วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ริบบิ้นสีฟ้า

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันได้รับริบบิ้นสีฟ้า จากเพื่อนคนหนึ่งส่งมาให้จากประเทศอังกฤษ นอนคิดอยู่หลายวัน...แล้วดิฉันก็คิดได้ว่า อยากส่งริบบิ้นสีฟ้านี้ให้คุณ คุณ ทั้งหลาย ที่กำลังอ่าน web blog จิต-ใจ-ดี อยู่ในขณะนี้ เรื่องมันยาวสักเล็กน้อย อยากให้อ่านให้จบนะคะ...ขอบคุณค่ะ
......สีตะวัน

ริบบิ้นสีฟ้า

มีความรู้สึกดีๆมาให้

ครูคนหนึ่งที่นิวยอร์ค ตกลงใจจะแสดงความชื่นชมนักเรียนไฮสคูลชั้นปีสุดท้ายที่เธอสอน ด้วยการบอกเขาเหล่านั้นว่าแต่ละคนมีคุณค่าพิเศษต่างจากคนอื่นอย่างไรบ้าง เธอเรียกนักเรียนทุกคนไปหน้าชั้นทีละคนแรกสุดเธอบอกแต่ละคนว่า พวกเขามีคุณค่าเพียงใดทั้งต่อตัวครูและเพื่อนร่วมห้อง จากนั้นเธอก็มอบริบบิ้นสีฟ้าพิมพ์ด้วยตัวหนังสือสีทองเป็นของขวัญให้ข้อความบนริบบิ้นมีว่า 'ฉันเป็นคนมีคุณค่า'จากนั้นครูให้นักเรียนทำงานกลุ่มของชั้นขึ้นมาชิ้นหนึ่งด้วยวัตถุประสงค์เพื่อดูว่าการแสดงความชื่นชมยกย่องผู้อื่นส่งผลอย่างไรต่อคนในชุมชนเธอมอบริบบิ้นแก่นักเรียนคนละสามเส้นให้นักเรียนเผยแพร่การรับรู้และชื่นชมคุณค่าผู้อื่นในวงกว้างออกไปจากนั้นนักเรียนจะต้องติดตามผลและดูว่าใครยกย่องใครบ้างแล้วนำกลับมารายงานในห้องภายในหนึ่งสัปดาห์นักเรียนชายคนหนึ่งเข้าพบผู้บริหารระดับรองที่ทำงานในบริษัทใกล้ๆเพื่อยกย่องที่ชายผู้นี้เคยช่วยเขาวางแผนอาชีพในอนาคตแล้วมอบริบบิ้นติดให้บนเสื้อเชิ้ตจากนั้นก็มอบริบบิ้นอีกสองเส้นที่เหลือพร้อมกับกล่าวว่า...'เรากำลังทำงานกลุ่มของชั้นเรียนเกี่ยวกับเรื่องการแสดงความยกย่องชื่นชมผู้อื่นครับ ผมอยากขอให้คุณช่วยหาใครสักคนที่คุณต้องการยกย่อง'แล้วให้ริบบิ้นเขาส่วนอีกเส้นก็ให้เขาไว้สำหรับมอบให้คนต่อไปเพื่อเผยแพร่การยกย่องชื่นชมนี้ให้กระจายต่อไป แล้วช่วยกลับมาบอกผมด้วยครับว่าผลเป็นยังไงบ้าง'ต่อมาในวันเดียวกันผู้บริหารท่านนี้เข้าพบเจ้านายเขาซึ่งเป็นคนที่ใครๆ ก็รู้กันดีว่าเกรี้ยวกราด อารมณ์ร้ายเขานั่งลงคุยกับเจ้านายบอกเจ้านายว่า 'ลึกๆ เขายกย่องชื่นชมเจ้านายว่าเป็นผู้มีหัวคิดสร้างสรรค์ระดับอัจฉริยะ'ดูเหมือนเจ้านายเขาจะประหลาดใจอย่างยิ่งเขาถามเจ้านายว่า จะยินดีรับริบบิ้นสีฟ้าเป็นของขวัญแสดงความชื่นชมและอนุญาตให้เขาติดริบบิ้นให้ได้หรือไม่

เจ้านายผู้ประหลาดใจตอบว่าได้เขาจึงติดริบบิ้นสีฟ้าเส้นนั้นบนปกเสื้อนอกบริเวณเหนือหัวใจเมื่อเขามอบริบบิ้นเส้นสุดท้ายแก่เจ้านายเขาบอกเจ้านายว่า ช่วยอะไรผมสักอย่างได้ไหมครับผมอยากให้ เจ้านายช่วยส่งต่อริบบิ้นเส้นสุดท้ายนี่ด้วยการยกย่องชื่นชมใครสักคนพ่อหนุ่มที่ให้ริบบิ้นผมมาเป็นคนแรก กำลังทำงานกลุ่มของชั้นอยู่เขาอยากให้ช่วยกระจายการยกย่องชื่นชมนี้ให้เผยแพร่>ในวงกว้างออกไป แล้วดูว่าการทำแบบนี้ส่งผลต่อใครๆ ยังไงบ้าง

ค่ำวันนั้นชายผู้เป็นเจ้านายกลับบ้านไปหาลูกชายวัยรุ่นอายุสิบสี่เขาเรียกลูกชายให้นั่งลงแล้วกล่าวว่า วันนี้เกิดเรื่องเหลือเชื่อที่สุดกับพ่อตอนอยู่ห้องทำงาน ลูกน้องคนหนึ่งเข้ามาบอกว่าเขาชื่นชมพ่อแล้วให้ริบบิ้นเส้นหนึ่งเป็นการยกย่องว่าพ่อเป็นอัจฉริยะเรื่อง ความมีหัวคิดสร้างสรรค์ลองนึกดูเขาคิดว่าพ่อมีหัวคิดสร้างสรรค์เข้าขั้นอัจฉริยะเชียวนะแล้วเขาก็เอาริบบิ้นเส้นนี้ที่เขียนว่าฉันเป็นคนมีคุณค่าติดให้บนปกเสื้อนอกตรงหัวใจนี่แล้วยังให้ริบบิ้นพ่อมาอีกเส้นให้พ่อมองหาใครสักคนที่จะยกย่องชื่นชมต่อระหว่างที่พ่อ ขับรถกลับบ้านก็คิดว่าริบบิ้นเส้นนี้จะให้ใครดีแล้วพ่อก็นึกถึงแก พ่ออยากชื่นชมแกนะ วันๆ พ่อทำงานยุ่งเหยิงมากพอกลับมาบ้านก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจแกสักเท่าไรบางทียังอาละวาดอีก เรื่องแกเรียนได้เกรดไม่ดีเรื่องทำห้องนอนรกแต่ยังไงไม่รู้สิวันนี้พ่อกลับอยากนั่งลงตรงนี้กับแกอยากบอกว่าแกมีค่ากับพ่อมากแค่ไหนนอกจากแม่แกแล้ว ก็มีแกนี่แหละที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตพ่อแกเป็นเด็ก ที่ยอดเยี่ยมเลยแหละ แล้วพ่อก็รักแกนะ...

เด็กหนุ่มผู้ตื่นตะลึงเริ่มสะอื้นแล้วก็สะอื้นเขาไม่อาจหยุดร้องไห้ ร่างสั่นเทาไปทั้งตัวเขาเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อแล้วกล่าวทั้งน้ำตา'พ่อครับ เมื่อตอนเย็นผมอยู่บนห้อง นั่งเขียนจดหมายถึงพ่อกับแม่เพื่ออธิบายว่าทำไมผมถึงฆ่าตัวตาย แล้วก็ขอให้พ่อยกโทษให้ผมผมตั้งใจจะฆ่าตัวตายคืนนี้ตอนพ่อหลับผมคิดว่าพ่อไม่เคยแคร์ผมเลยจดหมายอยู่บนห้องครับแต่ผมคิดว่าผมคงไม่ต้องการมันแล้วล่ะ'พ่อของเด็กหนุ่มเดินขึ้นไปบนห้องพบจดหมายข้อความสะเทือนใจบรรยายถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานจดหมายฉบับนั้นจ่าหน้า ถึงพ่อกับแม่

ชายผู้เป็นเจ้านายกลับไปที่ทำงานอย่างเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเขาเลิกเป็นคนขี้โมโหแต่จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ พนักงานใต้บังคับบัญชารู้ว่าพวกเขามีค่าอย่างไรบ้างส่วนชายผู้เป็นนักบริหารระดับรองก็ช่วยให้คำแนะนำเด็กหนุ่มอื่นๆต่อมาอีกหลายคนเรื่องการวางแผนอาชีพในอนาคตแล้วก็ไม่เคยลืมบอกเด็กเหล่านั้นว่าแต่ละคนมีคุณค่าต่อชีวิตเขาอย่างไรบ้างหนึ่งในนั้นก็คือเด็กหนุ่มลูกชายเจ้านายเขาส่วนเด็กหนุ่มกับเพื่อนร่วมชั้นก็ได้เรียนรู้บทเรียนที่มีค่าเรื่องหนึ่งนั่นคือเราต่างเป็นคนที่มีคุณค่าด้วยกันทั้งนั้น

คุณไม่จำเป็นต้องส่งเมล์ฉบับนี้ต่อให้ใครแม้แต่คนเดียว..อย่าว่าแต่สองคนหรือสองร้อยคนเลยคุณอาจจะลบเมล์ฉบับนี้ทิ้ง แล้วไปเปิดดูเมล์ฉบับต่อไป ! !

แต่ถ้าคุณมีใครสักคนที่มีความหมายกับคุณมากฉันขอสนับสนุนให้คุณส่งข้อความนี้ไปให้เขาหรือเธอผู้นั้น เพื่อให้เขาได้รับรู้ความรู้สึกของคุณ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า การให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆมีคุณค่าแค่ไหนกับคนสักคนส่งเรื่องนี้ไปยังคนทุกคนที่คุณเห็นว่ามีความหมายต่อคุณมีความสำคัญต่อคุณหรืออาจส่งไปให้คนหนึ่ง..สอง..หรือสามคนที่มีความหมายต่อคุณมากที่สุดหรือคุณอาจจะแค่ยิ้มที่ได้รู้ว่ามีใครบางคนคิดว่าคุณเป็นคนสำคัญไม่งั้นคุณก็คงไม่ได้รับเมล์ฉบับนี้แต่แรก.........
จำไว้นะ ฉันให้ริบบิ้นสีฟ้าแก่คุณแล้ว ……….

