วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

pitch black


ตั้งชื่อเรื่องซะเก๋กู๊ด คิดไปคนเดียวอ่ะนะว่าเก๋ ไม่รู้จะมีคนคิดเหมือนเราหรือเปล่า
อ่ะเข้าเรื่องดีกว่่า หลายวันมานี้ ฝนตกหนักมากแถวบ้าน ทำให้ไฟ ระแวกนั้นดับหมด คิดว่าเสาไฟคงโดนฟ้าผ่า หรือหม้อแปลงระเบิด ด้วยสาเหตุอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้เขียนเองก็ไม่ทราบแน่ชัด เขียนมาุุถึงตรงนี้คงสงสัยกันว่า บ้านอยู่แถวไหน ทำไมไฟยังดับอยู่ สำหรับคนกรุงเทพ โดยเฉพาะในตัวเมืองปัญหานี้คงจะเรียกได้ว่า แทบไม่เจอเลย เดิมผู้เขียนเป็นคนกรุงเทพ ตอนนี้ย้ายมาเป็นสะใภ้เชียงใหม่เจ้า
บ้านอยู่บริเวณ อำเภอสารภึ ใกล้สนามบินเชียงใหม่ แต่คือจะเป็นคนเมือง หรือคนนอกเมือง
ก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวกันหรอก เรื่องไฟดับเนี่ย ดูอย่างมหานครเมืองนิวยอร์กสิ เมื่อก่อนนั้นมีปัญหา ไฟดับออกบ่อยไป หรือที่เรียกว่า pitch black เนี่ยแหละ สาเหตุก็เป็นเพราะว่าคนเยอะ ใช้ไฟกันมากน่าดู แล้วเมืองผลิตไฟไม่พอ เลยเกิดปัญหาไฟตก แล้วบางครั้งก็ดับนานมาก ...

แต่เรื่องที่อยากจะเขียนถึงจริงจริง เกี่ยวกับเรื่องไฟดับตอนฝนตกเนี่ย ไม่ได้ต้องการจะบ่นหรือกล่าวว่าอะไร เพียงแต่ต้องการ สะท้อนให้เห็นถึงเรื่องดีดีที่เกิดขี้นตอนฝนตก คนเราทุกวันนี้ ขอยกตัวผู้เขียนและสามีเป็นตัวอย่าง เรามักจะอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็จอทีวี ทั้งวัน คือเรียกได้ว่า ตาของเราทำงานตลอดบวกกับสมองของเราด้วยไม่ได้หยุดพักเลย ไม่มีเวลาที่จะมานั่งคิดว่างๆ โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์หรือทีวี ยกเว้นเวลากินข้าวหรือนอน แต่ว่าตอนที่ไฟดับเนี่ยสิ เป็นเวลาที่ไม่สามารถใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรได้เลยสักอย่าง เพราะไม่มีไฟฟ้า สิ่งเดียวที่ทำได้คือนอน...ฟังเสียงฝนตก และกบเขียดร้อง ทำให้เราได้มีเวลาคิดอะไรมากขึ้น คิดโดยไม่มีสิ่งอื่นมารบกวน คิดโดยใช้สติและสมาธิ เป็นแรงบัลดาลใจให้ได้มาเขียนลงบล็อค จิตใจดี อย่างไงหละ แถมยังทำให้อารมณ์สงบมีสมาธิ ... มองแบบนี้แล้วก็ไฟดับบ่อยๆก็ไม่ว่ากันเจ้า ขอฝนตกด้วยนะ เย็นดี....

ขอสรุปสั้นๆนะคะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเรามองว่าดีมันก็ดี เรามองว่าแย่มันก็แย่ ล้วนแต่ขึ้นกับมุมมองของเรา...

ไปก่อนหละค่ะ งานวิจัยของสามีรอเป็นตั้งให้ช่วยทำ....

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

[จิตใจดี สนทนา] ลุ้น ๆ

สวัสดีครับ

ใครที่เข้ามาจิตใจดีบ่อย ๆ น่าจะสังเกตพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงดังนี้นะครับ

1) ด้านข้าง ได้มีของเล่นใหม่บนจิตใจดีแห่งนี้นะครับ คือ "คุยกับจิตใจดี"
ก็จะเป็นคุยกันออนไลน์สด ๆ กันนะครับ ถ้าเห็นผมออนไลน์อยู่ก็ทักทายกันมาได้เลย เสียดายอยู่บ้างที่ตอนนี้คุยได้เฉพาะเป็นภาษาอังกฤษนะครับ แต่คาดว่าไม่นานตัวโปรแกรมต้องได้รับการพัฒนาให้ใช้ภาษาไทยได้แน่ ๆ ครับ

2) สำหรับการคอมเมนต์ข้อความ เปลี่ยนรูปแบบใหม่ให้ไปอยู่ใต้บทความแล้วนะครับ จะได้สะดวกในการอ้างอิงบทความที่เรากำลังกล่าวถึง ผมว่ามันสะดวกขึ้นกว่าแต่ก่อนนะครับ


3) มีการแสดง คำแนะนำล่าสุด ก็น่าจะทำให้ผู้ที่เข้ามาใหม่ได้ติดตามได้นะครับ ว่ามีใครไปแนะนำกันตรงไหน หัวข้อไหนกำลังเป็นที่น่าสนใจ

4) ผู้ที่ไม่ต้องการรับข่าวสารทางอีเมลล์ แต่ต้องการดึง ( feed ) ข้อมูลไปขึ้นหน้าบลอกของท่านหรือต้องการไปเก็บไว้ในบริการตัวอื่น ๆ (เช่น google reader) เราก็มีบริการ RSS ให้แล้วนะครับ สามารถดึงไปได้ทั้งบทความและส่วนการคอมเมนต์

5) อันนี้โฆษณาครับ ร้าน Heartwarehouse Shop มีตุ๊กตามาขายถึง 7 ตัวแล้วครับ เสียดายที่คงขายได้ในอเมริกาเท่านั้น ส่งไปเมืองไทยผู้ซื้อคงเสียดายค่าส่งนะครับ หาซื้อที่เมืองไทยคงถูกกว่า แต่ก็เอารูปมาให้ดูครับ ว่ามีตัวอะไรเสร็จออกมาบ้ัาง ดูรูปเล่น ๆ แล้วกันครับ :-) หรือลองเข้าไปดูบลอกได้ที่นี่
http://heartwarehouse.blogspot.com/





วกกลับเข้ามาเข้าเรื่องตามหัวข้อนะครับ

วันนี้หัวข้อว่า " ลุ้น ๆ" ที่ต้องลุ้น ๆ เพราะผมใกล้สอบใหญ่ในชีวิตนักเรียนแล้วหล่ะครับ เหลืออีกไม่กี่วัน นอกจากที่จะต้องลุ้นชีวิตส่วนตัวผมก็ยังลุ้นกับเรื่องการเมืองที่เมืองไทยไปด้วย เห็นว่าวันที่ 1 พย นี้จะมีประชุมใหญ่ของเหล่าเสื้อแดง ดูจากถ้อยแถลงแล้วก็ไม่น่าจะมีเรื่องราวร้ายแรงอะไร แต่ของอย่างนี้ก็ไม่เกิดเหตุการณ์ก่อนก็สรุปไม่ได้หรอกครับ คนเป็นหมื่นคงคุมกันลำบากหน่อย ก็ได้แต่หวังว่าจะมีอะไรดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้นวันที่ 4 ที่อเมริกาก็มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ ก็ได้แต่หวังอีกเหมือนกันว่าจะมีอะไรใหม่ ๆ ที่อเมริกาด้วยเหมือนกัน สมัยเด็ก ๆ ตอนดูการเลือกตั้งที่เมืองไทย ซึ่งมักจะใกล้กับการเลือกตั้งที่อเมริกา เคยได้ยินหมอดูท่านหนึ่งบอกว่า สังคมและการเมืองไทยนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงที่คล้าย ๆ กับอเมริกา ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างทางหมอดูเขาหล่ะครับ..... ก็ลองดูกันไป


