเน้นฝึกด้วยท่าหัวเราะ หลายๆท่าต่อเนื่องกัน เพราะในแต่ละท่าจะมีประโยชน์ต่างกันโดยใช้เสียง โอ อา อู เอ นำมาประยุกต์ในกระบวนการหัวเราะบำบัด ซึ่งเป็นเสียงพื้นฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก


การฝึกหัวเราะในแต่ละเสียงมีดังนี้ค่ะ

ท้องหัวเราะ ใช้เสียงโอ เป็นการออกเสียงจากท้อง โดยยืนตัวตรง กางขาเล็กน้อย กางแขนออกไปด้านข้างของลำตัว งอแขนเล็กน้อย กำมือทั้งสองข้างโดยชูนิ้วหัวแม่มือขึ้น ตามองตรง สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ กักลมไว้ จากนั้นค่อยๆเปล่งเสียง “โอ โอะ ๆ ๆ…” เหมือนเสียงซานตาคลอสหัวเราะ ขณะเดียวกันให้ค่อยๆปล่อยลมหายใจออก พร้อมๆกับขยับแขนขึ้นลงประโยชน์ของท่าท้องหัวเราะ เมื่อเปล่งเสียงโอ ทั้งลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ตับ ไต และกระเพาะอาหารจะขยับขับเคลื่อนไปด้วย ท่านี้ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานดีขึ้น ช่วยบำบัดโรคลำไส้อักเสบ โรคกระเพาะอาหาร ท้องผูก ท้องเสีย รวมถึงคนที่มีปัญหาโรคอ้วน ผอมแห้งแรงน้อย บูลิเมีย มีพุง หน้าท้องหย่อน และเบื่ออาหาร


อกหัวเราะ ใช้เสียงอา เป็นการเปล่งเสียงออกจากอก ให้ยืนตรงกางขาเล็กน้อย กางแขนออกไปข้างลำตัวเหมือนนกกระพือปีก หงายมือขึ้น และปล่อยมือตามสบาย ตามองตรง สูดลมหายใจลึกๆ กักลมไว้ ค่อยๆเปล่งเสียง “อา อะ ๆ ๆ…” ดังๆเหมือนเสียงเจ้าพ่อหัวเราะ ขณะเดียวกันให้ปล่อยลมหายใจออก พร้อมๆกับกระพือแขนขึ้นลงประโยชน์ของท่าอกหัวเราะ เมื่อเปล่งเสียงอา จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก หัวใจ ปอดและไหล่ขยับเขยื้อนไปด้วย ท่านี้จะช่วยให้อวัยวะบริเวณหน้าอกทั้งหมดทำงานได้ดีขึ้น และช่วยบำบัดโรคความดัน โรคหัวใจ โรคปอด อาการเจ็บแน่นหน้าอก เส้นเลือดหัวใจตีบ โรคขาดเลือด โดยเฉพาะช่วยให้การเต้นของหัวใจทำงานดีขึ้น ส่งผลให้การสูบฉีดและการไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น


คอหัวเราะ ใช้เสียงอู เป็นการเปล่งเสียงออกจากลำคอ เริ่มด้วยยืนตรง กางขาเล็กน้อย แขนแนบลำตัว ยกตั้งฉากชี้ไปข้างหน้า งอนิ้วนางและนิ้วก้อยเข้าหาตัวเอง ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นและชี้นิ้วชี้และนิ้วกลางไปข้างหน้าในลักษณะชิดติดกัน เหมือนท่ายิงปืน ตามองตรง จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ กักลมไว้ แล้วค่อยๆเปล่งเสียง “อู อุ ๆ ๆ…” เหมือนเสียงหมาป่าหอน ขณะเดียวกันค่อยๆปล่อยลมหายใจออก พร้อมกับแทงมือไปข้างหน้าประโยชน์ของท่าคอหัวเราะ เมื่อเปล่งเสียงอูจะกระตุ้นให้บริเวณลำคอสั่น ท่านี้จะช่วยแก้ปัญหาเจ็บคอ คออักเสบ ปวดคอ คนที่มีปัญหาเนื่องจากต้องใช้เสียงเยอะๆ เช่น ครู นักร้องท่านี้จะช่วยให้คอโล่ง ช่วยรักษาโทนเสียง

ใบหน้าหัวเราะ ใช้เสียงเอ ท่านี้จะทำแบบสบายๆ โดยยืนตามสบาย ค่อยๆยกมือขึ้นมาตามถนัด สูดลมหายใจลึกๆ แล้วขยับทุกนิ้วทั้งหัวแม่มือ ชี้ กลาง นาง และก้อย ตามองตรง ระหว่างนั้นให้เปล่งเสียง “เอ เอะ ๆ ๆ…” ออกมา เหมือนหยอกล้อเด็ก นอกจากจะได้ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กที่นิ้วมือแล้วท่านี้ยังช่วยบริหารสมองด้วยประโยชน์ของท่าใบหน้าหัวเราะ คนสมัยนี้ชอบคิดมาก บึ้งตึง จึงทำให้เครียด ปวดศีรษะ ปวดสมอง เมื่อเปล่งเสียงเอ ใบหน้าจะมีลักษณะเหมือนกำลังฉีกยิ้มโดยอัตโนมัติ เหมือนเรากำลังเล่นจ๊ะเอ๋กับเด็กตัวเล็กๆ เสียงเอจะทำให้เรายิ้มง่ายขึ้น