เสรีนี้หนึ่งเดียว

สวัสดีค่ะ..ท่านผู้อ่าน Web blog จิต-ใจ-ดี ที่รักทุกท่าน
วันนี้ เป็นวัน พักผ่อน สบาย ๆ จึงหา บทกลอนสบาย ๆ มาฝากทุกท่านค่ะ หนังสือเล่มนี้ ...มีเรื่องราวมากมายให้ติดตาม เป็นความงดงามของธรรมชาติ ..วันนี้ขอนำเสนอ 2 บทกลอน เอาไว้ในใจทุกท่านนะคะเชิญติดตามค่ะ




คือดอกหญ้าธรรมดาดอกหนึ่ง
ไร้ซึ่งผู้คนเอาใจใส่
ลมพัดก็ระเนนเอนลู่ไป
แดดจะไล้หรือฉ่ำฝนก็ทนทาน
คืออิสระเสรีของชีวิต
ด้วยมีสิทธิ์หยัดอยู่เพื่อชูก้าน
กับวิถีเรียบง่ายริมสายธาร
ไม่ทะยานอยากเด่นเช่นใครใคร
คือสัจจะสื่อบอกจากดอกหญ้า
ชีวิตใช่ปรารถนาจะเป็นใหญ่
แต่เล็กน้อยง่ายงามมีน้ำใจ
และสุขได้เพียงหยัดอยู่คู่ตะวัน




จะเก็บดอกหญ้ามาฝาก
ก็เกรงคิดมาก เพราะไร้ค่า
คงเผินเมินไปไม่ศรัทธา
เถอะ...มาจะแถลงให้แจ้งใจ
เห็นเพียงดอกหญ้าอย่าเดียดฉันท์
ด้วยค่านั้นสื่อความจริงยิ่งใหญ่
ชี้ว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไร
กอบโกยคว้าไขว่สิ่งใดกัน
แท้ชีวิตนิดน้อยด้อยภาระ
เรียบ ง่าย สมถะ สละ ขยัน
มีมากก็เอื้ออวยช่วยแบ่งปัน
ใช่ติดพันสมบัติบ้าผูกขาตรึง
จึงเก็บดอกหญ้ามาฝาก
ซึ่งค่ามากกว่าฤทธิ์ความคิดถึง
แม้เข้าใจเพียงน้อยคงพลอยซึ้ง
แอบทึ่งคุณค่าหญ้าริมทาง


ที่มา : เรื่อง ....เสรีนี้หนึ่งเดียว โดย อิสรา สำนักพิมพ์ ฟ้าอภัย. 2535.
ภาพ ... canon digital IXUS 60 ...สีตะวัน
นำเสนอโดย : สีตะวัน

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

มหัศจรรย์แห่งความคุ้นเคย

ความเจ็บป่วยเป็นของคู่โลก
ไม่มีใครสักคนจะรอดพ้นความเจ็บป่วยไปได้

มนุษย์ได้ใช้ความเฉลียวฉลาด ค้นคว้ายาใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิมอยู่ตลอดเวลา
เรามีการพัฒนาทางการแพทย์มาแต่ครั้งโบราณกาล

เป็นเรื่องที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
นับเป็นโชคดีของเราที่มียาและวิธีการรักษาที่ให้ผลดีกว่าเดิม

แต่โชคไม่ดีสำหรับคนบางคน
แม้ยาและการรักษาสมัยใหม่ที่มีอยู่ก็ยังหายได้ยาก

ดังนั้นยาชนิดเดียวที่จะช่วยให้พวกเขาดีขึ้นได้
คือ "ยาใจ"

ยาใจเป็นยาพิเศษ ไม่จ่ายเป็นเม็ด
แต่จ่ายเป็นน้ำ คือน้ำใจ ให้รสฉ่ำเย็น ชุ่มชื่น
ช่วยคลายพิษจากโรคร้ายได้ฉับพลัน

สังเกตดูเวลาป่วย สิ่งที่เราต้องการมากพอๆกับยาคือความเอาใจใส่
จากคนที่เราคุ้นเคยดี ซึ่งหนีไม่พ้นคนในครอบครัว

สามีป่วย ต้องการภรรยาดูแล
ภรรยาป่วย ต้องการสามีเอาใจใส่
ลูกเจ็บไข้ ต้องการพ่อแม่คอยประคบประหงม

นี่คือสิ่งสำคัญมาก แต่บางคนไม่เข้าใจ
คิดแต่จะหาเงินมาซื้อยาให้
หรือพาไปนอนโรงพยาบาล แล้วปล่อยให้ผู้ป่วยนอนอ้างว้างไปวันๆ

การต้องอยู่ลำพังในภาวะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
พลอยทำให้จิตใจอ่อนแอไปด้วย
แล้วพากันฉุดให้ทุกอย่างเลวร้าย

มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่ยอมหายจากโรคสักที เพราะขาดคนใกล้ชิดเอาใจใส่

โลกนี้เติมไปด้วยผุ้ป่วยที่กำลังร้องขอ
  • ความรัก...
  • ความเห็นใจจากคนรอบข้าง


เราจะเห็นเด็กๆที่อยากให้พ่อแม่อยู่เฝ้าเขาทั้งวันทั้งคืน
เด็กที่ขออยู่กับตุ๊กตากับของเล่น หรือกับสัตว์เลี้ยงที่พวกเขาคุ้นเคย

เราคงเคยได้ยินผู้ป่วยสูงวัยที่บ่นเบื่อโรงพยาบาล
พวกเขาร้องขอลูกหลานให้พากลับบ้าน ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เขาคุ้นเคย
และสบายใจ นั่นหมายถึง ผุ้ป่วยได้ชั่งน้ำหนักแล้วว่า..

ระหว่างนอนอยู่ในโรงพยาบาลซึ่งแวดล้อมด้วยบุคลากรทางการแพทย์
กับการนอนอยู่บ้านตัวเองซึ่งเสี่ยง

ผู้ป่วยก็เลือกที่จะอยู่บ้านอันคุ้นเคยและสบายใจกว่า
ความคุ้นเคย สำคัญกับผู้ป่วยมากขนาดนั้นเชียวหรือ???


"ของบริโภคจะดีหรือไม่ดีก็ตาม
จะน้อยหรือมากก็ตาม
บุคคลผู้คุ้นเคยกันแล้ว...บริโภคในที่ใด การบริโภคในที่นั้น
แหล่ะดี เพราะรสทั้งหลายมีความคุ้นเคยเป็นเยี่ยม"

หลายๆคนคงเคยได้ยินมาบ้างใช่ไหมคะ ^^

ตรงนี้ตีความได้ว่ารสจะดีที่สุด
เมื่อประกอบด้วยความคุ้นเคย ดังนั้นแม้อาหารที่ว่าอร่อยมาก
แม้จัดให้โดยคนผู้ไม่คุ้นเคย ต่อให้นั่งกินในวัง..
ก็ยังอร่อยสู้อาหารธรรมดาๆที่คนคุ้นเคยกันจัดให้ไม่ได้

รสแห่งความคุ้นเคย คือยาวิเศษ
ที่สามารถรักษาบุคคลอันเป็นที่รักของเราได้อย่างไม่ต้องสงสัย

อาหารธรรมดาที่เราคอยป้อนให้ย่อมเลิศรสกว่าอาหาร
ที่จ้างพี่เลี้ยงหรือพยาบาลมาคอยป้อน
(เว้นแต่สามีมีแฟนเป็นพยาบาลนะคะ อันนี้มีข้อยกเว้นอ่ะ 55)

อาหารธรรมดาที่เราเคยทำกินกันที่บ้าน
ย่อมเลิศรสกว่าอาหารของโรงพยาบาล

การอยู่ในที่คุ้นเคย...กับคนคุ้นเคย
พร้อมอาหารเคยลิ้น ย่อมทำให้จิตใจสงบ สบาย โรคร้ายทุเลา

จริงหรือไม่...นาไม่ขอตอบ
แต่อย่างน้อยหวังว่าจะเป็นข้อคิดดีๆเพียงนิดเตือนใจ
ยามที่คนในครอบครัว คนใกล้ชิด เพื่อนสนิมมิตรสหาย
ของเราเจ็บป่วยได้บ้าง

หวังว่าท่านจะพบ..
"ความมหัศจรรย์แห่งความคุ้นเคย" กันนะคะ

ยาใจคนจน.mp3 -



ปล. เพลงนี้ไม่มีส่วนได้ใดๆ
แต่ขออนุญาตฉลองเอาฤกษ์เอาชัย..ว่าหนูทำได้ เย้ๆ อิอิ:D
ฉลองกับโพสต์แรก...ค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

"ปุ๋ย"ภรณ์ทิพย์ นางงามใจบุญมอบ 30 ล้านช่วยเด็กใต้


" ปุ๋ย" ภรณ์ทิพย์ ไซมอน (นาคหิรัญกนก) อดีตนางงามจักรวาล ขวัญใจคนไทย บินโดยเครื่องบินส่วนตัวเดินทางจากสหรัฐอเมริกา มาเปิดตัวโครงการมอบทุนการศึกษามากถึง 60 ทุน มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท เพื่อผลิตครูในบ้านเกิด ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ Angel′s Wing Foundation International

ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ กล่าวว่า หวังให้นักเรียนนักศึกษาภาคใต้ได้ศึกษาต่อจนก้าวเป็นคุณครูที่เข้าใจสภาพ ปัญหาและสืบสานวัฒนธรรมในพื้นที่บ้านเกิดของตัวเอง โดยจะเริ่มโครงการนำร่องที่ จ.ภูเก็ต เป็นจังหวัดแรก

โดยนักเรียนที่มีเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00 มีความใฝ่ฝันอยากเป็นแม่พิมพ์ของชาติและมีจิตสำนึกในวัฒนธรรมท้องถิ่น แสดงความจำนงค์ยื่นประวัติขอรับทุนได้ที่มูลนิธิ Angel′s Wing ติดต่อ เบอร์ 081-564-8623 และเทศบาลเมืองภูเก็ต


"ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์" เกิดเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2511 ที่ จ.ฉะเชิงเทรา เป็นอดีตนางงามจักรวาลชาวไทยคนที่ 2 และยังดำรงตำแหน่ง "ผู้แทนสหประชาชาติ" สำหรับโครงการช่วยเหลือเด็กและสตรีในระดับนานาชาติ และเป็นประธานตั้งมูลนิธิช่วยเหลือเด็กอีกหลายแห่ง นอกเหนือจากการเป็นนางแบบ นักร้อง นักแสดงกิตติมศักดิ์ และนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ



ที่มา

รูปประกอบจาก ThaiTownUSA

ข้อมูลจาก มติชน 27 สิงหาคม 08


บันทึกของหลานสาว : เจ๋เจ้ I,II,III

Jeje I
Jan 23, 2008 8:43 PM

แจ๊ค : นี่อาราย (ชี้ไปที่ขวดเบียร์ช้าง)
เจ๋เจ้ : เหล้า เด็กกินไม่ได้
แจ๊ค : นี่ละอาราย (เบียร์สิงห์)
เจ๋เจ้ : เหล้า เด็กกินไม่ได้ ปะป๊าบอก
แจ๊ค : ดีมาก แล้วนี่ละ (เบียร์ไฮเนเก้นท์)
เจ๋เจ้ : น้ำหวาน อันนี้กินได้
แจ๊ค : 555 (เอา 2 ขวดเลย)


======

Jeje II
Jan 23, 2008 8:47 PM


เจ๋เจ้ : แจ๊ครู้จัก @$%@#@!# มั้ย (พูดไร ฟังไม่รู้เรื่อง)
แจ๊ค : อะไรนะ? พูดอีกทีสิ
เจ๋เจ้ : ก็ @f#$@%^ ไง
แจ๊ค : ไม่รู้เรื่อง(อยู่ดี)
เจ๋เจ้ : เฮ้อ ไม่ไปโรงเรียนก็งี้แหละ
แจ๊ค : T T


=====


Jeje III
Jan 23, 2008 8:58 PM


แจ๊ค : เจ๋เจ้รู้ปะ แกะร้องยังไง
เจ๋เจ้ : รู้ แบะะะะ แบะะะะ
แจ๊ค : เก่งมากกก
เจ๋เจ้ : แบะะะะ แบะะะะ แบะะะะ
แจ๊ค : พอแล้ว เจ้
เจ๋เจ้ : แบะะะะ แบะะะะ แบะะะะ
แจ๊ค : พอแล้วเจ้ ร้องมากเดี๋ยวเจ็บคอนะ
เจ๋เจ้ : อ้าว แล้วแกะเค้าไม่เจ็บคอเหรอ
แจ๊ค : ?!!



By Jk

พระพยอมแนะทุกฝ่ายสามัคคีเตือนรบ.สำรวม



พระ พยอมเตือนสติประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุม ที่กำลังรุนแรงบานปลาย ให้ยึดความสามัคคีอย่าแบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย พร้อมแนะรัฐบาลควรอยู่ในท่าที่สำรวม อย่าใช้ความรุนแรงในการสลายกลุ่มม็อบ เพราะสุดท้ายผลเสียจะตกกับบ้านเมือง

เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 27 ส.ค.พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กล่าวที่ศูนย์ร่มโพธิ์แก้ว บ.วังปลัด ต.บ้านแพ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ว่า ขอให้ทุกฝ่ายยึดหลักความสามัคคี อย่าใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา หรือมุ่งเอาชนะแต่เพียงอย่างเดียว ให้นึกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติบ้านเมือง และระบบเศรษฐกิจ

เพราะผลสรุปจะไม่มีใครได้ประโยชน์ มีแต่จะเกิดความสูญเสียกันทุกฝ่าย จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นเวรกรรมของประเทศที่เสียโอกาสจะได้ รับการพัฒนา ให้ประเทศเพื่อนบ้านที่ด้อยพัฒนาฉวยโอกาสพัฒนารุดหน้าไปกว่าประเทศไทย ที่มีความแต่ขัดแย้งยืดเยื้อไม่มีวันจบสิ้น จนทำให้ขาดความเชื่อมั่น จึงขอทุกฝ่ายได้ใช้วิจารณญาณว่าสิ่งที่กระทำอยู่ในขณะนี้ถูกต้อง มีประโยชน์ต่อตนเองหรือประเทศชาติหรือไม่

พระพยอม ยังได้ร้องขอฝ่ายรัฐบาล อย่าใช้กำลังตอบโต้สลายกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายบานปลายออกไปไม่มีวันจบสิ้น เพราะทุกฝ่ายมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ขอให้ใช้ดุลยพินิจในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้ประเทศชาติบ้านเมืองพ้นวิกฤติเกิดความสงบสุขโดยเร็ว

ที่มา คมชัดลึก 28 สิงหาคม 08

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การเมืองทำเครียด แนะพักรับข่าวสาร

ห่วงคนไทยเครียดแนะพักรับข่าวสาร [27 ส.ค. 51 - 04:37]

นพ. ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ว่า เชื่อว่าประชาชนจะเกิดความเครียด และความวิตกกังวลแน่นอน คนที่ส่งบุตรหลานไปเรียนหนังสือก็จะวิตกกังวลว่าบุตรหลานของตัวเองจะไป โรงเรียนได้หรือไม่ ซึ่งตนอยากวิงวอนในส่วนของผู้ที่เกี่ยวข้องในการชุมนุมครั้งนี้ว่าทำอะไร อยากให้คิดถึงคนส่วนใหญ่ของกรุงเทพฯด้วย ซึ่งมีคนกรุงเทพฯอีกหลายล้านคนที่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมครั้งนี้ แต่กลับต้องมาได้รับผลกระทบ กิจการงานทุกอย่างต้องมาหยุดชะงัก ซึ่งก็ไม่ทราบว่ากลุ่มผู้ชุมนุมต้องการให้เกิดอะไรหรือไม่ แต่เชื่อว่าคงจะมีเหตุผล และตนเชื่อว่าหากไปถามประชาชนในกรุงเทพฯว่าสบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครั้งนี้หรือไม่ คนส่วนใหญ่จะรู้สึกอึดอัด และสงสัยว่าทำไมไม่พูดตกลงกันให้รู้เรื่อง อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากแนะนำให้ลองมองในมุมกลับ พลิกวิกฤติเป็นโอกาส มองเป็นการพัฒนาการของประชาธิปไตย และเรียนรู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนเป็นการสอนจากของจริง เพราะเหตุการณ์ในลักษณะนี้ล้วนเคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ถ้าหากเกิดการเครียดจากการดูข่าวการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ควรพักหยุดรับข่าวสารบ้าง


ที่มา ไทยรัฐ

น้ำร้อน หรือ น้ำเย็น ที่จะกลายเป็นน้ำแข็งก่อน

เอาแก้วมาสองใบ ใบหนึ่งใส่น้ำร้อน ใบหนึ่งใส่น้ำเย็น แล้วเอามันทั้งคู่ใส่ช่องแช่แข็ง (ช่องฟรีส) น้ำในแก้วไหนจะกลายเป็นน้ำแข็งก่อน ?




ในปี 1963 เด็กนักเรียนมัธยมธรรมดาคนหนึ่ง ชาวแทนซาเนีย (Tanzania) นามอีราสโต้ บี เปมบ้า (Erasto B. Mpemba) กำลังง่วนอยู่กับวิชาทำอาหาร ระหว่างที่กำลังทำไอศกรีมให้แข็งตัวอยู่นั้น เขาก็สังเกตพบว่า ส่วนผสมที่ทำไอศกรีมที่กำลังร้อนอยู่นั้นเมื่อเอาไปเข้าช่องแช่แข็งมันกลาย เป็นไอศกรีมเร็วกว่าส่วนผสมไอศกรีมที่เย็นแล้ว



แม้จะเป็นการสังเกตเล็ก ๆ และดูขัดกับความรู้สึก แต่เด็กชายอีราสโต้ ก็กล้าที่จะถามครู ว่า


"ทำไมน้ำร้อนกลายเป็นน้ำแข็งเร็วกว่าน้ำเย็น เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?"


ด้วยว่ามันเป็นเหตุการณ์ขัดกับสามัญสำนึก คุณครูจึงตอบคำถามของอีราสโต้เชิงเย้ยหยันว่า



"สิ่งที่เธอพบนั้นมันไม่ใช่ปรากฎการณ์ธรรมชาติ ที่แท้จริงหรอก มันเป็นแค่เหตุการณ์บังเอิญของเธอเท่านั้น"



โชคยังดี ที่อีราสโต้ ไม่ลดละความพยายามที่จะหาความจริง


เขาเข้าไปพบ ศาสตราจารย์ทาง ฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย และเริ่มทำการทดลองวิทยาศาสตร์ขึ้น



แก้วสองใบ บรรจุน้ำในปริมาตรเท่ากัน ใบหนึ่งมีน้ำเย็นอุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส อีกใบหนึ่งมีน้ำร้อนอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เอาแก้วทั้งสองเข้าไปในช่องแช่แข็ง



และผลการทดลองก็ยืนยันตามที่อีราสโต้ค้นพบ


น้ำที่ก่อนเคยอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เริ่มเป็นน้ำแข็งก่อน !!!!



ในปี 1969 อีราสโต้ ได้เผยแพร่ผลการทดลองนี้ และปรากฎการณ์ธรรมชาติที่ขัดความรู้สึกนี้ ก็ถูกเรียกขานตามชื่อของเขา


" Mpemba Effect "





เรื่องนี้ ทำให้ผมรู้ว่า



  • อย่าเย้ยหยัน ความคิดของเด็ก ๆ

  • ความช่างสังเกต ทำให้เราค้นพบสิ่งต่าง ๆ

  • จงกล้าที่จะถามว่า ทำไม กับเรื่องพื้นฐาน เพราะมันทำให้เราค้นหา ความจริงแท้ของมัน

  • เมื่อมีปัญหาค้างใจ จงวิ่งหาคำตอบให้ถึงที่สุด

  • ที่ แทนซาเนีย เขาสอนเด็กทำไอติม ด้วย



ประเทศแทนซาเนีย (จาก wikipedia)


แล้วคุณหล่ะ คิดว่าอย่างไร ?