From Paskorn Gallery

(รูป by BigBite)







และมีของฝาก อีกสองเรื่อง อยากให้เข้าไปอ่าน เข้าไปดูกันครับ




1) พลังคำพูดด้านบวก ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการสะกดจิต และผมได้แจกไฟล์เสียงสะกดจิตไปให้ผู้อ่านแล้วหลาย ๆ ท่านนะครับ บทความนี้เขียนได้สอดคล้องกัับแนวการสะกดจิตที่ผมเคยเขียนถึงครับ อ่านแล้วก็จะเห็นว่า เป็นเคล็ดลับที่ไม่ยาก ลองทำดูก็ไม่น่าเสียหาย แต่ถ้าเกิดผลได้จริง ชีวิตเราก็มีการปรับปรุงอย่างยั่งยืนเลยนะครับ

ขอคัดบทนำมาให้อ่านดังนี้

" เรามักจะไม่ค่อยรู้ตัวว่าในแต่ละขณะ แม้เราจะไม่ได้กำลังพูดออกมาดังๆ
แต่เราพูดกับตัวเองอยู่ในใจเสมอๆ เกือบตลอดเวลา
การสนทนากับตัวเองในสมองของเราจะเกิดขึ้นไปเรื่อยๆ
เหมือนกับเทปที่เปิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
และบ่อยครั้งที่การสนทนาในสมองของเรานั้นเป็นไปในทางลบ
ซึ่งเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยที่เราไม่ทราบว่าการสนทนานั้นส่งผลลบอย่างไร
ไปสู่ร่างกาย จิตใจ และการกระทำต่างๆ ของคนเราบ้าง "

รู้อย่างนี้แล้วก็เริ่มมาพูดบวกให้กับตัวเองดีกว่าครับ
(ที่มา พลังจิต.com)




2) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปพิพิธภัณฑ์เด็ก (Boston Children's Museum) เห็นแล้วอยากให้มีอย่างนี้บ้างที่เมืองไทยนะครับ เด็กได้เล่นและเรียนไปพร้อม ๆ กัน (Play + Learn = เพลิน) ผม(ที่ไม่ใช่เด็กแล้ว)เข้าไปเล่นเองก็ยังรู้สึกสนุกและได้เรียนรู้ น่าอิจฉาเด็ก ๆ ที่นี่จัง
ลองไปอ่านเรื่อง และดูรูปประกอบบางส่วน ได้ที่นี่ครับ "ไปเที่ยวกันไหม by คุณอุ๊ "



พบกันใหม่ สัปดาห์หน้าครับ

ภาสกร (pC)

ปล ศุกร์หน้าเป็นวันฮาโลวีน แล้วจะเก็บรูปเด็กที่มาเคาะขอขนมที่บ้านมาให้ดูครับ :-)

ขำ ขำ

วันนี้มีการ์ตูนฝรั่งมาให้ดูเล่นครับ



สมการหัวใจ:



คณิตสำคัญเท่าชีวิต? :





ความรักนักดิจิตอล :



และอื่น ๆ อีกมากมายที่
http://xkcd.com/

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ชีวิตใช่ว่าเรื่อยเรื่อย (2)

อย่าเดินคนเดียว
อย่าเดินลิ่วไปข้างหน้าคนเดียว
หรือหยุดนิ่งอยู่กับที่
แต่เพียงลำพัง
ขอจงเหลียวมองคนข้าง ๆ
เพื่อประสานจุดร่วมเข้าด้วยกัน
และก้าวเดินไปพร้อม ๆ กัน
เพราะไม่มีใครที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เพียงคนเดียวได้







คิดไปเถอะ
“อย่าคิดมาก”
แต่ในความจริงที่แท้นั้น
เราห้ามความคิดกันไม่ได้
หากว่าเราจะคิด
เราสามารถกำหนดความคิดได้
ถ้าเราพยายามฝึกฝน
ฝึกที่จะคิดเพื่อหาคำตอบ
หาทางออกเพื่อคลี่คลายกับสิ่งที่เป็นปัญหา
และทำให้เป็นจริงได้
ไม่ตอกย้ำตัวเอง
อยู่กับความคิด
ก็มีแต่จะสร้างความหม่นหมองให้เรา
โดยเปล่าประโยชน์





ความไม่ประมาท
ความไม่ประมาทสามารถทำให้เราหลีกหนี
และเลี่ยงภัยอันตรายได้
แต่ถ้าความไม่ประมาทนั้นมีมากจนเกินไป
ก็จะกลายเป็นความขลาดกลัว
หวั่นวิตกต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ทำให้เราไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไร
เราจึงต้องระมัดระวังและกำหนดบทบาท
ด้วยความไม่ประมาท
และไม่หวาดกลัว
มิให้เอียงสุดขั้วทางใดทางหนึ่ง
แล้วเราก็จะกล้าเดินหน้า
ต่อสู้กับอุปสรรค
และเอาชนะมันได้ในที่สุด
เพิ่มรูปภาพ



ใจลำเอียง
ทันทีที่เรารู้สึกลำเอียง
เราก็มองไม่เห็นข้อบกพร่อง
หรือข้อดีที่แอบแฝงอยู่
ทำให้เรามองข้ามเหตุผลและความถูกต้อง
อีกแง่หนึ่งไป
ซึ่งจะทำให้เราเดินหลงทางและหลงผิดได้ง่ายนัก



ที่ไหนไม่มีปัญหา
ไม่มีที่ไหนไม่มีปัญหา
นั่นเป็นความจริงว่า
ทุกที่ที่เราดำรงอยู่ล้วนมีปัญหา
เพียงแต่มีมากมีน้อย
แล้วแต่ว่าเราเอาใจตัวเอง
ไปผูกพันกับปัญหาแค่ไหน
เมื่อตัวเองไม่มีปัญหา
ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา




รักที่สงบ
ถ้าเรายิ่งรักใครมาก
ก็ยิ่งทุกข์มากจากความรู้สึกเร่าร้อน
กระวนกระวาย
ถ้าเราศึกษาให้เข้าใจถึงธรรมชาติของชีวิต
เข้าใจถึงจุดเด่นจุด้อยของแต่ละคน
ความรุ่มร้อนในรักนั้น
ก็จะเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว





เพื่อนร่วมทาง
คนคนหนึ่งอาจจะผิด
อาจจะพลาดด้วยความเป็นปุถุชน
แต่เราต้องไม่ทำลายสิทธิ
ที่จะเรียนรู้สิ่งที่ดีกว่าร่วมกัน
และหน้าที่ที่จะต้องอดทนร่วมกัน
เพื่อแสวงหาวิธีการอยู่ร่วมกันโดยสันติ
เพราะการได้ร่วมเดินเคียงบ่าเคียงไหล่
กับเพื่อนพี่น้องผู้ร่วมทางที่มีน้อยลงทุกวันนั้น
ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุด
ของทุกคนที่ควรได้รับ



ทะเลอาจงามยามมีคลื่น
แต่คนมิใช่ทะเล
และไม่ได้งามยามมีคลื่นอารมณ์


...................*_*.............. ^_^.....