นอกจากนี้ยังมีท่าหัวเราะบำบัดอีกด้งนี้

จมูกหัวเราะ ย่นจมูกขึ้นและทำเสียง “ฮึๆ…” ในจมูกเหมือนม้า ท่านี้จะช่วยไล่สิ่งสกปรกในจมูกออกมา บำบัดภูมิแพ้ ไซนัส หวัด โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องระบบหายใจ ท่านี้จะช่วยให้จมูกโล่ง


ตาหัวเราะ กะพริบตาถี่ๆ กรอกตาขึ้นลงเป็นวงกลม แล้วเปล่งเสียง “อ่อย ๆ ๆ…” เล่นหูเล่นตา มองซ้ายที ขวาที เพื่อการบริหารดวงตาให้ผ่อนคลาย ใครที่มีปัญหาตาแห้งหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ท่านี้จะทำให้มีน้ำหล่อเลี้ยงที่ตา ช่วยให้ตาชุ่มชื้นขึ้น


สมองหัวเราะ โดยธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเครียดมักจะปิดปาก เป็นเหตุให้ความดันขึ้นสมอง ท่านี้จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว โดยปิดปากแล้วเปล่งเสียง “อึ ๆ ๆ…” ดันให้เกิดการสั่นสะเทือน ขึ้นไปนวดสมอง เมื่อทำเสร็จจะรู้สึกโล่ง โปร่งสบาย


ไหล่หัวเราะ เป็นการบริหารช่วงไหล่ ยืนตรงแล้วส่ายไหล่ไปมา เหมือนการว่ายน้ำฟรีสไตล์ พร้อมกับเปล่งเสียง “เอ เอะ ๆ ๆ…” ใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับไหล่ ท่านี้ช่วยได้


เอวหรือก้นหัวเราะ ช่วยบริหารบริเวณไขสันหลัง ก้นและสะโพก โดยช่วงกลางลำตัวต้องนิ่งอยู่กับที่ ขณะทำให้แขม่วท้องขมิบก้น พร้อมเปล่งเสียง “อู อุ ๆ ๆ…”


........ฝึกลองดูแล้ว ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ...

ถึงตอนนี้...ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีไปนาน ๆ ค่ะ

...........................................^_^.........***






ของฝากอุ่น ๆ Fw mail : เพื่อนฝากมาอีกที

http://gotoknow.org/blog/preephati/219606




ที่มา : หนังสือชีวจิต ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2549

ภาพ : http://planet.kapook.com/files/thumbblog/01529/blog-94438-0-313472-01529.jpg

http://www.musiconthefield.com/uploadz/friend/2741-หัวเราะ.jpg


http://img146.imageshack.us/img146/2692/untitledic8.jpg

http://www.geocities.com/CollegePark/5552/GiffordBaby_files/smile.JPG

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เรื่องของเทวดา กับนางฟ้า




ก่อนกลับบ้าน แวะไปเยี่ยม..บล็อก จิต-ใจ-ดี
ได้ความคิดจาก ..คนจะไปเกิดใหม่เป็นนางฟ้า ...ฮ่า ฮ่า ..ฮ่า ( คุณนา เม้นท์ เสื้อสายเดี่ยว)

เลยเข้าบล็อกเขียนโพสต์ เรื่องนี้ อยากเล้า ..อยากเล่า

.................................................****.....^_^.....*****


เที่ยงวันหนึ่ง ...

ท่านสาธารณสุขอำเภอ (สสอ.) ได้ไปตรวจเยี่ยมสถานีอนามัยแห่งหนึ่ง...
ภายในสถานีอนามัย..ดูเงียบเชียบ
ท่าน สสอ. จึงตะโกนถามออกไปว่า .."มีคนอยู่ไหม? "

เสียงหนึ่งจึงตอบออกมาว่า "ไม่มี มีแต่เทวดา (หัวหน้าสถานีอนามัยเป็นผู้ชาย) กับนางฟ้า (พยาบาลประจำสถานีอนามัย) เทวดาไปประชุม นางฟ้าไปกินข้าว"

"ฝากบอกเทวดา กับนางฟ้าด้วยนะ ว่าพระอินทร์มาเยี่ยม" ...ฮา

หลังจากได้ยินเสียงพระอินทร์อีกรอบ น้องพร คนสวย (พนักงานสถานีอนามัย) ก็คุ้นเสียง จึงเดินออกมาขอโทษขอโพยพระอินทร์

จ๋อย ...ฮา ตรึม ..

พอดีพระอินทร์ใจดี บอก ผ่านมาทางนี้เลยแวะมาเยี่ยม






ที่มา : เรื่องเล่าจากน้องพร สอ. แห่งหนึ่ง .. นำมาเล่าต่ออีกที..อิ อิ

ภาพ : http://img01.picoodle.com/img/img01/8/5/8/f_20455m_3fcd787.jpg

http://www.thaipoem.com/forever/img/storymember/8678.jpg


ปล. น้องพร เป็นพสอ. ที่น่ารักมาก อารมณ์ดี หัวเราะเก่ง มีคำพูดแปลก ๆ มาให้ฮา ..กันอยู่บ่อย ๆ
ช่วงหนึ่งจะนัดน้อง ๆ พี่ ๆ พยาบาลไปทำงานโซน (งานกลุ่ม) ที่สอ. แห่งนี้ทุกวันเสาร์ น้องพรจะทักว่า ..พี่หมวย เจ้ามาทำโอฟรีอีกแล้วนะวันนี้...ฮา


วันหลังจะเม้าท์ต่อนะ... วันนี้ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
22.23 น.