* ข้อมูลเรื่อง Mpemba Effect และประเทศแทนซาเนีย จาก wikipedia.org
* ภาพถ่ายสองรูปแรก ถ่ายเล่นเอง นานแล้ว เพิ่งจะหาวิธีใช้มันได้

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แนะนำหนังสือดี...ที่น่าอ่าน (ซ้ำ)

ปัจจุบันการศึกษาไทย มีนโยบายมุ่งเน้น ให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง...
และ การเลี้ยงดูบุตร – หลาน ก็เน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลาง ...เช่นกัน

หนังสือเล่มนี้ ดิฉันได้อ่านเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่เป็นหนังสือที่อยู่ในใจตลอด ถ้ามีโอกาส ก็จะแนะนำให้ผู้อื่นได้อ่านบ้าง คิดว่าน่าจะมีการพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้ง เล่มที่ ดิฉันมี พิมพ์เมื่อปี 2529 จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์กะรัต และพิมพ์ที่ อักษรสัมพันธ์การพิมพ์ กรุงเทพฯ

แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว แต่เห็นว่า ยังทันสมัย และเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ และเด็กในยุคปัจจุบัน ควรได้อ่านบ้าง หรือนักการศึกษาทั้งหลาย ที่จัดระบบการศึกษา จะเห็นรูปแบบการจัดระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบาย ... ดังกล่าว

“โต๊ะ โตะ จัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” คือ หนังสือเล่มที่กล่าวถึง หนังสือเล่มนี้ เป็นตัวอย่างที่ดี ของการ เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง เป็นเรื่องราวของผู้ใหญ่ ที่มีความเข้าใจเด็ก ทั้งคุณแม่และคุณครูใหญ่ผู้ใจดี บันทึกจากผู้แปล คือ คุณผุสดี นาวาวิจิต บอกเหตุผลที่แปลหนังสือเล่มนี้ ไว้ว่า “สิ่งหนึ่งก็คือ เป็นหนังสือที่ให้ความรู้สึกร่วมกันระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ การสร้างคนให้มีคุณภาพ มีความนึกคิด และเป็นคนดี สามารถทำได้ไม่ยากนัก หากพยายาม”

“โต๊ะ โตะ จัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” ฟังชื่อ ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นหนังสือญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับผู้เขียน คือ คุณคุโรยานางิ เท็ตสึโกะ ในสมัยเป็นนักเรียนอยู่ที่โรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง เป็นความประทับใจที่ไม่เคยลืม สารจากผู้เขียน ตอนหนึ่งเล่าว่า... “เมื่อเขียนจบใหม่ ๆ ดิฉันเพียงแต่คิดว่า อยากให้ครูและแม่ที่มีอายุน้อยได้อ่าน และรับรู้ว่าเคยมีนักการศึกษาที่รักเด็ก เชื่อมั่นในตัวเด็ก และมีไฟ อย่างคุณครูโคบายาชิ อยู่ในโลกนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็นึกไปว่า คงมีครูบางคนไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน สำหรับสังคมที่ต้องแก่งแย่งกันอย่างทุกวันนี้...

ครูโรงเรียนประถมศึกษาหลายแห่ง เขียนจดหมายมาบอกว่า ‘อ่านให้เด็กฟังทุกวัน ระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน’ ครูสอนวาดเขียนบอกว่า ‘อ่านบางตอนให้เด็กเกิดจินตนาการ และวาดออกมาเป็นภาพ’ ครูชั้นมัธยมต้นคนหนึ่งเขียนมาว่า ‘อยากหางานอื่นทำ เพราะผิดหวังในระบบการศึกษาปัจจุบัน จะลองตั้งต้นใหม่อย่างคุณครูโคบายาชิ’

จดหมายเหล่านี้ ทำให้ดิฉันตื้นตันใจที่รู้ว่า มีครูคนอื่นที่เข้าใจคุณครูโคบายาชิ และเรื่องนี้ถูกนำไปประกอบการเรียนการสอนอย่างจริงจังตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว โดยตอน ‘คุณครูชาวนา’ เป็นส่วนหนึ่งในตำราภาษาญี่ปุ่น ชั้นประถมปีที่ 3 และตอน ‘โรงเรียนซอมซ่อ’ เป็นส่วนหนึ่งของวิชาศีลธรรมชั้นประถมปีที่ 4

จดหมายที่น่าเศร้าก็มีเหมือนกัน เช่น จากเด็กหญิงของสถานพินิจเด็กและเยาวชน เขียนมาว่า ‘ถ้าหนูมีแม่เหมือนแม่ของโต๊ะ โตะ จัง และมีครูอย่างครูโคบายาชิ หนูคงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่’

.........ยกตัวอย่างเพียงเท่านี้ อยากอ่านขึ้นมาบ้างแล้ว ใช่ไหมคะ
“โต๊ะ โตะ จัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” ไม่ใช่เรื่องจากจินตนาการ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และเป็นไปได้ ...ลองหามาอ่านดูนะคะ แล้วท่านจะรู้สึกเหมือนดิฉัน

สิ่งที่ดิฉันได้จากหนังสือเล่มนี้
1. มีความสุข อ่านกี่ครั้งก็รู้สึกอิ่มใจ และมีรอยยิ้มเสมอ
2. รับฟังเด็กพูดมากขึ้น และเข้าใจในพฤติกรรมของเด็ก
3. ได้แง่คิดที่ดี นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งชีวิตส่วนตัว และการทำงาน


มีอะไรบ้าง ... เล่าหมด เดี๋ยวไม่สนุก...
ถ้าหาอ่านไม่ได้จริง ๆ ดิฉันยินดีให้ยืมอ่านค่ะ ...ติดต่อผ่าน e-mail ในบล็อกนี้ได้นะคะ
หรือ สำนักพิมพ์ใด สนใจ ลองหามาอ่าน แล้วขอลิขสิทธิ์ จัดพิมพ์ใหม่ อีกครั้ง น่าจะเป็นการดี
วันนี้ขอแนะนำเล่มเดียวก่อน...พบกันใหม่คราวหน้า...สวัสดีค่ะ



....สีตะวัน




“โต๊ะ โตะ จัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง”
เขียนโดย คุโรยานางิ เท็ตสึโกะ
แปลโดยได้รับลิขสิทธิ์ ผุสดี นาวาวิจิต









ที่มา : canon digital IXUS 60...สีตะวัน


มอบรางวัลแท็กซี่เก็บเงินคืนทัวริสต์

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้มีการจัดพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่นายจักรินทร์ แช่มเดช อายุ 52 ปี คนขับแท็กซี่ พลเมืองดี ซึ่งเก็บกระเป๋าเงินจำนวน 300,000 บาท ส่งคืนให้แก่ นายฮาฮิม อีสซา นักท่องเที่ยวชาวโอมานเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าว โดยมีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รมว. วัฒนธรรมเป็นประธานในพิธี ซึ่งนายสมศักดิ์ กล่าวว่า วธ.ขอแสดงความชื่นชมการกระทำความ ดีของแท็กซี่น้ำใจงามซึ่งเป็นคนดีของสังคมเพราะ ที่ผ่านมา วธ. ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมคุณธรรมและจริยธรรม และสร้างจิตสำนึกให้ ประชาชนประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่สังคม แต่ทุกวันนี้สังคมไทยมีสภาพที่เสื่อมโทรม และคนดีก็หายากขึ้นทุกวัน ดังนั้น วธ. จึงอยากยกย่องให้นายจักรินทร์เป็นพลเมืองดี ที่กระทำตนเป็นต้นแบบความซื่อสัตย์สุจริตให้แก่เยาวชนและประชาชน รวมทั้งสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ กับประเทศไทย โดยทางกระทรวงได้มอบเงินจำนวน 10,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ในการเป็นคนดี คิดดี และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่สังคมต่อไป

ด้านนายจักรินทร์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่สามารถนำทรัพย์สินส่งคืนสู่เจ้าของได้ และเห็นว่าการที่นักท่องเที่ยวมาเที่ยวบ้านเรา และลืมสิ่งของไว้บนรถแท็กซี่ คนขับรถแท็กซี่ก็ควรจะมีน้ำใจนำไปส่งคืนเจ้าของ และที่สำคัญไม่ควรอยาก ได้เงินของผู้อื่น.

ที่มา เดลินิวส์

รปภ.คนซื่อเก็บกระเป๋าส่งคืนทัวริสต์


เมื่อ เวลา 11.20 น. วันที่ 22 ส.ค. นายสมชาย กล้าหาญ อายุ 34 ปี รปภ. หมู่บ้านรีเจ้นท์ปาร์ค ซอยนาเกลือ 14 หมู่ 5 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี นำกระเป๋าสะพายสีดำ ที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติลืมทิ้งไว้ บริเวณริมชายหาดพัทยา มอบให้ ด.ต.จำลอง ประดิษฐ์จา หน.ตู้จราจรตลาดลานโพธิ์นาเกลือ สภ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อติดต่อเจ้าของมารับคืน โดยนายสมชายเปิดเผยว่า หลังเลิกงานเมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. พาครอบครัวไปเที่ยวเล่นริมชายหาด หลังโรงแรมลองค์บีช แอนด์ สปา พบครอบครัวนักท่องเที่ยวต่างชาติ มาเล่นน้ำทะเลอยู่ใกล้ ๆ กัน สักพักใหญ่ ๆ ก็พากันกลับไป โดยลืมกระเป๋าไว้ ตนนั่งรอเจ้าของกลับมาเอาคืนอยู่นาน แต่ไม่มาสักที จึงนำมาให้ตำรวจ

หลังจาก ด.ต.จำลอง ตรวจดูในกระเป๋า พบมีเงินสด 3 แสนรูเปีย หรือราว 2 แสนบาทเศษ โทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย 1 เครื่อง กล้องส่องทางไกล 1 ตัว และบัตรประจำตัว ระบุชื่อ นายอามีน จูลีซาร์มานส์ยาห์ อายุ 51 ปี ชาวอินโดนีเซีย มีบัตรเข้าพักที่โรงแรมไอบีชโฮเต็ล ย่านพัทยาเหนือ จึงประสานไปทางโรงแรม เพื่อแจ้งมารับทรัพย์สินคืน ต่อมานายอามีนพร้อมครอบครัว เดินทางมารับกระเป๋า และทรัพย์สินคืนด้วยสีหน้าดีใจ พร้อมกล่าวขอบคุณและมอบเงินจำนวนหนึ่งเป็นค่าตอบแทนความซื่อสัตย์ และมีน้ำใจให้กับ รปภ.คนซื่อ.