ขอให้ทุกท่านมีความสุขทุกวันค่ะ...



สีตะวัน



ที่มา : ชีวิตใช่ว่าเรื่อยเรื่อย โดย วิลาวัณย์ โรงพิมพ์คุณรัตน์ กทม.
ไม่มีวันเดือนปีที่พิมพ์ มีแต่วันเดือนปีที่ซื้อ 17 เมษายน 2531 ...
ภาพ.....ดอกไม้บ้านหรรษา.

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เพลงชีวิต..

สวัสดีค่ะ..เพื่อน ๆ ในชุมชน จิต-ใจ-ดี ที่รักทุกท่าน




เมื่อวานเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ขาดการนำเสนอบทกลอนอันอบอุ่น ดังที่สัญญาไว้ เนื่องจากมีอุบัติเหตุเล็กน้อยที่ทำให้เสียตังค์ และเสียเวลา คือ ขับรถไปเฉี่ยวรถคนอื่นโดยไม่รู้ตัว อิ อิ ....ขณะพาหลาน ๆ และคุณย่าไปกินข้าวเที่ยง ที่ห้าง...(เด็ก ๆ อยากไปร้านหนังสือซีเอ็ดบุ๊คข้าง ๆ ศูนย์อาหารฯ) กินข้าวอิ่ม ..ได้หนังสือคนละเล่ม..จะไปซื้อของใช้เข้าบ้าน .(ยังไม่ได้ซื้อ..)..ทะเบียนรถคันน้อย ก็ได้รับการประกาศจากประชาสัมพันธ์เสียงหวาน..ของห้าง ..ตุ่ง ตุง ตุ๊ง..ขอเชิญเจ้าของรถ..ทะเบียน ...ไปที่รถของท่านด่วนค่ะ ได้ยินเสียงไม่ค่อยชัดเพราะมัวแต่ดูแลหลาน ๆ แต่สังหรณ์ใจว่าจะเป็นรถเรา เพราะ ได้ยินเสียงตอนท้าย ...07 จึงออกไปดูที่จอดรถ แม่นแล้ว!!! (ใช่เลย) ..รถเราเอง ยาม 2 คน กับเจ้าของรถเก๋งฮอนด้าซิตี้ สามีภรรยา รออยู่ ...มีอะไรเกิดขึ้นหรือคะ..(ฉันถาม)
เธอขับรถชนรถพี่รึเปล่า ...ไม่รู้สิคะ ..ดูรอยถลอกข้างรถ อืม !! ท่าจะใช่ค่ะ...(ฉันตอบ)

แล้วเหตุการณ์เมื่อวานทำให้ได้บทเรียน.. ดังนี้

1. ฝีมือหักพวงมาลัยเข้าช่องจอดรถด้านซ้าย ต้องปรับปรุง....อิ อิ
2. การควบคุมสติ และอารมณ์เมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน คะแนนเต็ม 5 ให้ 5 คะแนน (ไม่ได้ลำเอียงนะ แห่ะ ๆ..) คือ ไม่ปฏิเสธ ทำผิดแล้วก็รับผิด ขอโทษขอโพย ยอมชดใช้ค่าเสียหาย
ถูกต่อว่าเล็กน้อย ..ก็ไม่เป็นไร เราก็ยิ้ม ๆ และบอกว่า...ไม่รู้..เลยนะคะว่าไปเฉี่ยวรถคุณพี่เข้า งง ๆ ๆ (หลักฐานชัดเจน..รอยขูดที่รถเราและรถเขา) แต่จำได้ว่าตอนเลี้ยวเข้ามา ท้ายรถคุณพี่โผล่ออกมา รถสะดุดเหมือนกัน นึกว่าเหยียบก้อนหิน ...(ให้เขาได้คิดด้วยว่าคุณก็จอดรถไม่ตรงช่องน๊า..) เขาปฏิเสธทันที..เพราะรถคันข้าง ๆ จอดไม่ตรงเอง..เราก็ยิ้ม ๆ และถามว่า พี่จะว่าอย่างไรคะ พี่สาวคนสวยจึงพูดกับสามีว่า ตอนนั้นเคยซ่อม 3 พันนะป๊า..เราก็ ป๊าด ป้าด ๆ ..มีจ่ายไหมนี่ อืม..! !..เอาไว้ให้อู่ประเมินดีกว่า..มั๊ยคะ ..

3. ได้ประสบการณ์พาเจ้าของรถที่ถูกเฉี่ยวไปประเมินค่าเสียหาย ..ถ้าเลือกได้เราควรเลือกอู่ซ่อมเอง.. จะได้รับการประเมินตามจริง สุดท้ายคุยไปคุยมา จากการที่จะได้เสียเงิน 3,000 บาท ก็ขอช่วยจ่าย 1,000 บาท ละกัน นะพี่นะ ..ซ่อมสีถลอก แต่ลึกเล็กน้อย รอยเล็ก ๆ ยาว สัก 40 ซม.
4. ความประมาท เป็นบ่อเกิดของการเสียตังค์ 1 พัน (ดีนะที่เสียพันเดียว..หุ หุ)
...หลังจากนั้น...ขับรถระวังมากขึ้น ..ต้องมีสติ ๆ ๆ ๆ..สัมปะชัญญะ (ความรู้ตัว) ..






วันนี้ มีเพลงมาฝาก 1 เพลงค่ะ
เป็นเพลงในชุดปลั๊กหลุด ..ของปู พงษ์สิทธิ์ และ เล็ก คาราบาว
ชื่อ..เพลงชีวิต
เมื่อเดินทางมาถึง
มองทางที่ฝ่ามา
เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง
ผ่านมาแล้วผ่านไป
มีรัก มีพบ มีพราก
มีสุข มี..ทุกข์ภัย
มีเจ็บ มีหวาน มีเศร้า
มีรัก โกรธ เกลียด ชัง
จนถึงวันนี้
วันวัยผ่านไป
ผ่านหนาว ผ่านร้อน ผ่านความขื่นขม
สังขารร่วงโรยลง ยังยิ้มและลมฝน
มีรักอยู่ล้นเหลือ...
ฮือ.. ฮื่อ ฮือ.. ฮือ ฮื้อ...(ซ้ำทั้งเพลง)



..ขอให้ทุกท่านมีความสุขทุกวันค่ะ..