เสื้อ สายกลาง (มิใช่ เสื่อสายเดี่ยว)







พอดีช่วงนี้ ลองสีที่ใช้สำหรับเขียนเสื้อ
ลองดูตัวอย่างผลงาน สองตัวแรก ได้ที่นี่



วันนี้เลยลองทำอะไรเล่น ๆ




ได้ผลงานเป็นอย่างนี้




ถ้าอยู่เมืองไทย คงจัดตอบปัญหาผ่านเวป แล้วแจกเสื้อ จิต-ใจ-ดี แล้วหล่ะครับ


คิดว่าใ่ส่เสื้อ จิต-ใจ-ดี แล้วคงสบายดี กว่าสีเหลือง หรือ เสื้อสีแดง เป็นแน่แท้


(ฮา)




เลยเริ่มคิดว่า เราน่าจะใส่เสื้อที่ทำเอง เพราะราคาถูกมาก (ตัวละ $1-$3) แถมแบบไม่ซ้ำใคร เก๋มาก

ช่วงนี้ คุณอุ๊ ก็เริ่มทำ อาหาร ขนมปัง เสื้อผ้า และทำ ข้าวของเครื่องใช้ ได้เองแล้ว


กลับไปเมืองไทย มีที่สักแปลง ขุดบ่อเลี้ยงปลา และเลี้ยงไก่ด้านบน ปลูกผักสักหน่อย
อีกสักพัก เราคงอยู่ได้อย่างพอเพียง ไม่ต้องพึ่งใครมากมาย



ไม่ต้องซื้อของมียี่ห้อราคาแพง และวิ่งตามเทคโนโลยี อย่างไม่จำเป็น
อยู่แค่เพียงให้เพียงพอ




ข้อมูล ข้างเคียง

เศรษฐกิจพอเพียง (http://www.sufficiencyeconomy.org/)
เศรษฐกิจพอเพียง คืออะไร (Thai-wikipedia)

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สปิริตแห่งเซน

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ ในชุมชนจิตใจดี ที่รักทุกท่าน






ช่วงนี้ อารมณ์ และความรู้สึก ผูกพันอยู่กับการปล่อยวาง
จึงอยากเล่าเรื่องเซน ให้ฟังอีกสักตอนนะคะ



เซน ..เน้นการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ถ่อมตน และมีเป้าหมาย”




สปิริตแห่งเซน

สปิริตหรือจิตใจของเซน มีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร
คำว่า “ไม่ถอย – ไม่สู้, ไม่อยู่-ไม่หนี” เป็นคำอธิบายสปิริตแห่งเซนได้ดี (อ่านแล้วก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร?)

ชีวิตเซน เป็นชีวิตที่ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีอยู่แต่วันนี้ หรือพูดให้ลึก ชีวิตเซน คือ ชีวิตดำรงอยู่ขณะเดียว ทีละขณะ ทีละขณะ เริ่มและจบในจุดเดียว (ท่านเขมานันทะ เคยกล่าวว่า ‘ชีวิตคุณมีอยู่เพียงขณะเดียว’ ใครที่ชอบโกอาน หรือปริศนาธรรม เอาไปขบให้แตกว่าท่านหมายความว่าอะไร)

เมื่อทุกข์จงทุกข์ เมื่อสุขจงสุข มีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ อดีตก็ละไปแล้ว อนาคตก็ยังไม่มา จงใช้ชีวิตอยู่กับวันนี้ ทำขณะนี้ให้ดี วันพรุ่งนี้มันจะดูแลตัวของมันเองได้ อย่าไปกังวลเลย....จนแม้แต่ความตายก็ไม่สำคัญสำหรับเซน อยู่ที่จิตอันวิมุตติหลุดพ้นปล่อยว่างวางธรรมทั้งปวงได้เป็นพอ









พระพุทธะ ได้ตรัสสาธกนิยายในพระสูตรให้หมู่พระภิกษุสงฆ์ฟัง
ชายคนหนึ่ง ขณะกำลังเดินทางข้ามท้องทุ่ง ก็ประจันหน้าเข้ากับเสือใหญ่ตัวหนึ่ง เขารีบวิ่งหนีโดยทันใด และเสือก็วิ่งกวดตามเขาไป พอมาถึงหน้าผาเขาก็โหนรากเถาวัลย์ป่าลงไปห้อยต่องแต่งอยู่บนขอบหน้าผานั้น ส่วนเสือก็วิ่งมาดมกลิ่นตามล่าเขาอยู่บนหน้าผานั่นเอง และเมื่อชายคนนั้นมองลงไปข้างล่างเขาก็ต้องสะท้านด้วยความกลัว โน่น...เสืออีกตัวหนึ่งกำลังรอกินเขาอยู่หากเขาหล่นลงไป มีเพียงเถาวัลย์ป่าเส้นนี้เท่านั้นที่ช่วยต่อชีวิตของเขาเอาไว้

หนู 2 ตัว ตัวหนึ่งขาวตัวหนึ่งดำ เริ่มแทะเถาวัลย์ป่าที่เขาโหนอยู่ ทีละน้อย ๆ ในขณะที่กำลังโหนอยู่นั้น เขาก็มองเห็นลูกสตรอเบอรี่หวานฉ่ำห้อยอยู่ใกล้ตัว เขาจึงโหนเถาวัลย์ป่าด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็เอื้อมไปเด็ดลูกสตรอเบอรี่ส่งเข้าปาก โอ .. มันช่างหวานอะไรเช่นนั้น !...

ชีวิตคุณมีอยู่เพียงขณะเดียว อดีตก็ละไปแล้ว อนาคตก็ยังไม่มา ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
“ไม่ถอย-ไม่สู้, ไม่อยู่-ไม่หนี”

*********..........^_^......*********

...ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีไปนาน ๆ



สวัสดีค่ะ...