ที่มา เดลินิวส์

นายกฯชื่นชม 4 ฮีโร่โอลิมปิกไทยพร้อมปลอบใจผู้แพ้ [24 ส.ค. 51 - 09:51]

วันนี้ (24 ส.ค.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในรายการสนทนาประสาสมัคร ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เอ็นบีที ชื่นชมทัพนักกีฬาไทยที่สามารถคว้าเหรียญรางวัล จากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปักกิ่งเกมส์ 2008 ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน

โดย ชื่นชมนักกีฬาทุกคนที่ตั้งใจ มุ่งมั่นจนประสบความสำเร็จ ทั้ง "น้องเก๋" น.ส.ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล ที่ได้เหรียญทองจากกีฬายกน้ำหนัก "น้องสองยก 4" น.ส.บุตรี เผือดผ่อง ที่ได้เหรียญเงินจากกีฬาเทควันโด สมจิตร จงจอหอ เหรียญทองจากมวยสากลสมัครเล่น รุ่น 51 กิโลกรัม และมนัส บุญจำนงค์ เหรียญเงิน มวยสากลสมัครเล่น รุ่น 64 กิโลกรัม

นายก รัฐมนตรี ยังกล่าวปลอบใจนักกีฬาที่ไม่สามารถคว้าเหรียญรางวัลมาได้ แต่เชื่อว่าทุกคนต่างทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ และนำชื่อเสียงกลับมาให้กับประเทศชาติ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังเปิดเผยว่า รัฐบาลจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะนักกีฬาและผู้ที่เกี่ยวข้อง และจะมีของที่ระลึกมอบให้ด้วย

ที่มา ไทยรัฐ

เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกคอมพิวเตอร์พร้อมนำความรู้พัฒนาประเทศ


ที่มา หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์

เด็กไทยสร้างชื่อคว้า 4 เหรียญจากการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิก ที่ประเทศอียิปต์เดินทางถึงประเทศไทยแล้ว เจ้าของเหรียญทองทั้งสองรายเผยไม่มีความกดดัน และทำได้ดีตามเป้าหมายที่วางไว้ และจะนำความรู้ด้านคอมพิวเตอร์พัฒนาประเทศ

คณะนักเรียนไทยที่ ไปแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกวิชาการระหว่างประเทศ วันที่ 16-23 สิงหาคม 2551 ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมแข่งขันประมาณ 300 คน จากจำนวน 77 ประเทศ เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ประกอบด้วย นายภานุพงศ์ ภาสุภัทร โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่คว้าเหรียญทอง และสามารถทำคะแนนได้เป็นอันดับที่ 2 ของโลก ส่วนเหรียญทองอีก 1 เหรียญ เป็นของนายธนะ วัฒนวารุณ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ขณะที่นายอาภาพงศ์ จันทร์ทอง โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ได้เหรียญเงิน และนายวิสิฐ ภัทรนุธาพร โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ได้เหรียญทองแดง
นายภานุพงศ์ ภาสุภัทร หรือ ไอซ์ เจ้าของเหรียญทองอันดับที่ 2 ของโลก กล่าวว่า เคยได้รางวัล 1 เหรียญทองจากการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศปี 2550 และ 2 เหรียญเงินจากการแข่งขันเดียวกันในปี 2548 และ 2549 โดยใน อนาคตต้องการนำความรู้ทางคณิตศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับคอมพิวเตอร์เพื่อพัฒนา ผลิตภัณฑ์หรือสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และมีคำแนะนำสำหรับเพื่อนนักเรียนที่ต้องการเก่งด้านนี้ หากมีความรู้พื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์แล้วให้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม จากห้องสมุด อาจารย์ หรือสถาบันที่สนับสนุน จนเกิดความชำนาญ


นายธนะ วัฒนวารุณ หรือแบงก์ กล่าวว่า วันนี้รู้สึกดีใจมากที่ได้เหรียญทอง ตนเคยได้เหรียญเงินจากการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระหว่างประเทศปี 2550 ทำให้ปีนี้มีความมั่นใจในการแข่งขัน ไม่มีความกดดันใดๆ ข้อผิดพลาดเกิดขึ้นน้อย ตั้งใจทำโจทย์ให้ดีที่สุด และผลก็เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้

ส่วนนายสากิจ วัฒนวารุณ พ่อน้องแบงก์ กล่าวว่าภูมิใจในตัวลูกที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ การเลี้ยงลูกจะเน้นความรับผิดชอบ ตั้งใจในสิ่งที่กำลังทำ ทั้งเรื่องการเรียนหรือเรื่องอื่นๆ แต่ก็ปล่อยให้มีความคิดอิสระ และให้กำลังใจมาโดยตลอด เมื่อเขาประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ก็ดีใจ

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เปิดตัวรถพันธุ์ใหม่56กม./ลิตร สุดประหยัดพลังงานไฮโดรเจน

จากหนุ่มผู้ถูกเรียกขานนามว่า "พ่อมด" ในหมู่เพื่อน สานฝันตัวเองต่อเนื่อง ยกระดับสู่ "พ่อมดแห่งนาซา" วันนี้ สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา ก้าวพ้นความฝันเฟื่องสู่นวัตกรรมครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต ด้วยสิ่งประดิษฐ์ รถยนต์พลังไฮโดรเจน ประหยัดพลังงาน 56 กิโลเมตรต่อลิตร

สุ มิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา จากช่างเทคนิคลูกทัพฟ้าสู่พ่อมดแห่งนาซา นักประดิษฐ์ผู้ไม่ยอมแพ้ ทุ่มเทแรงกายแรงใจ พัฒนาอุปกรณ์แยกไฮโดรเจนจากน้ำที่สามารถไปติดตั้งไว้ในรถยนต์ได้เลย ทำให้รถยนต์สามารถใช้พลังน้ำแทนน้ำมันในการขับเคลื่อนได้สำเร็จ

เมื่อเช้าวันที่ 21 สิงหาคม มีการแถลงข่าวถึงความสำเร็จอันน่ายินดีนี้ ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 2 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี โดยมี ผศ.ดร.จรูญ ถาวรจักร อธิการบดี พร้อมด้วย ผศ.วิเชียร จันทะโชติ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล นายสุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้พัฒนาอุปกรณ์แยกไฮโดรเจนจากน้ำ "รีแอคเตอร์ 1" และนายสมชาย ไตรสุริยะธรรมา ผู้ร่วมพัฒนาอุปกรณ์ พร้อมกับนำรถยนต์ที่ติดตั้ง "รีแอคเตอร์ 1" ซึ่งเป็นกล่องโลหะสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง 12 นิ้ว สูงประมาณ 10 นิ้ว อยู่ด้านท้ายของรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค ขนาด 1,800 ซีซี มาให้ทดลองขับ



ระยะ ทาง 100 เมตร ที่มีผู้ทดลองขับสลับเปลี่ยนกันไปหลายคน ต่างบอกว่า "ไม่แตกต่าง" กับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันแต่อย่างใด ทั้งอัตราเร่งและความเร็ว...

"สุมิตร" เล่าถึงที่มาของแนวคิดในการพัฒนาอุปกรณ์เพื่อนำเอาพลังงานน้ำมาใช้ว่า ตั้งใจทำให้คนไทยและโลกรู้ว่าน้ำเป็นพลังงานทดแทนได้ เพราะน้ำมีพลังงานมหาศาล แต่ยังไม่มีใครนำพลังงานของน้ำมาใช้อย่างเต็มที่ ในอดีตที่ผ่านมามีการนำพลังงานจากน้ำมาแปรรูปเพื่อใช้ประโยชน์ เช่น การพัฒนาเรือเหาะ เอดินเบิร์ก แต่ก็เกิดความล้มเหลว จากนั้นความพยายามดังกล่าวก็หายไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทาย ทำให้ตลอด 30 ปีของการทำงาน พยายามคิดค้นว่าจะเอาพลังงานที่จะเป็นพลังงานตลอดกาลมาใช้ได้อย่างไร

ส่วนเทคโนโลยีพลังงานไฮโดรเจน อาศัยหลักการแยกน้ำด้วยไฟฟ้า ทำให้ได้ก๊าซไฮโดรเจน 2 อะตอม และ ออกซิเจน 1 อะตอม โดยใช้อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นเรียกว่า "รีแอคเตอร์" เป็นตัวแยก เมื่อนำไปติดตั้งกับรถยนต์จะใช้ไฟฟ้ากระแสตรงจากแบตเตอรี่รถ 12 โวลต์ เข้ามาทำการแยกโดยขั้วบวกจะมีปฏิกิริยาของออกซิเจน ขั้วลบจะเป็นปฏิกิริยาของไฮโดรเจนในการแยกโมเลกุลน้ำ และได้ไฮโดรเจนซึ่งเป็นเชื้อเพลิง แล้วส่งเข้าไปสันดาปในเครื่องยนต์



จุด เด่นของ "รีแอคเตอร์" คือ ปฏิกิริยาการแยกน้ำจะเกิดขึ้นทีละน้อย ตามความต้องการของเครื่องยนต์ โดยไม่ต้องนำไฮโดรเจนที่ได้ไปเก็บไว้ในถังเก็บ เมื่อผลิตไฮโดรเจนออกมาได้แล้วก็ส่งออกไปยังเครื่องยนต์ ทำให้เกิดการจุดระเบิดขึ้น เพราะคุณสมบัติที่ดีของไฮโดรเจนก็คือมีการเผาไหม้ได้สูงและมีการจุดระเบิด ที่ต่ำมาก เหมือนเครื่องยนต์ที่ใช้กันในปัจจุบัน เทคโนโลยีทุกวันนี้ในการผลิตไฮโดรเจนโดยใช้วิธีการคล้ายๆ กัน จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "อิเล็กโทรไรท์เตอร์" ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีที่คล้ายๆ กันหมด

"ปฏิกิริยาแยกน้ำจะเกิดความร้อนสูง ยากแก่การควบคุม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดอันตรายได้ แต่รีแอคเตอร์ที่พัฒนาขึ้น สามารถควบคุมความร้อนให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย ที่สำคัญใช้น้ำเป็นวัตถุดิบต้นกำเนิดของเชื้อเพลิง ซึ่งหาได้ง่าย ราคาถูก และประการสุดท้าย คือ ไอเสียที่เกิดจากการสันดาปนั้น จะปนออกมารวมตัวกับออกซิเจนกลายเป็นน้ำอีกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นไอเสียบริสุทธิ์" นายสุมิตรกล่าว

ส่วนเรื่องความปลอดภัยนั้น นายสุมิตรบอกว่า เป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญอย่างมาก และยังคงมุ่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง พร้อมๆ กับการพัฒนา "รีแอคเตอร์ 2" ขณะนี้ได้ออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นตัวทำหน้าที่ตรวจสอบความผิดปกติ ของการทำงานในระบบทั้งหมด วงจรนี้จะทำงานร่วมกับ ไมโครคอนโทรลเลอร์ ที่จะเป็นตัวควบคุมการทำงานของรีแอคเตอร์กับเครื่องยนต์ เพื่อให้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่น้อยลง และได้ผลผลิตคือ ไฮโดรเจนในปริมาณที่เป็นสัดส่วนกับความต้องการของเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด

ก่อนหน้านี้ สมิตร เคยบอกเอาไว้ว่า รถยนต์ขับเครื่องด้วยพลังงานใหม่นี้ ใช้พลังงานผสมผสาน แบบประหยัดสุดๆ ระยะทางประมาณ 560 กิโลเมตร วิ่งจากกรุงเทพฯถึงอุดรธานี ใช้น้ำมันเสริมเพียง 10 ลิตร เท่ากับว่า รถที่ว่านี้มัอตราประหยัดพลังงานที่ 56 กิโลเมตรต่อลิตรนั่นเอง

"จุดประสงค์ที่คิดค้นเกิดจากอยากให้โลกรู้ว่า น้ำสามารถเป็นพลังงานทดแทนได้ในอนาคต จึงได้พัฒนาอุปกรณ์ตัวนี้ขึ้นมา นอกจากนี้รีแอคเตอร์ยังเป็นตัวแก้ปัญหามลพิษ สภาวะปัญหาของโลกในปัจจุบันที่เกิดสภาวะโลกร้อน เพราะการใช้น้ำมาเป็นพลังงานเป็นเชื้อเพลิง จะทำให้ลดภาวะโลกร้อนและแก้ปัญหามลพิษไปด้วย ผลงานชิ้นนี้จะไม่ใช่ชิ้นแรกและชิ้นสุดท้าย ขอให้คนไทยเป็นกำลังใจให้ผมและทีมงานทำหน้าที่ต่อไปให้สำเร็จ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติต่อไป" นายสุมิตรกล่าว

ในเบื้องต้นทีมคิดค้นพัฒนา "รีแอคเตอร์" ยังไม่ได้กล่าวถึงต้นทุนการผลิต หรือการพัฒนาในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด

นายสุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา เดิมเป็นชาว จ.ราชบุรี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ และเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนจ่าอากาศ เริ่มต้นรับราชการที่กองบิน 23 จ.อุดรธานี เป็นเวลา 6 ปี จากนั้นได้ศึกษาต่อในหลายสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ กระทั่งจบการศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาวิศวกรรม อากาศยาน จากประเทศสหรัฐอเมริกา มีประสบการณ์การทำงานกว่า 30 ปีในบริษัทผู้ผลิตอากาศยานยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น โบอิ้ง หรือ แอร์บัส ทำงานในองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา มีผลงานการประดิษฐ์ที่ทำให้ประหลาดใจหลายอย่าง จนเพื่อนร่วมงานขนานนามว่า "พ่อมด"

ที่มา
หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551

จากจับกังก่อสร้าง สู่เหรียญทองโอลิมปิก

น้องเก๋ ประภาวดี


ความผิดหวัง...โอลิมปิกเกมส์ 2004 กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ถึงจะทำให้ชีวิต "น้องเก๋" ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล เซซวนไปบ้าง แต่เหรียญทอง โอลิมปิก 2008 ก็เป็นเครื่องยืนยันถึงจิตใจที่มุ่งมั่นเข้มแข็ง

สี่ปีที่แล้ว เก๋ถามพ่อ... "พ่อ...หนูเลิกเล่นกีฬายกน้ำหนัก พ่อจะว่าอะไรไหม พ่อก็ว่า...ตามใจหนู หนูโตอายุตั้ง 20 แล้ว ตัดสินใจเองได้หมดทุกอย่างแล้ว" คุณพ่อจันทร์แก้ว อายุ 48 ปี กล่าว

นัย ความหมาย พ่อจะว่าอะไรไหม? คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่สำหรับพ่อรู้อยู่เต็มอกว่า เก๋หมายถึง...ถ้าเลิกก็จะไม่มีรายได้มาเลี้ยงพ่อแม่ และน้องๆอีก 3 ชีวิต

ช่วง นั้น พ่อแม่เก๋ยังยึดอาชีพกรรมกรก่อสร้าง มีรายได้รายวัน วันละ 200 บาท แต่เก๋มีรายได้จากการเล่นกีฬา บริหารรายรับให้พอกับรายจ่ายอย่างเต็มที่

เก๋ส่งเงินกลับบ้านทุกเดือน ระยะห่างแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับว่า ครอบครัวเดือดร้อนมากขนาดไหน เฉลี่ยแล้วอาทิตย์...สองอาทิตย์ จะส่งมาทีละ 3,000-4,000 บาท

จริงๆ แล้ว พ่อก็รู้ว่าลูกมีรายได้ไม่ได้มากขนาดนั้น อาศัยว่าเก็บมากกว่าจ่าย เป็นคนไม่ค่อยใช้เงิน ไม่เที่ยว นิสัยตั้งแต่เด็กไม่มีเงิน...ไม่กินก็ได้ ไม่เคยงอแงร้องขอ

ไม่ร้องขอ เพราะรู้ว่าอ้อนไปพ่อแม่ก็ไม่มีเหมือนกัน

"เก๋จึงพูดให้พ่อแม่สบายใจว่า...ไม่ต้องเป็นห่วง เก็บตัวฝึกซ้อม ข้าว ขนม...มีกินทุกมื้อ"

ฐานะยากจนขัดสนเป็นลูกกรรมกรก่อสร้าง แต่ละช่วงชีวิตจึงดำเนินไปอย่างยากลำบาก แต่นิสัยส่วนตัว เก๋เป็นเด็กร่าเริง เข้มแข็งดีมาก

ที่ว่าเก๋นิสัยขี้แง ก็แค่ตอนเด็กๆ อายุ 3-4 ขวบ...เหมือนเด็กทั่วไป

คุณพ่อจันทร์แก้ว บอกว่า ตั้งแต่เก๋เข้าอนุบาล พ่อแม่ต้องออกไซต์ งานรับจ้างต่างจังหวัด มาไกลถึงกรุงเทพฯ ทำได้ 1 ปี ก็ย้ายไประยอง แล้วก็ย้ายไปเรื่อยๆ...ส่วนเก๋มีตากับยายคอยเลี้ยงดู




"ชีวิตจับกัง...กรรมกร ไม่มีวันสบายหาเงินง่าย ใครไม่ทำ... ไม่รู้หรอกว่าลำบากสุดๆ"

ช่วงที่เก๋ยังเล็ก พ่อแม่ทำงานสองแรงแข็งขันมีรายได้คนละ 170-180 บาทต่อวัน

รายได้รวมกันวันละไม่ถึง 400 บาท ไหนจะกินจะใช้ ไหนจะต้องส่งลูก ที่กำลังเรียน ต้องใช้จ่ายอย่างกระเบียดกระเสียร และบ่อยครั้งที่ขอเบิกล่วงหน้า ครั้งละ 1,000 บาท วันที่ขอเบิกค่าแรงล่วงหน้า มักจะเป็นวันที่ 15 ของแต่ละเดือน คุณแม่ภาวลีย์จะเป็นตัวแทนทั้งพ่อและแม่กลับบ้านหาลูก เพื่อเอาเงินไปให้ยายเก็บไว้ใช้จ่าย

"ไม่เบิกล่วงหน้า ก็ไม่มีเงิน...แล้วก็ต้องมาทำงานตามใช้หนี้ เหมือนเป็นวัฏจักรที่ไม่มีวันสิ้นสุด" เก๋ เรียนชั้นประถม ทุกเช้ายายจะมาส่งหน้าปากซอย รอรถโรงเรียน หน้าปากซอยจะมีอู่ซ่อมรถยนต์ เปิดเป็นยิมฝึกซ้อมนักกีฬายกน้ำหนัก เก๋ก็เห็นจนชินตา กระทั่ง เก๋เรียนชั้น ป.4 ก็มีคนในยิม เอ่ยปากชวน...อยู่ว่างๆไม่ได้ทำอะไร ก็มาออกกำลังกายด้วยกัน

" เด็กละแวกบ้านหลายคนก็มาเล่นอยู่ก่อนแล้ว เห็นอยู่กับยาย กลัวเหงา...ก็เลยชวนมาเป็นเพื่อนเล่นกัน ไม่ได้คิดว่าจะเล่นจริงจังจนติดทีมชาติ"

ลูก เก๋โตขึ้นเรื่อยๆ นับวันพ่อกับแม่ก็ยิ่งลำบากมากขึ้น กัดฟันส่งลูกจนจบ ป.6 จะขึ้น ม.1 ค่าเทอมแพงขึ้น เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ

"พ่อแม่ไม่มีเงินส่งให้ลูกเรียนอีกแล้ว" พ่อพูดกับเก๋ตรงๆ "ทำยังไงได้ เราอาชีพหาเช้ากินค่ำ ก็ชวนลูกไปทำงานด้วยกันที่กรุงเทพฯ..."

เก๋ผันสถานะจากเด็กนักเรียนเป็นกรรมกรหิ้วปูน ขนอิฐ โครงการก่อสร้างคอนโดฯสูง 4 ชั้น ย่านลาดพร้าว 71 ได้ค่าแรงวันละ 100 บาท ถึงจะมีชีวิตที่ลำบาก แต่น่าภูมิใจที่เก๋ไม่เคยบ่นว่ารู้สึกเสียใจ

พ่อเคยปลอบ "ถ้ามีเงินเมื่อไหร่...ค่อยมาเรียนก็ได้ เรื่องเรียนไม่มีใครแก่เกินเรียน น้องเก๋ก็เข้าใจ บอกว่า...ไม่เป็นไรพ่อ หนูมีเงินค่อยเรียน กศน.ก็ได้" เก๋เป็นจับกังอยู่ไม่นาน พี่ๆที่ค่ายยกน้ำหนักก็ให้คนมาตามถึงกรุงเทพฯ ให้เก๋มาเรียนหนังสือ โดยมีข้อแม้ว่า ต้องเป็นนักกีฬายกน้ำหนัก คุณพ่อจันทร์แก้ว...ถามลูกว่า เอามั้ย เก๋ตอบตกลง

ชีวิตเก๋เหมือนตกกระไดพลอยโจนต้องมาเล่นกีฬายกน้ำหนัก นึก ถึงวันนั้น รู้สึกสะท้อนใจทุกที ไม่ต้องพูดถึง ว่าจะได้ไปส่งลูกให้ถึงฝั่งฝัน เอาแค่เงินติดตัวมีแค่ 500 บาท ก็ให้ลูกไปทั้งหมด เป็นทั้งค่ารถ ค่ากิน ค่าเล่าเรียนให้เก๋ได้เริ่มอนาคตใหม่