ช่วงนี้หน้าบุญกฐิน..(หลังออกพรรษา 1 เดือน)..ชวนไปทำบุญค่ะ
ภาพ : ไปทำบุญโรงทาน ...กฐินวัดป่าโนนนิเวศน์ อ.เมือง จ.อุดรธานี (ปีที่แล้ว)

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

[จิตใจดี สนทนา] ชุมชน จิตใจดี


สวัสดีครับ

อย่างที่เคยเล่าให้ฟังนะครับ ว่าสมาชิกชุมชนจิตใจดี เราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ประมาณอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งคน สำหรับสัปดาห์นี้ก็มีสมาชิกเพิ่มอีกหนึ่งคนนะครับ ชื่อน้องณัฐปภัสร์ ผมอ่านข้อความที่น้องเขาแนะนำตัวมาแล้วก็อมยิ้ม เลยอยากแบ่งปันให้เพื่อนสมาชิกท่านอื่นยิ้มด้วย

"กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีหมา 4 ตัว ปลาคาร์พ 12 ตัว และปลาตะเพียนอีกเยอะ (ตัวเล็ก) อนาคต ว่าจะเลี้ยงปลาซิว ชอบฟังเพลง และเล่นดนตรี ทั้งไทยและสากล"

เป็นข้อความสั้น ๆ นะครับ แต่ทำให้รู้จักน้องเขามากทีเดียว

น่าอิจฉานะครับมีสัตว์เลี้ยงเยอะดี :-)


ก็ยินดีต้อนรับเข้ากลุ่ม จิตใจดี นะครับ
หวังว่าคงแวะเข้ามา comment ให้พี่ อา น้า ป้า แถวนี้บ้างนะครับ :-P



ก่อนไปขอสรุปจำนวนสมาชิกหน่อยนะครับ

ปัจจุบัน กลุ่ม จิตใจดี มีสมาชิก 49 คน และมีนักเขียนร่วม 6 คน แล้วนะครับ

น่าชื่นใจดีนะครับ

ภาสกร (pC)



ปล ช่วงนี้ ขอขอบคุณ คุณNaJu และ คุณสีตะวัน นะครับ ที่แวะมาแบ่งปันเรื่องราวอยู่เรื่อย ๆ
ไม่เหงาดีครับ นี่ถ้ามีผมคนเดียว สงสัย จิตใจดี ร้างไปแล้วหล่ะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2551

--The end Of the day--

"


ตอนจบ..ในแต่ละวันเป็นอย่างไร

ในฐานะที่เคยเรียนวัดและประเมินผลมาก่อน

หากให้วัดตอนจบแล้ว แห่ะๆ

แล้วแต่บุญแต่กรรมค่ะ..(พูดไม่มีหลักการเลยเนอะ)

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ"พี่สีตะวัน" ที่มีแนวคิดดีๆมาฝากเสมอ

ติดภาระกิจขนาดไหนก็ทำให้มีแรงบันดาลใจเข้ามาอ่าน

และก็ต้องขอขอบคุณ "อาจารย์ภาสกร" ที่กรุณาให้โอกาส

ได้มาสัมผัสสิ่งดีๆ สาระดีๆ และแนวคิดดีๆ จนทำให้คนอ่าน

มีจิตใจดี .. :P:P

และสำหรับเรื่องในวันนี้

ได้มาจาก Fw:mail นานแล้วค่ะ

แต่ว่ายังหาโอกาสนำเสนอไม่มี อิอิ..

เห็นไหมคะ..หากว่าพี่สีตะวันพี่สาวใจดี

ไม่นำพา...นาจะมีโอกาสหยิบเสนอไหมล่ะคะ :D

ต้องขอบคุณกันอีกยกค่ะ..^^

ว่าแล้ว.เรามาอ่าน.มาดูแนวคิดของคุณ..

คุณอะไร..ก็อ่านเองสิคะ...คุณอ่านได้เก่งทุกคนใช่ไหมล่ะ

อ่านเองเลยดีกว่าค่ะ.....แร้วววววๆๆๆๆๆๆๆ :D:D







อ่านแล้ว..ลองมาวัดตอนจบในแต่ละวัน
ของตัวเองสิคะ....
สำหรับดิฉัน..ตอนจบในวันทำงาน
มีหลากหลายรูปแบบ...
แต่ทุกรูปแบบก็สร้างสีสันดีค่ะ
ดีใจทุกครั้งที่ได้ทำงาน.เหนื่อยบ้าง
ก็รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าตลอด..
วันไหนที่ตัวเองไม่ได้ทำงานสักชิ้นนี้
จะรู้สึกว่าเรื่อยเปื่อยมากๆ
ในแต่ละวันวัดที่ความภูมิใจที่ได้ทำงานค่ะ
คือยึดปริมาณงานในแต่ละวัน.....
เป็นหลัก..
แต่ว่างานนั้นก็ต้องเน้นคุณภาพด้วย
นาภูมิใจในทุกงานที่ทำค่ะ
เพราะนาเอาใจทำด้วย....
เพราะงั้นคุณภาพถึงไม่ดีที่สุด..แต่ก็ดีขึ้นไปค่ะ แห่ะๆ:P
ข้อเสียคือ..เหนื่อยเท่านั้นเอง
แต่ว่า...วันเหนื่อยไม่ได้ฟิกว่าต้องเหนื่อยทุกวัน
เราก็เว้นที่ว่างของเวลาให้ไว้บำรุงจิตใจให้ผ่อนคลายด้วย
แล้วคุณผู้อ่านล่ะ...วัดตอนจบของแต่ละวันกันอย่างไรบ้างเอ่ย:D
ปล. ไงก็ขอให้ทุกคนทุกท่าน...มีวันที่ดีดี
  • ทุกวัน
  • ทุกเวลา

"Happy good day for You"

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เราทำอะไรกันบ้าง? ในเวลา 24 ชั่วโมง...


หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย

พระพุทธเจ้าเคยอบรมสั่งสอนมนุษย์ไว้ว่า ทรัพย์สินที่พึงได้จากการประกอบ กิจการงานต่าง ๆ นั้น ควรแบ่งออกเป็น 4 กองเท่าๆ กัน

กองแรก เก็บสะสมไว้ใช้ยามขัดสน กองสอง ใช้จ่ายเพื่อทดแทนผู้มีพระคุณ กองสาม ใช้เพื่อความสุขส่วนตัว กองสี่ ใช้เพื่อสร้างสรรค์ความดีงามให้แก่สังคม

แล้วการทำงานของมนุษย์ล่ะ หลายคนยังมัววุ่นแก่การทำงานโดยไม่ ยอมแบ่งเวลาเหลียวหลังมองถึง บุคคลที่รักและห่วงใยตนเองเลยหรือ???

มนุษย์บางคนทุ่มเวลาทั้งหมดให้แก่หน้าที่การงาน พร้อมกับคิดว่า การกระทำดังนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แล้ว แต่นั่นคือการกระทำที่โง่เขลาเป็น ที่สุด

ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน แต่ผู้ใดที่ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับ งาน โดยไม่ยอมแบ่งปันเวลาให้แก่ผู้ใด แม้กระทั่งตัวเองเป็นมนุษย์ที่เขลา เบาปัญญาที่สุด บริหารไม่ได้แม้กระทั่งเวลา 24 ชั่วโมงของตัวเองในแต่ละวันแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะบริหารอะไรได้

ทำไมมนุษย์ผู้ชาญฉลาดจึงไม่แบ่งปันเวลา ให้เสมือนหนึ่งการแบ่งปันกองเงิน ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าบ้างเล่า...