ปล. ในการปฏิบัติธรรมอย่างเซน เขามีวิธีการสำคัญอยู่ 3 วิธี คือ ม็อนโด (การสนทนาธรรม) การขบโกอาน (ปริศนาธรรม) และการทำฮาเซน (ทำสมาธิภาวนา)


ที่มา : ปล่อยวางอย่างเซน โดย ละเอียด ศิลาน้อย
พิมพ์ครั้งที่ 13 สำนักพิมพ์ดอกหญ้า, 2539.
ภาพ : http://thai.cri.cn/learnchinese/lesson20/img/4.jpg

http://www.dek-d.com/contentimg/pueng/spd_200706202353.jpg

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

--คิดก่อนทำ--

บนโลกอันกว้างใหญ่...


บนพื้นที่อันมากมาย...

ขอนำพาสายตาทุกท่านมาพบกับภาพนี้ค่ะ




อ่ะ...เห็นรถใช่ไหมคะ
เห็นขาคนด้วย...

แต่อย่าค่ะ...
มองไปก็เท่านั้นล่ะ

ลองมองไปบนปลายเสาไฟฟ้าสิคะ
เห็นอะไรไหมเอ่ยย...ย
^
^
^
^
^
^
^
^
^
^
^
^
^
^
^
^
อ่ะ...(อยากเล่นกลกะคนอ่านจัง)

แต่อย่าดีกว่าเนอะ....มันไม่ดีเนอะๆๆๆ :P



อ่ะ...มาดูกันจะ..จะ...ดีกว่า
ว่า...เค้าคือใคร

มีแรงบันดาลใจอะไรให้ทำอย่างนั้น




นี่ไม่ใช่เรื่องตลกๆ
หรือมุมขำๆคลายเครียดแต่อย่างไร


แต่เห็นแล้วอดที่จะขำไม่ได้อยู่ดี
เห็นแล้วก็...อ่ะนะ

ทำไปได้.....
สงสารมันนะ
มันคงกลัวสุดขีด...

ไม่รู้ฉี่แตกหมดท้องยัง




เป็นความโชคดีของมันนะ
ที่มีคนใจดีเห็น....

ไม่งั้น....
กลายเป็นหมาย่างแดดแหง๋เลย



มันคงดีใจมากๆเลยที่มีคนเข้ามาช่วยชีวิตมัน



และคงเป็นความทรงจำในใจ(หมา)มิรู้ลืม ^^




จากภาพนี้ให้แนวคิดว่า..

"หมา..ก็กลัวตาย"


อยากรู้จัง...ว่า

  • มันขึ้นไปได้...ทำไมมันลงไม่ได้
  • มันเห็นอะไรอยู่บนนั้น...

  • มันสำคัญถึงกับต้องเสี่ยงขึ้นไปดู
(หรืออะไรก็ตามแต่)..ขนาดนั้นเหรอ
  • มันจะเข็ดไหมหนอ... ^^

ไม่ว่า...มันจะอะไรก็ตามแต่
หันมามองย้อนดูตัวเราเอง..

ในชีวิตจริงๆ
หลายๆคน...

"มีหน้าที่ มีตำแหน่ง
มีอำนาจ มีการศึกษา
มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความดีงาม

มีคุณธรรม จริยธรรม
และที่สำคัญคือมีปัญญา...."


หากว่า "คิดก่อน...ทำ"


"เพื่อคนส่วนใหญ่...
มากกว่า...

ผลประโยชน์ส่วน(ตัว)ใหญ่"


คงจะดี...มิใช่น้อย แห่ะๆ :)


ปล. ภาพจาก Fw:mail คำบรรยายภาพไม่สุภาพพอสมควร
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ แห่ะๆ

$20 เหรียญแรก



และแล้ววันนี้ก็มาถึง

ตุ๊กตาจาก Heartwarehouse ขายออกเป็นตัวแรก

แม้จะไม่ได้มากจากการซื้อผ่านออนไลน์ผ่านเวป เพราะเป็นน้อง ๆ แถวนี้มาอุดหนุน

แต่ เงิน ก็เป็นเงิน

เลยเอามาเข้ากรอบ ไว้เป็นธรรมเนียม $20 เหรียญแรก จากการขายของที่ทำด้วยมือเราเอง.....




เป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ที่ทำธุรกิจ หรือได้เงินแต่ละบาทมาอย่างยากลำบาก


รูปประกอบ จาก heartwarehouse blog และ heartwarehouse shop

เปลี่ยนการแสดงหน้าเวป


http://jit-jai-d.blogspot.com

ปรับหน้า Web Blog ใหม่นะครับ
ผมอยากให้มันดูกระจ่าง อ่านง่าย ๆ
แต่ปรับไปปรับมา เป็นอย่างที่เห็น
ลองดูนะครับ ไม่ชอบตรงไหนก็แจ้งกันมา จะแก้ไขไปเรื่อย ๆครับ


ของเล่นใหม่
ตอนนี้มี ศูนย์ข่าวจิต-ใจ-ดี(http://www.twitter.com/jit_jai_d) เพื่อรวบรวมเรื่องราวดี ๆ และข่าวการเมืองแบบเป็นกลางเพื่อการสมานฉันท์ และ ศูนย์ข่าวภัยพิบัติ(http://www.twitter.com/paipibat) ที่รวบรวมเหตุการณ์อุบัติที่เิกิดขึ้น ซึ่งศูนย์ข่าวภัยพิบัตินี้เชื่อมโยงกับเวปรายงานภัยธรรมชาติของต่างประเทศมันจึงสามารถแจ้งข่าวแผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุ ภูเขาไฟระเบิดได้โดยอัตโนมัติ ถ้าต้องการทราบรายละเอียดของข่าวเพิ่มเติมสามารถคลิ๊กตรงลิงก์ด้านหลังข่าวสารได้