" โรงเรียนสตรีนครสวรรค์ ถึงจะเรียนฟรี ก็ยังต้องมีค่าใช้จ่ายจิปาถะ ในช่วงเวลาที่ยาวนานนี้ ต้องยกความดีให้กับคุณตา คุณยาย ที่คอยดูแลน้องเก๋ อย่างใกล้ชิด" ตา ยายอายุมากแล้ว ไม่มีอาชีพมั่นคง นอกจากหาผักปลาไปขาย ถึงจะได้เงินไม่มาก แต่ก็ทำให้ 3 ชีวิตดำเนินต่อไปได้แบบถูลู่ถูกัง ยามมีปัญหา แม้ว่าคุณแม่น้องเก๋เป็นคนไม่ค่อยพูด แต่เก๋ก็ปรึกษาแม่มากกว่าพ่อ

คุณแม่ภาวลีย์ อายุ 53 ปี บอกว่า ปกติลูกสาวคนนี้ เป็นคนหัวอ่อน เชื่อคนง่าย วันนี้ถือว่าประสบความสูงสุดแล้ว แม่ก็คงไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง "เก๋เป็นหลักของครอบครัวมาจนพ่อแม่ไว้ใจ มั่นใจว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา"

คุณพ่อจันทร์แก้ว บอกอีกว่า เก๋...เป็นคนสุขุมรอบคอบ ทำอะไรคิดหน้าคิดหลัง จะห่วงพ่อแม่น้องก็เรื่องเดียว...มีรายได้พอกินพอใช้หรือเปล่า ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปกี่ปีกี่เดือน เก๋จะถาม

"พ่อเหนื่อยไหมทำงาน...พ่อเลิกอาชีพก่อ สร้างได้ไหม" พ่อก็ว่า "ถ้าพ่อเลิกจะให้พ่อไปทำอะไร จะทำอะไรก็ต้องใช้ทุน เก๋ก็ยังบอก... เอาไหม หนูให้" สองปีที่แล้ว เก๋ใช้เงินสดก้อนใหญ่เกือบ 8 แสนบาท ซื้อบ้านที่ตำบลหนองปลิง อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เงินก้อนนี้มาจากน้ำพักน้ำแรงที่เหน็ดเหนื่อยกับกีฬายกน้ำหนัก พ่อเห็นลูกซื้อบ้านไปแล้ว คงเหลือเงินไม่มากก็อยากให้ลูกเก็บเงินไว้ก่อน

"คิดว่า ถ้าลงทุนค้าขาย พ่อเคยแต่ทำนากับกรรมกรก่อสร้าง...ไม่มีหัวทางนี้ ส่วนแม่ก็ไปไหนไปกันกับพ่อ ไม่มีหัวการค้าเหมือนกัน" คุยกันไปคุยกันมา ความคิดสุดท้ายจบตรงที่ "ขายลูกชิ้นทอด" ถึงจะต้องใช้เงินทุนหลักหมื่น เก๋ก็ทยอยส่งมาให้ทีละสี่พัน...ห้าพัน ไปซื้อรถพ่วงข้างมอเตอร์ไซค์ ตู้ เตา กระทะทอดลูกชิ้น ได้จนครบ

อาชีพ ใหม่ของคุณพ่อ ทำมาได้กว่า 6 เดือนแล้ว ตะลอนวิ่งขายในตำบลหนองปลิง วันละกว่า 10 กิโลเมตร หักทุน...หักน้ำมันแล้ว เหลือวันละ 200 กว่าบาท รายได้นี้ กับปากท้องคนทั้งครอบครัว จันทร์แก้วบอกว่า ยังไงก็ไม่พอ " ถึงวันนี้...น้องเก๋ยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลัก ส่งเงินมาให้ที่บ้านทุกเดือนไม่เคยขาด ถ้าไม่มีเก๋ ครอบครัวเจริญรัตนธารากูล คงไม่ลืมตาอ้าปากได้อย่างวันนี้"

ก่อน เดินทางไปแข่งโอลิมปิกที่ปักกิ่ง น้องเก๋ไม่ได้ตั้งความหวังไว้เกินตัว หรือวางแผนอนาคตที่จะทำอะไรต่อไปหลังจากกลับมา คุณพ่อจันทร์แก้วยังบอกลูกว่า พ่อเองก็ไม่ได้หวังอะไร เพียงแต่อยากให้ลูกได้ไปโอลิมปิกสักครั้ง ช่วงชีวิตที่ดำเนินมาอย่างยากลำบาก แม้ว่าวันนี้ความสำเร็จของน้องเก๋ จะทำให้หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่คุณพ่อจันทร์แก้วก็ยืนยันว่า...ไม่มีใครลืมตัว

"เงินรางวัลที่ได้มา คงไม่ทำให้ครอบครัวเรามีชีวิตที่เปลี่ยนไป เคยลำบากทำงานหาเงินอย่างไร ก็คงทำ"



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ชีวิตนี้ ต้องการทำอะไร

สวัสดีครับ

วันนี้ไม่ได้หาข่าวมาแปะให้อ่านนะครับ และก็ไม่มีเวลาเขียนบทความให้อ่านด้วย สำหรับผมแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงชีวิตที่ขี้เกียจ และกำลังค้นหาว่าชีวิตนี้ ควรจะเป็นเช่นไร

หลังจากค้นหาด้วย google เลยเจอหนังสือแจกฟรีชื่อ " What Do You Want to Do with Your Life" ผมแปลชื่อหนังสือเป็นไทยว่า "ชีวิตนี้ ต้องการทำอะไร" เขียนโดย คุณฮานส์ กลินท์ (Mr. Hans Glint) ผมเห็นว่าเป็นหนังสือแจกฟรีที่น่าสนใจมาก อีกทั้งหนังสือนี้เป็นเชิงแบบฝึกหัด ให้ผู้่อ่านทำทีละขั้นตอน เมื่อผู้อ่านอ่านจบแล้ว ก็น่าจะได้คำตอบที่ค้นหา ว่า "ชีวิตนี้ ต้องการทำอะไร? " ดังชื่อหนังสือ

ผู้อ่านสามารถเยี่ยมชมเวปไซต์ ของคุณฮานส์ กลินท์ ได้ที่ http://www.selfhelpstartshere.com/
สำหรับหน้าแรกของเวป ซึ่งเป็นเหมือนบทนำ อธิบายว่าทำไมเขาถึงเขียนหนังสือเล่มนี้ และหนังสือเล่มนี้จะเป็นอย่างไร ผมได้นำมาแปลซึ่งจะแสดงตามข้อความด้านล่าง

ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด หนังสือของเขาได้เลยครับ เนื่องจากหนังสือเป็นภาษาอังกฤษความยาวกว่า 130 หน้า ถ้าผู้อ่านท่านใดผ่านมาแล้วรู้สึกสนใจให้แปลเป็นภาษาไทยทั้งฉบับ ช่วยกรุณาลงชื่อไว้ด้วยนะครับ จะได้เป็นแรงใจให้ผมแปล ซึ่งจะทยอยแปลให้

pC

Download หนังสือชีวิตนี้ ต้องการอะไร


ต่อไปนี้เป็นข้อความแปลจากเวปของคุณฮานส์


==================



สวัสดีครับ ผมชื่อ ฮานส์ กลินท์ ผมเป็นผู้ช่วยในการวางแผนการดำเนินชีวิต และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง "ชีวิตนี้ ต้องการทำอะไร"

เป็นเวลาหลายปีที่ผมสงสัยและครุ่นคิดว่า ผมควรทำอะไรกับชีวิตของผมดี และเพื่อที่จะหาคำตอบนี้ ผมได้ท่องเที่ยวไปทั่วโลก อ่านหนังสือเป็นร้อย ๆ เล่ม หวังเพียงว่าจะได้คำตอบที่ผมต้องการ แล้วผมก็พบว่า สิ่งที่ผมกำลังค้นหานั้นมันไม่มีคำตอบ เพราะมันเป็นเรื่องของเราเองที่ต้องค้นหาคำตอบให้ตัวเอง โดยการไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง แล้วตัดสินใจ ว่าเราจะดำเนินชีวิตของเราอย่างไร

มันดูชัดเจนและตรงไปตรงมานะครับ ที่จะพิจารณาดูตัวเองแล้วตัดสินใจว่าเราจะดำเนินชีวิตอย่างไร แต่คุณผู้อ่านก็คงรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องพินิจพิเคราะห์กันอย่างลึกซึ้งและเป็นเรื่องยากที่สุดของชีวิต แล้วคุณก็คงเกิดคำถามว่า จะทำมันได้จริง ๆ หรือ? ทำอย่างไรหล่ะ ? เพราะคุณคงต้องเผชิญกับความคิดมากมายมหาศาลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคุณเองให้พิจารณา และคุณคงต้องการเห็นทางเลือกของชีวิตที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมเสียก่อน ที่จะตัดสินใจอะไรลงไป

เพื่อช่วยคุณในเรื่องนี้ ผมได้เขียนหนังสือขึ้นมาชื่อ "ชีวิตนี้ ต้องการทำอะไร" มีทั้งหมด 136 หน้า ซึ่งมันจะช่วยให้คุณได้เรียบเรียงความคิดของคุณ และเห็นทางเลือกของชีวิตได้ชัดเจนขึ้น มันจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าคุณต้องการมีชีวิตเช่นไร ผมเชื่อว่า หนังสือเล่มนี้เป็นอะไรที่ตรงไปตรงมา อธิบายเป็นขั้นตอน และคุณสามารถใช้มันในการวางแผนชีวิตได้จริง


ผมทำสิ่งต่าง ๆ นี้ไปก็เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ ทุกเพศ ทุกวัย ให้ได้รับคำตอบว่าพวกเขาควรจะทำอะไรกับชีวิตของเขาเอง
ฉะนั้นผมจึงแจกหนังสือเล่มนี้ฟรี คุณสามารถ Download มันได้ที่นี่
คุณสามารถส่งต่อมันไปให้เพื่อน ๆ ของคุณได้ด้วยถ้าคุณเห็นว่าดี

ขอบคุณ และหวังว่าชีวิตของคุณจะเป็นของคุณอย่างแท้จริง

ฮานส์ กลินท์



Download What Do you Want to Do with Your Life

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ตามดูเวลาที่ใช้ไปด้วยตัวต่อเลโก้ (Track your Times with LEGO Bricks)