ไม่ต้องแบ่งเวลาให้เป็นสี่กองเท่า ๆ กันหรอก เพียงแต่แบ่งปันเวลาในแต่ละส่วนให้ เหมาะสมเท่านั้น

8 ชั่วโมงสำหรับการทำงาน เพื่อความก้าวหน้ามั่นคงในชีวิต


8 ชั่วโมงสำหรับการพักผ่อน เก็บเรี่ยวแรงไว้ต่อสู้กับหน้าที่ การงานและอุปสรรคในวันพรุ่งนี้

5 ชั่วโมงสำหรับการเดินทาง เพื่อประกอบกิจการต่าง ๆ 2 ชั่วโมงสำหรับโลกส่วนตัวของตนเอง

59 นาที สำหรับดูแลและรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย และช่วยเหลือสังคม

และ 1 นาทีของคุณ ที่มอบให้กับคนที่รักและห่วงใยคุณ โดยไม่นำเวลาอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเพียง1 นาทีนี้ มันมีค่ามากเกินกว่าคณานับได้ในความรู้สึกของเขาคนนั้น

จงอย่ากล่าวว่า ' ไม่มีเวลา... ' เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด ในโลกนี้ที่มีให้แก่มนุษย์ มนุษย์ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน ไม่มีใครมีเวลามาก และไม่มีใครมีเวลาน้อยไปกว่านี้

24 ชั่วโมงใน 1 วัน ที่มหาเศรษฐี หรือยาจก มีเท่าเทียมกันไม่ขาดเกินแม้แต่เศษ เสี้ยวของวินาที

ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ผู้ใดที่กล่าวว่า ' ไม่มีเวลา' จึงเป็นผู้ล้มเหลวในการบริหารเวลา 24 ชั่วโมง ในแต่ละวันของตนเองอย่างสิ้นเชิง และใช้คำว่า ' ไม่มีเวลา ' เป็นข้อแก้ตัวเพื่อปกปิด ความล้มเหลวเรื่องเวลาของตนเองอย่างขลาดเขลา

มนุษย์ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จในชีวิต จึงไม่ใช่ผู้ที่เก่งแต่การทำงาน อย่างเดียว แต่มนุษย์ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จ ในชีวิต ต้องเป็นผู้ที่รู้จักแบ่งสัดส่วน เวลาวันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ได้อย่างลงตัว

วันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ที่มีไว้สำหรับการทำงาน การพักผ่อน การเดินทาง มิตรภาพ ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ความเอื้ออาทร ฯลฯ โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต

นี่แหละ คือมนุษย์ผู้ชาญฉลาดที่รู้จัก ' ใช้เวลา ' แล้ววันนี้..คุณจะยังอ้างเหตุผลว่า ' ไม่มีเวลา ' อีกหรือ? จงเปลี่ยนความคิดของคุณตั้งแต่บัดนี้


....................................................................^_^....



เหนือกลางถนนในตัวเมืองหนองคาย..

ที่มา : เรื่องราว Fw mail จากเพื่อนที่แสนดี

ภาพ : สีตะวัน

ของฝากร้อน ๆ ค่ะ http://www.bflybook.com/Homepage/p/h1.htm

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ชีวิตใช่ว่าเรื่อยเรื่อย

สวัสดีค่ะ...

วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนสบาย ๆ นะคะ
จึงมาตามสัญญาที่ให้ไว้...
กับบทกวีที่อบอุ่น
เป็นกำลังใจแก่กันและกัน
ตราบนานเท่านาน


................................................^_^...





เพื่อน
เราต่างก็แสวงหาและต้องการเพื่อน
ปลอบใจเมื่อผิดหวัง
ยินดีเมื่อสมหวัง
แต่บางครั้ง
เราอาจหาเพื่อนไม่ได้เลยสักคน
เพราะต่างก็มีภาระหน้าที่ของตัวเอง
ไม่มีใครขานรับความต้องการของเราได้ตลอดเวลา
ตัวเราเท่านั้น
ที่จะเป็นเพื่อนกับเราได้
ชั่วนิรันดร์






เชื่อมั่น
ในการดำรงอยู่ของชีวิต
จำเป็นที่เราจะต้องมีความเชื่อมั่นในบุคคลอื่น
เชื่อมั่นในคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
ความเชื่อมั่นในหัวใจของเรา
จะผลักดันให้เราเกิดความไว้วางใจ
และมั่นใจในศักยภาพของผู้อื่น
ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร
ระดับไหน
เมื่อเชื่อว่าทุกคนจะพัฒนาได้
ความเป็นมิตรต่อกันก็จะก่อกำเนิดขึ้นทันที





................................................

ในความจริงที่ดำรงอยู่
ไม่มีใครเหมือนใคร
การทำความดีจึงมีหลายรูปแบบ






กัลยาณมิตร
คนที่เป็นกัลยาณมิตร
ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน
เขาจะยังคงมีความเป็นมิตรกับเราอยู่เสมอ
เขาจะมีสิ่งอันผูกใจเราอยู่ตลอดเวลา
แต่ไม่จำเป็นต้องเกาะเกี่ยวผูกพันกัน
จนแยกไม่ออก






ดอกไม้ริมทาง
การเดินทางไกล
แม้จะยาวนาน
แต่ถ้ามีดอกไม้ริมทางให้ชื่นชม
บางครั้ง
แม้จะดูต่ำต้อยไร้ค่า
แต่ก็ทำให้ผู้เดินทางรู้สึกสดชื่น
มีความสุขได้จากสิ่งเล็กน้อยที่พบเห็น
เช่นเดียวกัน
เมื่อเราเข้าไปอยู่ที่ใด
ไม่ว่าจะทำงานอะไร
แม้จะยากเย็นแสนเข็ญ
แต่เราก็สามารถเก็บเกี่ยวสิ่งที่เป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ
ระหว่างทางได้เสมอ

ถ้าเราไม่กำหนดกฎเกณฑ์อะไรมากเกินไป
เราก็จะไม่อึดอัดเร่าร้อนในหัวใจ



คนหน้า... เจเนอเรชั่นล่าสุด..อิ อิ

ชาย-หญิง
ในความเป็นชาย
ไม่ใช่เรื่องแปลกเขาอาจมีความอ่อนละมุน
และในความเป็นหญิง
ไม่ใช่เรื่องผิดที่บางขณะเธอจะเข้มแข็ง
เพราะทุกชีวิต
ต่างมีความเป็นหญิงเป็นชายในตัวคนเดียว
อยู่ที่ว่า
เราจะใช้ให้เหมาะกับโอกาส
ได้มากกว่าอย่างไรต่างหาก






ฐานชีวิต
แต่ละคนต่างเติบโตมาจากพื้นฐานที่แตกต่างกัน
ต่างเผ่าพันธุ์
ต่างเบ้าหลอม
ต่างความคิด
จากความเป็นอยู่ที่ต่างกัน
ทำให้คนมีความเห็น
ความรู้สึกต่างกัน
คนสองคน
เมื่อเจอเรื่องเดียวกัน
จึงอาจจะคิดไม่เหมือนกัน
เมื่อเจอปัญหาเรื่องเดียวกัน
ก็จะมีความอดทนไม่เท่ากัน
แต่ละคนจะมีความอดทนต่อสิ่งเดียวกัน
ในระดับที่ไม่เหมือนกัน


การเคลื่อนไปข้างหน้า
แม้ว่าจะเป็นเพียงสักนิดเดียว
ก็ยังดีกว่าย่ำเท้าอยู่กับที่







สิ่งที่ดี
เราเชื่อกันว่า
ชีวิตต้องการความสุขอย่างเดียว
เชื่อว่าสิ่งที่ดีคือ
สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุข
และสิ่งที่ทำให้เราไม่มีความสุขคือสิ่งไม่ดี
แต่ในความเป็นจริงนั้น
มีความยากลำบากมากมายที่เราจะต้องอยู่กับมัน
เผชิญหน้ากับมัน
และกล้าที่จะแก้ไข
กล้าที่จะต่อสู้เปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า


........................................^_^...