และถ้าต้องการ รับข้อมูลจากศูนย์ข่าวทั้งสองโดยตรง สามารถรับผ่าน Twitter ได้โดยการติดตาม(Follow) กิจกรรมของศูนย์ข่าวทั้งสอง ซึ่งจะทำให้สามารถรับข่าวสารผ่านทางมือถือ และผ่านทางหน้าเวป เหมือนเป็นข้อความสั้น ๆ (Short message) ได้

อยากรู้ว่า Twitter คืออะไร เล่นอย่างไร ลองดูที่นี่นะครับ

http://blog.Pawoot.com
Twitter คืออะไร

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

แม่หมาขี้เรื้อนกับคนใจดำ‎


ที่มา FW-mail (อ่านประมาณ 5 นาทีก็จบแล้วครับ)
ภาพประกอบ โดยคุณนา (เมื่อหัวใจออกเดินทาง)


แม่หมาขี้เรื้อนกับคนใจดำ

เรื่องมีอยู่ว่า พี่ชิตแกเป็นคนใจดำครับชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย
แต่ที่หนักก็คงเป็นเนื้อหมา แกกินแหลกครับแต่

แม่แกบอกมันบาปนะลูก(ไม่สนโว้ย)

เมื่อราว 15 ปีก่อนมีเหตุการณ์ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป ครั้งนั้นมีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่
ครับมันมักวิ่งไปหาของกินแถวๆบ้านแกบ่อย

เพราะบ้านแกติดตลาด พี่แกกินหมาอยู่บ่อยๆแต่ กรณีหมาขี้เรื้อนแกบอก " กูกินไม่ลงว่ะ "

แกทำอย่างเดียวคือไล่ฆ่า แต่มันรอดใด้ทุกครั้ง(สงสัยมีของ)มันไปหาของกินทีบางทีก็ใด้บางทีก็ไม่ใด้

คราว นั้นเนื้อแห้งที่แกตากใว้หายไป พอมองไปก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนวิ่งหลุนๆไป
แกเดือดทันทีครับวิ่งตามไป คราวนี้ทันครับเพราะหมาขี้เรื้อนวิ่งช้ามาก

แก ทุบไปทีเดียวหมานั่นล้มลงชักทันที(แกบอกว่าหากตีตรงจุดแค่ไม้บรรทัดก็ตาย)
แกทิ้งใว้ตรงนั้นไม่อยากจับแต่จะทำกินตรงนั้นกลับบ้านไปเตรียมของ

(
แค้นจัดอยากกินหมาขี้เรื้อน)ให้ผมเฝ้าไว้(ยังเด็กอายุแค่ 12)
ผม ก็มัวแต่เก็บตะขบจนลืมดู (ในใจอยากให้มันรีบไปจะได้ไม่ตาย)
มันไปจริงครับหายวับไปพี่ชิตแกโกรธมากคงอยากเตะผมเต็มแก่
แต่ลุงผมแกเป็นนักเลงใหญ่และเป็นคนสอนวิธีฆ่าหมาให้
ก็ต้องวิ่งตามอย่างเดียวพร้อมบ่น " ทำไมมันไม่ตายวะ "

พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงหมาเห่า

แกตามทันทีพอไปถึง ภาพที่เห็น
หมาขี้เรื้อนกำลังจะตายมันมีลูกที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับวัยกำลังหย่านมบางตัวยังกินนมอยู่ บางตัว
ก็วิ่งไปคาบเนื้อที่แม่หมาขี้เรื้อนคาบไปฝาก(เห็นกับตา)
ที่มันยังไม่ยอมตายเพราะต้องกลับไปให้นมลูกแม้น้ำนมแห้งกรังเอาอาหารไปให้ลูกมัน

เรียกลูกๆเพื่อให้นมให้อาหารเป็นครั้งสุดท้ายแม่หมาพยายามอย่างดีที่สุด

มันมองผมกับพี่ชิตอย่างขอร้อง ขอให้มันให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย( T T)

ไม่อยากเชื่อนั่นคือน้ำตาของหมาขี้เรื้อน มันแค่ต้องการให้นมลูกก่อนตาย พี่ชิตไม้หล่นลงกับพื้น

เดินเข้าไปดูแม่หมานั่น ในยามนั้นสิ่งที่แกเห็นไม่ใช่หมาขี้เรื้อน แต่แกเห็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่ทนเจ็บกลับ
ไปหาลูกแกไม่พูดอะไรทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอสายตาอ่อนโยนลง

ลูกหมาตัวหนึ่งวิ่งไปหาแกกระดิกหางให้ แกอุ้มลูกหมาขึ้นพร้อมพูดว่า " ขอโทษ " พูดได้แค่นั้นแม่หมาก็ตาย
เราช่วยกันฝังแม่หมา

แกรับเลี้ยงหมานั่นไว้ ทั้ง 5 ตัวตั้งแต่นั้นแกกลายเป็นคนใจดีไม่ไล่ยิงนกยิงหมายิงแมวอีกแกบอก
"
มันอาจมีลูกรออยู่ก็ใด้ "
เมื่อ 12 สิงหา 2 ปีที่แล้วแกเอามะลิร้อยเป็นพวงไปให้แม่ทั้งๆที่ไม่เคยทำ พูดกับแม่ว่า

"
แม่ตอนผมอายุ 16 แม่สอนผมยังไงนะสอนอีกหนใด้ไหมครับ "