ไอเดียนี้มาจาก คุณ ไมเคิล ฮังเกอร์ ( Michael Hunger, Software developer ) เพื่อจะดูว่าได้ใช้เวลาไปเท่าไหร่สำหรับโปรเจคต่าง ๆ

วิธีการก็ไม่อยาก มีเลโก้ตัวต่อสักชุด จัดต่อเลโก้เป็นแถว ๆ แต่ละแถวแสดงหนึ่งวันทำงานในหนึ่งสัปดาห์ สีของเลโก้แต่ละสีแสดงแต่ละโปรเจคต่าง ๆ ที่ต้องทำให้เสร็จ ทุกวันก็มาเติมตัวเลโก้ตามจำนวนชั่วโมงที่ใช้ไปสำหรับโปรเจคนั้น ๆ

ผ่านไปไม่นานเราก็จะเห็นว่า เราได้ใช้เวลาไปกับโปรเจคใดบ้าง ในรูปแบบสามมิติ

ซึ่งทำให้เรา ปรับกระบวนการทำงาน ได้ เช่นให้เวลากับโปรเจค A มากเกินไปก็ให้ลด หรือทำงานโปรเจค B น้อยเกินไปให้เพิ่ม


ความจริงแล้ว วิธีนี้น่าจะเหมาะสำหรับเด็กเล็ก ๆ มากกว่า ให้เด็กได้มาเติมเลโก้ ว่าวันหนึ่ง ได้เล่น ได้เรียน ได้พักผ่อน ได้ทำอะไรบ้าง เดือนหนึ่งผ่านไปก็จะเห็นว่า เขาเล่นมากเกินไป หรือเรียนมากเกินไปหรือเปล่า

ข้อมูลจาก lifehacker.com

เครื่องลดมลพิษ พลังจิต


พระอาจารย์รัตน์​ ​รัตนญา​โณ


พระ​ไทยประสบ​ความ​สำ​เร็จผลิดเครื่องลดมลภาวะ​โลกร้อน​ ​ได้​สำ​เร็จ​ ​นำ​ไปทดลอง​ใช้​ใน​ประ​เทศฟิลิปปินส์​ได้​ผล​เป็น​ที่น่าพอใจ​ ​มีตัวแทน​จาก​องค์การบริหารการบิน​และ​อวกาศแห่งชาติ​หรือ​นาซ่า​ ​และ​ดร​.​อาจอง​ ​ชุมสาย​ ​ณ​ ​อยุธยา​ ​วิศวกร​ผู้​ออกแบบระบบลงจอดของยาน​ ​อวกาศไวกิ้งเพื่อลงจอดบนดาวอังคาร​ ​จะ​เข้า​พบเพื่อศึกษา​เครื่องดังกล่าว​ด้วย





​เมื่อเวลา​ 10.00 ​น​.​วันที่​ 1 ​สิงหาคม​ 2551 ​ที่สำ​นักสงฆ์บูรณรักษ์ธรรม​ ​อำ​เภอแม่ริม​ ​จังหวัดเชียง​ใหม่​ ​พระอาจารย์รัตน์​ ​รัตนญา​โณ​ ​เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง​ ​อำ​เภอแม่สะ​เรียง​ ​จังหวัดแม่ฮ่องสอน​ ​ได้​เปิดแถลงข่าว​กับ​สื่อมวลชนว่า​ ​ได้​ประสบ​ความ​สำ​เร็จ​ใน​การคิด​ค้น​และ​ประดิษฐ์​เครื่องลดมลภาวะทางอากาศ​ได้​สำ​เร็จ​ ​ซึ่ง​เครื่องดังกล่าวประกอบ​ด้วย​พีรามิดรูปทรงสามเหลี่ยม​ ​มุม​ 60 ​องศา​ ​จำ​นวน​ 7 ​ก้อน​ ​โดย​นำ​พิรามิดมาจัดเรียงแนวตั้ง​แล้ว​พันรอบ​ด้วย​สายยาง​ ​ก่อนบรรจุน้ำ​เข้า​ไป​ ​ภาย​ใน​ติดตั้งปั๊มน้ำ​ภาย​ใน​ ​เมื่อปั๊มน้ำ​ทำ​งาน​ ​แรงดัน​จาก​ปั๊มน้ำ​จะ​ทำ​ให้​น้ำ​หมุนวนรอบพีรามิด​เป็น​จนเกิด​เป็น​เกลียว​ ​วน​จาก​ขวา​ไปซ้ายตามศูนย์​แรงดึงดูดของกา​แลกซี่ทางช้างเผือก​ ​แรงดึงดูดที่​เกิดขึ้น​จะ​ถูกผลักขึ้น​ ​มาด้านบนของเครื่อง​และ​จะ​ทำ​ให้​น้ำ​บริ​เวณรอบ​จะ​วิ่งมา​แทนที่​ ​และ​ทำ​ให้​อากาศไหลตัวจนเกิดลม​ ​ขึ้น​ ​และ​ขณะที่​เครื่องทำ​งาน​จะ​มีการดึง​ความ​ชื้น​และ​ดึงดูดฝน​ให้​ตกลงมารอบรัศมีของ​ ​เครื่อง​ใน​ระยะ​ 5 ​กิ​โลเมตร​ ​นอก​จาก​นี้​ยัง​จะ​ดึงมลพิษทางอากาศ​เข้า​มาทำ​ลายจนทำ​ให้​อากาศสะอาด​

​สำ​หรับพีรามิด​ซึ่ง​เป็น​องค์ประกอบสำ​คัญของเครื่องทำ​จาก​แร่ชนิดหนึ่ง​ซึ่ง​ถูก​ ​ค้น​พบ​ใน​ถ้ำ​แห่งหนึ่ง​ใน​ ​อำ​เภอแม่สะ​เรียง​ ​จังหวัดแม่ฮ่องสอน​ ​ซึ่ง​เแร่ดังกล่าว​ยัง​ไม่​มีการต้งชื่อ​ใน​ทางวิทยาศาสตร์​ ​โดย​แร่ดังกล่าว​จะ​ถูกนำ​มาผสม​กับ​ซี​เมนท์​และ​ทำ​เป็น​รูปพีรมิดก่อนนำ​ไปจัดเรียง​ ​ไว้​ใน​เครื่อง​

​พระอาจารย์รัตน์​ ​กล่าวว่า​ ​เครื่องลดมลภาวะที่ทำ​ขึ้น​ ​เป็น​การผสมผสาน​กัน​ระหว่าง​ ​หลักการทางวิทยาศาสตร์​และ​พลังจิต​จาก​สมาธิ​ ​ซึ่ง​ใน​การทำ​งาน​จะ​ใช้​พลังงาน​จาก​วัตถุ​ 80 ​เปอร์​เซ็นต์​ ​ส่วน​ที่​เหลืออีก​ 20 ​เปอร์​เซ็นต์​เป็น​พลังจิต​ ​หากใครผลิตเลียนแบบก็​ไม่​สามารถ​ใช้​ได้​เนื่อง​ ​จาก​ไม่​มี​ส่วน​ผสมของพลังจิต​ ​โดย​เครื่องลดมลภาวะ​ได้​ใช้​เวลาศึกษา​และ​ทดลองมานานกว่า​ 3 ​ปี​ ​จึง​ประสบ​ความ​สำ​เร็จ​ ​โดย​ใน​ช่วงที่จังหวัดเชียง​ใหม่​ประสบปัญหาสมลพิษทาวงอากาศจน​ต้อง​ประกาศภาวะฉุก​ ​เฉิน​ใน​ปี​ 2548 ​ได้​นำ​เครื่องลดมลภาวะ​ไปติดตั้งบริ​เวณแจ่งศรีภูมิ​ ​อำ​เภอเมืองเชียง​ใหม่​ ​และ​ปรากฏว่าทำ​ให้​อากาศบริ​เวณดังกล่าวมีค่ามลพิษน้อยกว่าจุด​อื่น​อย่างเห็น​ได้​ ​ชัด​ ​อย่างไรก็ดี​เครื่องที่คิด​ค้น​ขึ้นมา​ ​ไม่​คิด​จะ​ทำ​ขายเชิงพาณิชย์​ ​แต่​ต้อง​การ​ช่วย​เหลือ​ผู้​ที่​ได้​รับ​ความ​เดือดร้อนอย่างแท้จริง​ ​โดย​ขณะนี้​ได้​ผลิตเครื่อง​ได้​ทั้ง​หมด​ 9 ​เครื่อง​ ​หาก​ใน​พื้นที่​ใด​ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง​สามารถ​มายืมเครื่องไป​ใช้​ฟรี​




​พระอาจารย์รัตน์​ ​กล่าว​ด้วย​ว่า​ ​ต้นปีที่ผ่านมา​ ​ได้​มีบริษัทเอกชน​จาก​ประ​เทศฟิลิปินส์​ได้​ยืมเครื่องไป​ใช้​ ​ปรากฏว่า​สามารถ​ลดมลพิษ​ได้​กว่าร้อยละ​ 80 ​และ​บริษัทดัง​ ​กล่าว​ได้​พยายามขอจดสิทธิบัตรแต่​เรา​ไม่​ยอม​เพราะ​ผิดสัตถุประสงค์​ ​อย่างไรก็ตามขณะนี้​เครื่องลดมลภาวะ​ได้​รับ​ความ​สนใจ​จาก​นักวิทยาศาตร์​เป็น​อย่าง​ ​มาก​ ​โดย​ก่อนหน้านี้​ได้​มี​เจ้าหน้าที่​จาก​องค์การสหประชาชาติ​เดินทางมาทดลอง​และ​ ​ศึกษา​ถึง​ 2 ​ครั้ง​ ​ซึ่ง​ใน​วันที่​ 6 ​สิงหาคมนี้​ ​จะ​มีทีมแพทย์​ ​จาก​ประ​เทศเยอรมัน​เข้า​มาศึกษา​ ​จาก​นั้น​ใน​วันที่​ 9 ​สิงหาคม​ ​จะ​มีตัวแทน​จาก​องค์การบริหารการบิน​และ​อวกาศแห่งชาติ​หรือ​นาซ่า​ ​เข้า​พบนอก​จาก​นี้​ใน​วันที่​ 20 ​สิงหาคมดร​.​อาจอง​ ​ชุมสาย​ ​ณ​ ​อยุธยา​ ​วิศวกร​ผู้​ออกแบบระบบลงจอดของยาน​ ​อวกาศไวกิ้งเพื่อลงจอดบนดาวอังคาร​ ​จะ​เข้า​พบเพื่อศึกษา​เครื่องดังกล่าว​ด้วย​เช่น​กัน

จาก พลังจิต.com