ความสำเร็จ
ผู้ประสบความสำเร็จ
คือผู้มีกิจวัตรอันเป็นปกติ
ที่เตรียมพร้อมอยู่เสมอ
มีแผนการอยู่เสมอ
มีคำตอบให้กับปัญหา
และมักจะพูดว่า
“มันอาจจะยาก แต่มันก็เป็นไปได้”
สิ่งเหล่านี้
อาจจะไม่ใช่ความสำเร็จ
ที่จะวัดกันเป็นเงินเป็นทอง
แต่ก็เป็นความสำเร็จที่อยู่ในใจเรา
ชั่วนิรันดร์


ขอเพียงกล้าที่จะให้ความรักกับตัวเอง
โลกใบนี้ก็จะไม่ถึงกับไร้รักเสียเลยทีเดียว





สิ่งเล็กน้อย
บางครั้ง
สิ่งเล็กน้อยดูเหมือนจะไม่มีค่าอะไร
แต่ชีวิตของเรานั้น
สิ่งเล็กน้อยมักจะมีความหมายต่อเราเสมอ
ไม่ว่า...
สายตาที่เป็นมิตร
รอยยิ้ม
การรับฟังทุกข์สุขของผู้อื่น
และพร้อมที่จะมีส่วนร่วม
อยู่ในความคิดคำนึงของเขา
สิ่งเหล่านี้
แม้จะเล็กน้อย
แต่มีคุณค่ากับทุกชีวิตกว่าสิ่งอื่นใด




ความพยายามของหนอนน้อย...บนต้นไม้หน้าบ้าน

พยายาม
เมื่อเราพยายามลงมือทำสิ่งใด
แม้จะลำบากยากเย็น
ท่ามกลางภาวะที่สับสนวกวน
สิ่งใดที่เราทำได้
ขอให้เราทำสุดความสามารถ
สิ่งใดที่เราพยายามแล้ว
ก็ให้กำลังใจตัวเองที่จะเดินหน้าต่อ
แต่ถ้าพิเคราะห์แล้ว
เห็นว่าเป็นไปไม่ได้
เราก็ต้องเข้าใจถึงความแตกต่าง
อันหลากหลายที่ดำรงอยู่ให้ได้






ล้มกี่ครั้งก็ไม่สำคัญ
สำคัญอยู่ที่ว่า
ใครจะลุกขึ้นใหม่ได้เร็วกว่ากัน




.......#..!..!..*_*...!..!..#..^_^....

เชื่อมั่นและศรัทธา




ที่มา : ชีวิตใช่ว่าเรื่อยเรื่อย โดย วิลาวัณย์ โรงพิมพ์คุณรัตน์ กทม. ไม่มีวันเดือนปีที่พิมพ์ มีแต่วันเดือนปีที่ซื้อ 17 เมษายน 2531 ...ราคา 25 บาท
ภาพ...ประชาสัมพันธ์ แหล่งท่องเที่ยว ..ภูฝอยลม อ.หนองแสง จ. อุดรธานี
หนาวที่แล้ว เพื่อน ๆ จากทางไกลมาเยี่ยม...สีตะวัน

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สูตร(ไม่)ลับแห่งความสุข

เคยได้ยินมาว่า..


"การทำงานให้มีความสุข" นั้น..
ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว...


แต่เห็นหลายท่านได้พยายามคิดหาสูตรการทำงาน
ให้มีความสุขได้อย่างน่าสนใจ เช่น

สูตรการทำงานให้มีความสุข
ประกอบด้วยเครื่องปรุง ดังต่อไปนี้

  • ความจริงใจ 2 ถ้วย
  • การให้อภัย 3 ถ้วย
  • รอยยิ้มและความใจดี 4 ถ้วย
  • ยอมรับในความแตกต่าง 4 ช้อนโต๊ะ
  • ความปรารถนาดี 3 ช้อนชา
  • ความเห็นอกเห็นใจ 1 ตะกร้า

วิธีปรุง คือ นำความจริงใจและการใหเอภัยมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน
หมั่นเติมความปรารถนาดี รอยยิ้มและความใจดี

ดรยด้วยการยอมรับความแตกต่างของบุคคลลงไปให้ทั่ว

นำไปอบด้วยความเห้นอกเห็นใจ

เท่านี้ก็จะได้บรรยากาศการทำงานที่เต็มไปด้วยความสุขแล้วล่ะค่ะ

นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่เป็นสูตร..
ที่สามารถขอยืมนำไปใช้ได้เหมือนกัน แห่ะๆ

(ยืมฟรี..ส่งคินคิดตังค์ค่ะ:P)

ในขณะที่บางคนประสบความสำเร็จในชีวิตได้
เพราะความคิดง่ายๆ เพียงว่า

"งานเป็นเรื่องสนุก"


พอมองว่างานเป็นของสนุกแล้ว
อะไรๆก็จะง่ายและดูมีความสุขไปหมด..


"Simple is best"


จงเป็นผู้เลือก อย่าเป็นผู้ถูกเลือก^^

...รู้จักชีวิต...โดยคุรหมอวิทยา นาควัชระ:D

สาเหตุที่คนไม่กล้าเป็นผู้เลือก เพราะ

1. ชินกับของเดิม เคยเป็นอยู่อย่างไรก็อย่างนั้น ชินแล้ว
ไม่อยากเปลี่ยนแปลง

2. เลือกตามคนอื่น เพราะไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง
จึงคิดว่าปลอดภัยถ้าจะเลือกตามคนอื่น
บางคนเลือกตามคำโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ
โดยไม่คิดเองเลยก็มี แม้แต่จะกินอาหาร ก็เลือกสั่งตามๆ กันใช่ไหม?

3. อยากได้ความรักจากคนอื่น คิดว่าถ้าเลือกตามเขา
เขาคงรักเรา ชอบเรา จึงเลือกตามเขาโดยไม่คิดมาก

4. มีคนช่วยเหลือมากไป เลยเลือกไม่เป็น เช่น
เด็กที่พ่อแม่รักและตามใจมาก พ่อแม่ช่วยเลือกตัดสินใจให้ตั้งแต่เด็กๆ
พอโตขึ้นเลยตัดสินใจไม่เป็น เลือกเองไม่ได้

5. มีประสบการณ์ชีวิตน้อย ไม่ค่อยได้เห็นโลกกว้าง
ข้อมูลน้อย

6. กลัวความผิดพลาด กลัวถูกหาว่าเป็นคนโง่
กลัวเลือกผิด จึงคิดมาก กังวล

ขณะนี้เรารู้แล้วว่าการเป็นผู้เลือกทำให้เรามีค่า
  • จงเลือกที่จะช่วยตัวเองให้มากขึ้น
  • เลือกที่จะพึ่งคนอื่นให้น้อยลง
  • ไม่อดทนกับสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่ฝึนทำในสิ่งที่ไม่อยากทำจริงๆ
  • เมื่อจะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร ก็ให้คิดว่าฉันเลือกที่จะทำหรือไม่อยากทำสิ่งนั้น
  • ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เรายังไม่สามารถแก้ไขได้ และจำเป็นต้องอยู่ต่อไปจริงๆ ก็ให้คิดว่า"ฉันเลือกอยู่กับสิ่งนี้ จะรับผิดชอบและทำให้ดีที่สุด"
  • ถ้ามีโอกาสเลือกใหม่ ฉันก็จะเลือกใหม่