แม่แกน้ำตาคลอพูดไม่ออก

ไม่อยากเชื่อแม่หมาขี้เรื้อนตายไป 1 ตัว กลับทำให้คนใจดำอย่างแกเปลี่ยนไปขนาดนี้

ปล่อยวางอย่าง เซน


สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ ในชุมชนจิตใจดี ที่รักทุกท่าน



ฝนตกหนักมาหลายวันแล้ว
น้ำท่วมขัง เฉอะแฉะ

ผ้าไม่แห้ง

วันหยุด อยู่บ้าน...
นอนฟังเสียงฝน
คิดถึงคนหลาย ๆ คน

ชาวนา ถูกน้ำท่วมนา
ข้าวที่กำลังออกรวง รอเก็บเกี่ยว..
ถูกน้ำท่วม
ส่วนที่เก็บเกี่ยวแล้ว...
ข้าวเปลือกมีความชื้นสูง ถูกกดราคา

ชาวบ้าน เจ็บป่วยด้วยโรคหวัด
สัตว์เลี้ยง (ไก่) ป่วย ตาย
เฝ้าระวังไข้หวัดนก
...........................^o^....




คืนวันที่ 1 พ.ย.

ฟังการโฟนอิน ของใครบางคน
เกิดความเศร้าใจ อะไรบางอย่าง

เมืองไทยไร้ทางออก ..จริง ๆ หรือ
ทุกฝ่ายมีอัตตา เสื้อแดง เสื้อเหลือง
ขาดความรัก ความเมตตาซึ่งกันและกัน
ชีวิตยึดมั่น ถือมั่น
ไม่ปล่อยวาง

นี่หรือเมืองไทยเมืองพุทธ
ไม่เชื่อ...ว่าผล เกิดจากเหตุ
ไม่เชื่อ...ว่าเมตตาธรรมค้ำจุนโลก
จึงต่อสู้ตามอัตตา ตามความคิดในด้านมืดของตัวเอง








หลายวันมานี่ อ่านหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง
(อ่านซ้ำครั้งที่ 2 เพราะรู้สึกอยากอ่านใหม่..อีกรอบ)
จึงอยากนำมาแนะนำในวันนี้ ...

ปล่อยวาง อย่างเซน
ของละเอียด ศิลาน้อย

ชีวิตทุกวันนี้
อะไร ๆ ก็ดูซับซ้อนขึ้น
บางครั้ง ความรัก ความปรารถนาดี
หรือความตั้งใจจริงที่เรามีให้กับหน้าที่การงาน
หรือมีให้กับผู้คนรอบข้าง
ต้องกลับกลายเป็นความผูกพัน
ที่มากมายด้วยภาระ

บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินคำพูด
จากใครคนใดคนหนึ่งว่า
“ชีวิตมันไม่ง่ายเหมือนดังแต่ก่อน”
หลายครั้งเราจึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อย
เพราะความปรารถนาดีของเราเอง...
คำถามที่เกิดขึ้นในใจของเราก็คือว่า
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ?”

ถ้าพูดอย่างเซน ก็ต้องบอกว่า
“ปล่อยวางเสียบ้าง ก็คงจะดี”
แต่ถ้าพูดอย่างเรา ๆ ก็คงจะบอกได้ว่า
“ทำไงเราจะรู้สึกดีขึ้น สบายใจขึ้น
โดยที่ความรัก ความปรารถนาดี
ต่อผู้คนรอบข้างยังคงดำรงอยู่...”
ปล่อยวางอย่างเซน มีคำตอบให้
และมีข้อคิดดี ๆ ที่หลากหลาย

“คนที่รอบรู้ที่สุด จะบอกว่าเขาไม่รู้อะไรเลย”
“ยึดมั่นคราใด เป็นทุกข์ครานั้น”
“เราต้องไม่เข้าไปจัดการปัญหาต่าง ๆ ด้วยอารมณ์”
“ชีวิตที่มีค่าดูได้ที่เนื้อหา สาระ ไม่ใช่ดูที่รูปแบบอันสวยหรู”

“ปัญหาของสังคมและของปัจเจกบุคคล
จะลดลงได้มาก
หากแต่ละคนเปิดใจให้กว้างไว้”

“ชีวิตอย่างเซน ก็คือชีวิตธรรมดา ๆ นั่นเอง”
“ชีวิตเซน เป็นชีวิตที่ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีอยู่แต่วันนี้”

“รู้จักปลง รู้จักยอม รู้จักเย็น”
“มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นสัตว์ที่มีปัญญา
และมีเหตุผล แต่เมื่อตกอยู่ในปัญหา
มนุษย์ก็เหมือนคนตาบอด”

“ทำไมเราต้องเมตตาต่อกัน ตอบยาก
แต่ทุกคนรู้ว่า ความเมตตาต่อกันเป็นสิ่งที่ดี”


................................^_^.......


“สมาธิทำให้เกิดความสุขในการปฏิบัติ"




***....^_^..............................***



“อย่ายึดเอาข้อสรุปใดเป็นคำตอบ”
ลองหามาอ่านดูนะคะ






รำพึงถึง..เรื่องการเมืองนิดหน่อยคงไม่ผิดหลักการของบล๊อก จิต-ใจ-ดี นะคะ

....ขอให้ทุกท่านมีความสุขภาพดีไปนาน ๆ ....