เมื่อตัดสินใจเลือกแล้วให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

รับผิดชอบต่อผลของการเลือกนั้นด้วย

ถ้าได้ผลไม่ดี ไม่ถูกใจซ้ำๆ ก็มีสิทธิ์เลือกใหม่ได้

" ไม่มีคำว่าซังกะตายอยู่ ฝืนทำ หรือถูกบังคับให้ทำ

เพราะไม่มีทางเลือก...อีกต่อไป

จะมีแต่คำว่า เลือกอยู่...เลือกทำ ทั้งนั้น

ทั้งที่พอใจและไม่พอใจ

(แต่ก็ใช้คำว่า เลือกอยู่...เลือกทำแล้ว พร้อมรับผิดชอบ
และรอคอยโอกาสที่จะเลือกใหม่ต่อไป)

จะไม่มีวันเสียกำลังใจเลย

จะเกิดความภูมิใจและรู้สึกเป็นผู้ชนะในทุกโอกาส

...แม้ในยามวิกฤติ

คัดลอกจาก:กุลสตรีฉบับอ่านจบเมื่อกี้ค่ะ อิอิ:D

ความรัก...ที่แท้จริง


" สิ่งมีค่าที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การมองเห็น ..
.. ความรักที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่เราได้ทำอะไรแล้วมีคนรับรู้ "


ในโลกที่สับสนวุ่นวายนี้จะมีสักกี่คนที่จะรักเราจริง
และมีคนที่เรารักอย่างแท้จริงสักกี่คน

หากเรารู้แล้วว่าคนๆ นั้นคือใคร
อย่าปล่อยให้เวลาที่เหลือผ่านเลยไปโดยไม่ใส่ใจคนๆ นั้น

เรื่องเล่าดีๆ จากอีเมลวันนี้
เป็นเรื่องของผู้ให้ที่ไม่เคยต้องการสิ่งตอบแทน

และเราทุกคนมีผู้ให้คนนี้อยู่ข้างตัวเหมือนกัน
เพียงแต่เราจะหันไปมองหรือเปล่าเท่านั้นเอง

ใครมีเรื่องดีๆ ความรู้สึกดีๆ ส่งผ่านถึงกันทางอีเมลนะคะ


ความรักที่แท้จริง"





เช้าวันหนึ่ง ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

"ขอให้ชั้นดูหน้าลูกหน่อยได้ไหมคะ" คุณแม่คนใหม่เอ่ยขึ้น


เมื่อห่อผ้าน้อยๆ อยู่ในอ้อมกอดเธอ
เธอค่อยๆ คลี่ผ้าที่ห่อออก เพื่อมองใบหน้าเล็กๆ



"กรี๊ดดดด..." เธอกรีดร้อง


หมอต้องอุ้มเด็กทารกออกไปอย่างรวดเร็ว

**เด็กทารกที่เกิดมา...ไม่มีใบหู**


และแล้ว กาลเวลาพิสูจน์ว่า
การได้ยินของเจ้าตัวเล็ก ไม่มีปัญหา

ปัญหามีเฉพาะสิ่งที่มองเห็นภายนอก คือ ใบหูที่หายไป
หลายครั้งที่เด็กชายกลับจากโรงเรียน

แล้ววิ่งมาบอกแม่ว่าถูกเพื่อนรังแก
เธอรู้ว่า หัวใจลูกปวดร้าวแค่ไหน

เด็กชายพูดโพล่งออกมาอย่างน่าเศร้า
พวกเด็กตัวโต พวกมันล้อผมว่า

"ไอ้ตัวประหลาด"



จนกระทั่ง เจ้าหนูเติบโตขึ้น หล่อเหลา เป็นที่รักของเพื่อนๆ
เขามีพรสวรรค์ ในด้านอักษรศาสตร์ วรรณคดี และดนตรี



เขาอาจได้เป็นหัวหน้าชั้น แต่การที่เขาไม่มีใบหู
ทำให้เขาไม่อยากเจอใคร "ลูกต้องพบปะกับผู้คนบ้างนะลูก"

แม่กล่าวด้วยความสงสารลูก
พ่อของเด็กชาย ปรึกษากับหมอประจำครอบครัว

และได้รับข่าวดีจากหมอว่า "ผมสามารถปลูกถ่ายใบหูได้ครับ
ถ้ามีผู้บริจาค แต่ใครล่ะ จะเสียสละใบหู เพื่อเด็กน้อยคนนี้"



คุณหมอกล่าว จนกระทั่ง 2 ปีผ่านไป
พ่อบอกกับลูกชาย "ลูกเตรียมตัวไปโรงพยาบาลนะ

พ่อกับแม่ หาคนบริจาคใบหูที่ลูกต้องการได้แล้ว แต่นี่เป็นความลับ"


การผ่าตัดสำเร็จด้วยดี และแล้วคนๆ ใหม่ก็เกิดขึ้น
เขากลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ เป็นอัจฉริยะในโรงเรียน

ในมหาวิทยาลัย จนเป็นที่กล่าวขานกันรุ่นต่อรุ่น
ต่อมาเขาได้แต่งงาน และทำงานเป็นข้าราชการในสถานทูต

วันหนึ่ง ชายหนุ่มถามผู้เป็นพ่อว่า "พ่อครับ ใครเป็นคนมอบใบหูให้ผมมา
ใครช่างให้ผมได้มากมาย แต่ผมไม่เคยทำอะไรเพื่อเขาได้เลยสักนิด"



"พ่อไม่เชื่อว่า ลูกจะตอบแทนเขาได้หมดหรอก
เรื่องนี้เป็นความลับ เราตกลงกันแล้ว" พ่อตอบ



หลายปีผ่านไป มันยังคงเป็นความลับ
และแล้ววันหนึ่ง วันที่มืดมิดที่สุด ผ่านเข้ามาในชีวิตของลูกชาย


แม่เขาได้เสียชีวิตลง เขายืนข้างๆ พ่อ ใกล้กับศพของแม่
พ่อเรียกเขา.. "มานี่สิลูก มานั่งใกล้ๆ นี่"

พ่อลูบผมแม่อย่างช้าๆ อย่างนุ่มนวล ผมสีน้ำตาลแดง ถูกเสยขึ้น
จนมองเห็นใบหน้าที่มองดูเหมือนคนนอนหลับ

และแล้ว สิ่งที่ทำให้ลูกชายถึงกับต้องตะลึง ใบหูของแม่หายไป!
แม่ไม่มีใบหู...


"นี่เป็นคำตอบที่ลูกอยากรู้มาตลอดชีวิต" พ่อกระซิบผ่านลูกชาย

"แม่บอกพ่อว่าเธอดีใจที่ได้ทำอย่างนี้" ตั้งแต่วันผ่าตัด แม่ไม่เคยตัดผมอีกเลย

ไม่มีใคร มองเห็นว่าเธอไม่สวยจริงไหม?


"จงจำไว้ สิ่งมีค่าที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การมองเห็น
ความรักที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่เราได้ทำอะไรแล้วมีคนรับรู้
ความรัก บางครั้งไม่จำเป็นต้องพูดพร่ำเพรื่อ


ถ้าพรุ่งนี้เราตายไป บริษัทสามารถหาคนมาแทนเราได้ภายในไม่กี่วัน
แต่ครอบครัวเรา ต้องสูญเสีย และคิดถึงเราไปตลอด



เราได้ใช้ชีวิตกับการทำงานมากกว่าครอบครัวหรือเปล่า?
ถ้าใช่ วันนี้คุณยังเริ่มต้นใหม่ได้ ^^"



คัดสรรจาก: Fw เมล์และคอลัมน์ "ฝากไว้ให้คิด":กุลสตรี
ปล. ขอขอบคุณทุกความคิดถึงค่ะ แห่ะๆ ห่างหายไปเพียงอักษร
แต่ใจยังคงความหนาแน่นของความคิดถึงเหมือนเดิมจ๊ะ อิอิ :P

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

บนจุดตัดของเส้นขนาน

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่าน web blog จิต-ใจ-ดี ที่รักทุกท่าน

ในยุคของการสื่อสารไร้พรมแดน ในงานสาธารณสุขของจังหวัดอุดรธานี บางครั้งอาจจะมีการสั่งงานหรือแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์งานต่าง ๆ ทางเวปของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และเวปของสาธารณสุขอำเภอเมือง คนทำงานในพื้นที่ ...อย่างดิฉัน จึงต้องใส่ใจในการเข้าไปหาข่าว หรือติดตามงานต่าง ๆ ในเวป...ที่กล่าวถึง...อยู่เสมอ
เมื่อวานได้เข้าไปหาข่าวประชาสัมพันธ์ในเวปสสอ. เมือง เผื่อมีข่าวให้ส่งรายงานอะไรบ้างหรือเปล่า...(กลัวตกข่าว..อิ อิ) มีเรื่องเล่าของชายผู้หนึ่งที่โพสต์ไว้ ..เลยเอามาฝาก...ฝากอ่านขำ ขำ คลายเครียด ...ก่อนนะคะ ..อิ อิ อิ



ความตั้งใจในวันนี้อยากเล่าเรื่องราว สาระ ใน “ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน” หนังสือที่รวบรวมบทสนทนาของผู้ชายต่างวัย 2 คน คือคุณวินทร์ เลียววาริณ และคุณปราบดา หยุ่น คุยกันในจดหมายอิเลคทรอนิกส์ (e-mail) เผื่อจะเป็นข้อคิดและกำลังใจให้กับใคร ๆ ได้บ้างในช่วงที่ประเทศชาติ กำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติเช่นนี้...(เหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551...ประวัติศาสตร์การเมืองไทยอีก 1 บท)

เรื่องเล่าในห้องเรียน
เพื่อนสองคนเดินทางในป่าทึบ คนหนึ่งกล่าวว่า หากมีอันตรายใด ๆ เขาจะไม่มีวันทิ้งเพื่อนเป็นอันขาด แล้วทั้งสองคนก็เดินไป เดินไป... เดินผ่านมาถึงจุดหนึ่ง ทั้งสองเจอหมีใหญ่ยืนจังก้า แสยะปากแยกเขี้ยว เพื่อนคนที่บอกว่าจะไม่ทิ้งเพื่อนวิ่งหนีไปซ่อนในพุ่มไม้ทึบ ส่วนอีกคนหนีไม่ทัน ก็ทิ้งตัวลงกับพื้นแกล้งตาย
หมีเข้าไปดม ๆ รอบตัวชายที่นอนอยู่ สักพักก็เดินจากไป ชายที่ทิ้งเพื่อนเดินกลับมา ถามแก้เขินว่า “เมื่อกี้ หมีพูดอะไรกับคุณน่ะ?”
“มันบอกว่า...อย่าคบคนที่ทอดทิ้งเอ็งเวลาที่มีภัยมา”

เรื่องเล่านอกห้องเรียน
ชายคนหนึ่งขับรถไปขับรถไปตามทางหลวงเปลี่ยว ระหว่างทางเขาเห็นคนทำสัญญาณขอโดยสารรถไปด้วย
เขารับชายแปลกหน้าขึ้นรถ...
สภาพคนแปลกหน้าโทรมและเหนื่อย เขาบอกขอติดรถไปถึงตัวเมืองข้างหน้า
ขับไปได้พักใหญ่ คนขับเห็นตำรวจโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาจอดรถ ทั้งสองคนก้าวลงมา
ตำรวจทางหลวงกล่าวว่า “คุณทำผิดกฎจราจร ขับรถเร็วเกินกำหนด”
ชายแปลกหน้ายืนดูอยู่เงียบ ๆ ขณะที่ตำรวจทางหลวงเขียนใบสั่งยื่นให้เจ้าของรถ และยัดต้นขั้วใบสั่งปรับใส่กระเป๋าตนเอง
รถแล่นต่อไป ตลอดทางทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน เมื่อถึงจุดหมาย ชายคนขับส่งคนแปลกหน้าลงที่มุมถนนหนึ่ง
คนขับเคลื่อนรถต่อไป พลันหยุดรถกะทันหันเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นสิ่งของที่ผู้โดยสารน่าจะลืมทิ้งไว้ เขาหยิบมันขึ้นมาดู เป็นต้นขั้วสั่งปรับในกระเป๋าของตำรวจนายนั้นนั่นเอง...

เรื่องแรกคือความเป็นเพื่อนในอุดมคติ เป็นขาวกับดำ กล่าวคือ หากไม่เป็นเพื่อนก็เป็นศัตรู และการเป็นเพื่อนคือการไม่ทิ้งเพื่อนในยามยาก
ส่วนในเรื่องหลัง ความเป็นเพื่อนคือ ‘การแลกเปลี่ยน’ ชนิดหนึ่ง
ในโลกของความเป็นจริงที่มีสีออกเทา ดูเหมือนว่า การเป็นเพื่อนจะโน้มหาแบบหลังมากกว่า !..!!

อ่านแล้ว...รู้สึกอย่างไรบ้างไหม? คะ ...

ก้อ!...เล่าให้ฟังเล็ก ๆในบทนำของคุณวินทร์... ส่วนเนื้อหาในเรื่องราวต่าง ๆ สนุกมากกว่านี้ และสามารถเป็นข้อคิด..แรงใจได้ดีในช่วงวิกฤติของชีวิตได้เหมือนกัน ลองหามาอ่านดูนะคะ

อ่านหนังสือ ..อ่านคน
อ่านฝน อ่านฟ้า
แล้วก็กลับมา..
อ่านใจตัวเอง ...^_^...


ทุ่งหญ้า...ข้างที่ทำงาน

ค่ะ....สำหรับวันนี้ ....ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีไปนาน ๆ ...
พบกันใหม่ในโอกาสหน้า...
...สวัสดีค่ะ
(ประเทศไทย : 05.50 น.)

ที่มา : ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน. โดย วินทร์ เลียววาริณ // ปราบดา หยุ่น. พิมพ์ครั้งที่ 3 ธันวาคม 2545.
ภาพ : สีตะวัน