...สวัสดีค่ะ


ที่มา : ปล่อยวางอย่างเซน โดย ละเอียด ศิลาน้อย
พิมพ์ครั้งที่ 13 สำนักพิมพ์ดอกหญ้า, 2539.
ภาพ : ...ช่วงเวลาใกล้เก็บเกี่ยวข้าว ดอกขี้กลากสีเหลืองบานสะพรั่ง ดูสวยงาม ละลานตา
ถัดจากวัวสามตัวออกไป เป็นทุ่งดอกขี้กลากสีเหลือง สวยงามมาก


วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เมื่อหัวใจ..ออกเดินทาง

" เมื่อ..หัวใจ ออกเดินทาง
...ผู้คน..ล้วนมีความต้องการ


--ต่างกัน-- "





เพราะ "หัวใจ" และ ความรู้สึก..ต้องการ
เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก...

แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินกว่า..จะทำความเข้าใจ


การเดินทางของหัวใจและความรู้สึกนี่แหล่ะที่เรารู้สึกว่า
มันคือการเดินทางที่ยิ่งใหญ่และน่าค้นหา...

ไม่แพ้การเดินทางไปยังที่ต่างๆ ในมุมโลกเลยทีเดียว

โดยเฉพาะเดือนนี้...หลายๆคนคงเตรียมการวางแผน
สำหรับการเดินทาง เพราะธรรมชาติปลายฝนต้นหนาว...
มันน่าชื่นชมยิ่งนัก..

และก็เชื่อว่าอีกหลายๆคนก็เริ่มวางแผนวันหยุดยาว
ในเดือนหน้ากันแล้ว ยังไงก็วางแผนทั้งการเดินทาง
และการเงินให้ดี ไม่อย่างนั้นเที่ยวสนุกเพียงไม่กี่วัน..
กลับมาอาจหน้าแห้งกันไปอีกทั้งเดือนก็เป็นได้


วางแผนการเดินทางเที่ยวสนุกกันไปแล้ว
ก็อย่าลืมวางแผนการเดินทางของหัวใจตัวเองกันด้วยนะคะ

ดูจากยอดจองโรงแรมเพื่อจัดงานแต่งงานในเดือนนี้แล้ว
คนโสดอาจจะต้องซึมกันไปเลย


เพราะเดือนนี้มีคนที่เขาค้นพบหัวใจตัวเอง
เขาตกลงปลงใจกันเพียบ

(ผู้เขียนเองก็จ่ายเพียบ...กินเพียบ
เป็นแขกผู้มีเกิบใส่ไปเป็นเกียรติเพียบ)

Y_Y"


ส่วนใครที่ยังหาคนๆนั้นไม่เจอ
ไม่เป็นไร..เส้นทางข้างหน้ายังอีกไกล

เชื่อเถอะว่า..โลกนี้ต้องมีคนของเราอยู่ในมุมใดมุมหนึ่ง
ของเส้นทางชีวิตแน่นอน..(ว่าซ่านนนน...น) :P


" ในวันที่หัวใจออกเดินทาง จงเว้นระยะห่าง
ให้เกิดช่องว่าง ไว้ดูแลหัวใจใครสักคน..."


"รัก" ไม่เคยมีใครรู้จักหน้าตาของมัน

(ผู้เขียนนี่แหล่ะหมายเลขหนึ่งเลย...555..5)...ว่าไป๋..

แต่ทุกคนก็ล้วนอยากได้มาครอบครอง

แต่รักจะสั้นหรือยาว..ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถกำหนดได้
นอกจากคนสองคนที่รู้สึกตรงกัน

รักสำหรับบางคนอาจเป็น "รักหวาน"
แต่สำหรับบางคู่ก็อาจกลายเป็น "รักร้าย"

ทำให้หัวใจตัวเองต้องเจ็บปวด


มีหลายคนที่ได้ความรักมาแบบง่ายๆ
แต่เชื่อไหม..มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดูแลและทะนุถนอม
ความรักให้อยู่กับคนสองคนไปนานๆ

นั่นเพราะสิ่งที่จะทำให้คนสองคนอยู่ร่วมกันไปได้ตลอดนั้น
ไม่ใช่เพียงแค่ "เพราะรักคือรัก" เท่านั้น

แต่เรายังต้องเพิ่มเติมส่วนประกอบอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นความจริงใจ เข้าใจ ห่วงใย เอื้ออาทร คิดถึง
และดูแลซึ่งกันและกันรวมเข้าไปด้วย

แล้วรักจะกลายเป็นรักที่งอกงาม สดใส และทำให้หัวใจเรา
สดชื่นได้เสมอ

ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่คิดจะมีรัก สิ่งหนึ่งที่ต้องถามตัวเองก็คือ...

"คุณพร้อมแล้วหรือยัง...ที่จะดูแลความรู้สึกกับหัวใจของตัวเอง
และใครอีกคนหนึ่งตลอดไป.."


เอ๋...บล็อก จิต-ใจ-ดี กลายเป็นบล็อกของหัวใจ
ไปซะแล้ว....

จริงๆ...เห็นว่าช่วงนี้...ได้รับการ์ดงานแต่งเยอะอ่ะค่ะ
ไม่ได้อิจฉา...คู่บ่าวสาวน๊า....

แต่ว่า...เส้นบางๆระหว่างใจก็แป้วเท่านั้นเอง 555..5
สาเหตุที่แป้ว..เพราะว่าห่วงใยประชากรกลุ่มคนโสดลดลงต่างหาก :P

แต่พอมาคิดอีกแง่มุมหนึ่งว่า...
คนโสดหายไปเป็นคู่ๆ

อย่างน้อยเค้าก็คงจะผลิตได้เยอะกว่าที่เหลือไว้อย่างเหี่ยวแห้งล่ะกัน
(พูดงี้จะโดนคนโสดตีหัวเล่นป่าวอ่ะ) อิอิ :D


เอาล่ะ...กินเพียบ....จ่ายเพียบไปแล้ว
ก็มารับข้อคิดฝากไว้ในอ้อมหัวใจของคนหนุ่มคนสาว
ที่แต่งงานและกำลังจะแต่งงานทุกคู่ล่ะกันค่ะ

" 7 วิธี ดูแลรัก....ไม่ให้จากลา"


ความรักอาจดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายที่จะมี
จะรักให้ดี มีความสุข
ก็ต้องอยู่ที่คนสองคน พร้อมที่จะปรับตัวและศึกษาเรียนรู้ซึ่งกัน
และแน่นอนว่าคนสองคนต้องพร้อมที่จะทิ้งนิสัยต่างๆที่ไม่ดี

ที่อาจก่อให้เกิดการทะเลาะ ซึ่งเป็นชนวนของรักร้าวในอนาคตได้

  • อย่าเอาแต่ใจตัวเอง
มันอาจดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
ที่คนเราจะมีอารมณ์อยากเอาแต่ใจ

ก็แหม...บางคนเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่
ก็มีคนมารุมเอาใจจนเสียนิสัยซะแล้ว

แต่พอมาคบกับใครอีกคนก็ต้องมาเรียนรู้
นิสัยกันใหม่ อะไรที่เคยได้เคยทำ
ก็ต้องลองมองใจเขาใจเรา คิดอะไรก็คิดเผื่อความรู้สึก
คนอื่นด้วย เอาแต่ใจบ้างนิดๆหน่อยๆ ไม่เป็นไร

แต่อย่าให้ถึงกับทำร้ายความรู้สึกของคนที่เรารักก็แล้วกัน

  • ไม่ควรเป็นเจ้าข้าวเจ้าของจนเกินงาม
อยากแสดงตัวให้คนอื่นรู้ว่าเราคบ
หรือเป็นคนรักกัน มันไม่ใช่เรื่องแปลก

เพียงแต่คงไม่ต้องถึงขนาดต้องประกาศตลอดเวลา

ประมาณว่าไปไหนต้องตัวติดกัน
จนกลายเป็นเงาของกันและกัน

ชนิดที่ว่าไม่มีช่องว่างให้อีกฝ่ายได้เป็นส่วนตัวเลย
อันนั้นก็มากไป ยังไงให้พอดีๆอยู่ในระดับที่อีกฝ่ายรับได้
ก็น่าจะดีกว่า :D

  • พอเสียที...การหึงแบบไร้สติ
ไม่ฟังเหตุผลกัน ชนิดที่ว่ามองหน้าผู้หญิง
ผู้ชายคนอื่นไม่ได้เลย มันก็เกินเหตุ

คือหึงแบบหน้ามืดตามัวมันไม่ได้

สังคมการทำงานทุกวันนี้มันมีหลายปัจจัย
ให้เราต้องพบเจอคนมากมาย
ขี้หึงเล้กๆก็น่ารัก
มากไปก็น่าเบื่อหน่ายและเหลือทน ^^"

  • การเชื่อคนอื่นมากเกินไป
คบกันสองคน ก็ต้องฟังกัน
ไม่ใช่เอาแต่ฟังคนโน้นคนนี้
แล้วเชื่อโดยที่ไม่ได้มานั่งฟังคนของตัวเอง

มันจะทำให้รักแตกร้าวได้ง่ายเกินไป
คบกันต้องเชื่อใจ มีอะไรคุยกับคนของตัวเองก่อนเสมอ

  • เวลาโกรธแล้วเงียบ....ไม่พูดจากัน
มีปัญหาต้องคุยกัน อย่าปล่อยให้ปัญหามันข้ามวันข้ามคืน
เพราะเวลาบวกกับปัจจัยทั้งหลายทั้งมวล มันจะยิ่ง
ทำให้ความโกรธ กลายเป็นความเครียดสะสม
ที่ลุกลามใหญ่โตไปกันใหญ่

แต่ว่าเวลาคุย...ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ คุยกันอย่างมีเหตุมีผล
ไม่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งนะจ๊ะ

  • โกหกจนเป็นนิสัย
คบกันต้องซื่อสัตย์ จริงใจและพูดความจริงต่อกัน
เพราะความจริงมันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ

ในความรักและการรักษาความสัมพันธ์ให้ยืนยาว

  • เจ้าชุ้ออกนอกลู่นอกทาง
สำคัญมากๆสำหรับความเจ้าชู้
เชื่อว่าคนเราทุกคนมีความเจ้าชู้อยู่ในตัว

แต่จะทำยังไงให้มันไม่ทำร้ายจิตใจของคนรัก
การมองว่าคนโน้นสวย คนนี้หล่อ
ก็เป็นความเจ้าชู้เล้กๆ ตราบใดที่มันยังหยุดเพียงแค่การมอง

ไม่ทำให้มันเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา เป็นปัญหาจนทำร้ายจิตใจ
ของอีกฝ่าย ก็ยังถือว่าให้อภัยกันได้

--------------------------------------------------------

อย่างไรก็ตามการจะรักกัน
และรักดีจะไม่กลายเป็นรักร้าย ก้ลองเอาตัวอย่างข้างต้นไปทำดู

หรือใครจะมีเคล้ดลับอะไรอีกมากมาย
ก็ลองขนมาใช้ หรือจะเขียนมาบอก ให้เราช่วยบอกต่อก็ได้

เพราะสังคมที่มีแต่คนรักกันนั้น
ย่อมดีกว่าสังคมที่มีแต่ความมึนตึงและความมาคุ
จนคนรอบข้างปวดหัวกันไปหมด

จริงไหมคะ ?

:D

ปล. ช่วงนี้..อาจจะมีหายไปบ้าง
เพราะหัวใจมีงานเข้าอ่ะ อิอิ :P